ตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 กัมพูชา เป็นอาณาจักรที่อ่อนแอ เพราะความขัดแย้งภายในของชนชั้นนำกัมพูชา และอิทธิพลของรัฐเพื่อนบ้านที่ทรงอำนาจมากกว่าจากทั้งด้านตะวันตกและตะวันออก คือสยามและเวียดนาม (อันนัม)
สภาวะดังกล่าวส่งผลให้กัมพูชาตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของทั้งสองรัฐ มักถูกเรียกว่าสภาวะ “ประเทศราชสองฝ่ายฟ้า” สลับขั้วอำนาจไปมาเพื่อความอยู่รอด สถานการณ์อันเปราะบางนี้เป็นฉากหลังสำคัญที่ส่งผลต่อรัชสมัยสมเด็จพระนโรดม ซึ่งเป็นช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญของประวัติศาสตร์กัมพูชา

ความอ่อนแอภายในและการคุกคามจากภายนอกเป็นปัจจัยเร่งที่ทำให้ชนชั้นนำกัมพูชา รวมทั้งพระราชบิดาของสมเด็จพระนโรดม คือ สมเด็จพระหริรักษ์รามมหาอิศราธิบดี (นักองค์ด้วง) เคยพยายามแสวงหาความช่วยเหลือจากอำนาจภายนอก เช่นกับสยาม
ต่อมาการเข้ามาของมหาอำนาจตะวันตกอย่าง ฝรั่งเศส ซึ่งมีเทคโนโลยีที่เหนือกว่าทั้งระบบการบริหาร รวมถึงอาวุธที่ทันสมัย จึงกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในหน้าประวัติศาสตร์กัมพูชา ประกอบกับมีแรงจูงใจในการล่าอาณานิคมที่ชัดเจน ยิ่งทำให้ชะตากรรมของกัมพูชาถูกกำหนดโดยปัจจัยภายนอกมากขึ้น สะท้อนให้เห็นว่ากัมพูชาตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมาเสมือนพื้นที่แห่งการช่วงชิงผลประโยชน์จากทั้ง สยาม เวียดนาม และฝรั่งเศส

พลวัตที่ผันแปรแห่งอำนาจในภูมิภาคอินโดจีน
ก่อนการเข้ามาของฝรั่งเศส สยามมีอิทธิพลอย่างมากในกิจการภายในของกัมพูชา รวมถึงการมีบทบาทสำคัญในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของกษัตริย์กัมพูชา ซึ่งเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ถึงความเป็นเจ้าประเทศราชตั้งแต่อยุธยาถึงสมัยรัตนโกสินทร์ ขณะที่เวียดนาม ราชวงศ์เหงียนได้ยื่นมาเป็นผู้ท้าทายอิทธิพลของสยามในพื้นที่กัมพูชาเสมอมา
แต่ใช่ว่าจะมีเพียงมหาอำนาจ 2 รัฐที่แข่งกันเล่นและขยายอิทธิพลในพื้นที่กัมพูชา เพราะฝรั่งเศสในช่วงยุคล่าอาณานิคมต้องการขยายอิทธิพลเข้ามาในภูมิภาคนี้เช่นกัน การขยายอิทธิพลของมหาอำนาจตะวันตกในภูมิภาคอินโดจีนโดยเฉพาะฝรั่งเศส มีแรงจูงใจทั้งทางด้านยุทธศาสตร์และเศรษฐกิจ ต่อมาได้สร้างความท้าทายใหม่ต่อโครงสร้างอำนาจเดิมในภูมิภาคที่อาจเรียกได้ว่าเปลี่ยนโฉมหน้าประวัติศาสตร์ของภูมิภาคนี้ไปตลอดกาล

บริบทการเมืองกัมพูชาในห้วงการแข่งขันของมหาอำนาจ
ขณะที่ 2 มหาอำนาจต่างช่วงชิงผลประโยชน์ของกัมพูชา สมเด็จพระนโรดม บรมรามเทวาวตาร หรือที่รู้จักกันในพระนามเดิมว่า นักองค์ราชาวดี เมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์ทรงมีพระนามว่า พระบาทสมเด็จพระนโรดม พรหมบริรักษ์ ทรงเป็นกษัตริย์แห่งกัมพูชาผู้มีบทบาทในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการเมืองกัมพูชา เนื่องจากรัชสมัยของพระองค์เป็นช่วงเวลาที่สถานะทางการเมืองของกัมพูชาเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงจากอาณาจักรที่เคยอยู่ภายใต้อิทธิพลของสยามและเวียดนาม ค่อย ๆ กลายมาเป็นรัฐในอารักขาของฝรั่งเศส

ประวัติสมเด็จพระนโรดมภายใต้เงามหาอำนาจ
สมเด็จพระนโรดม เสด็จพระราชสมภพเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1834 ณ เมืองอังกอร์โบเรย์ ประเทศกัมพูชา อย่างไรก็ตามมีเอกสารบางฉบับจากฝ่ายสยามระบุว่าพระองค์พระราชสมภพในกรุงเทพมหานคร ซึ่งความแตกต่างของข้อมูลนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์อันใกล้ชิดและอิทธิพลของสยามเหนือราชสำนักกัมพูชาในขณะนั้น
พระองค์เป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระหริรักษ์รามมหาอิศราธิบดี (นักองค์ด้วง) และสมเด็จพระวรราชินี (แป้น) การเลี้ยงดูและการศึกษาของพระองค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากทรงใช้ชีวิตในช่วงปฐมวัยในกรุงเทพฯ ย่อมได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมราชสำนักสยามเป็นอย่างมาก เอกสารฝ่ายสยามระบุว่าพระองค์ทรงตรัสภาษาไทยได้คล่องแคล่วกว่าภาษาเขมรเสียอีก อันเนื่องมาจากการประทับในกรุงเทพฯ ในรัชสมัยของพระราชบิดา คือ สมเด็จพระหริรักษ์รามมหาอิศราธิบดี (นักองค์ด้วง) ซึ่งครองราชย์ระหว่างปี ค.ศ. 1848 ถึง 1860 ยังคงอยู่ภายใต้อิทธิพลของสยาม

การเสด็จขึ้นครองราชย์และการยอมรับจากสยาม
ภายหลังการสวรรคตของสมเด็จพระหริรักษ์รามมหาอิศราธิบดี นักองค์ราชาวดีได้รับการเลือกให้ขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม ค.ศ. 1860 อย่างไรก็ตาม พระราชพิธีบรมราชาภิเษกของพระองค์ต้องล่าช้าออกไป เนื่องจากสยามเป็นผู้ครอบครองเครื่องราชกกุธภัณฑ์สำคัญของกัมพูชา ซึ่งรวมถึงพระมหามงกุฎ สถานการณ์นี้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนถึงบทบาทดั้งเดิมของสยามในฐานะมหาอำนาจเจ้าประเทศราช ที่มีอำนาจในการรับรองความชอบธรรมของกษัตริย์กัมพูชา
ขณะที่พระองค์ขึ้นครองราชย์นั้น มหาอำนาจที่เคยมีอิทธิพลในกัมพูชาอย่างเวียดนามราชวงศ์เหงียน ได้พ่ายแพ้ต่อฝรั่งเศส ทำให้ฝรั่งเศสอ้างเหตุผลในการแทรกแซงการเมืองภายในกัมพูชาจากการที่เวียดนามได้กลายเป็นของฝรั่งเศส ดินแดนกัมพูชาที่เป็นประเทศราชของเวียดนามก็ต้องเป็นของฝรั่งเศสเช่นเดียวกัน

การสถาปนากษัตริย์กัมพูชาโดยสยามและสนธิสัญญากับฝรั่งเศส
พระราชพิธีบรมราชาภิเษกของสมเด็จพระนโรดมจัดขึ้นในที่สุดเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน ค.ศ. 1864 ณ กรุงอุดงมีชัย การที่พระราชพิธีสามารถดำเนินไปได้นั้นส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากแรงกดดันทางทหารของฝรั่งเศสที่ทำให้สยามต้องยอมคืนเครื่องราชกกุธภัณฑ์ให้แก่กัมพูชา
รายละเอียดนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากแสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของฝรั่งเศสที่เริ่มปรากฏชัดเจนขึ้น แม้กระทั่งก่อนที่ระบอบอารักขาจะสถาปนาขึ้นอย่างเต็มรูปแบบ และยังเป็นการท้าทายอำนาจนำของสยามโดยตรง ยิ่งไปกว่านั้น มีหลักฐานระบุว่าฝรั่งเศสเองก็มีบทบาทในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกครั้งนี้ด้วย ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณถึงการเข้ามาแทนที่บทบาทดั้งเดิมของสยามในการรับรองสถานะของกษัตริย์กัมพูชา
สนธิสัญญาอารักขาระหว่างกัมพูชากับฝรั่งเศส ค.ศ. 1863
สนธิสัญญาฉบับสำคัญนี้ลงนามเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม ค.ศ. 1863 ระหว่างสมเด็จพระนโรดมและพลเรือเอก เดอ ลา กร็องดิแยร์ (Admiral de La Grandière) ผู้แทนฝรั่งเศส จากความต้องการความคุ้มครองส่วนพระองค์จากศัตรูภายในและความเชื่อที่ว่าฝรั่งเศสจะสามารถรับประกันบูรณภาพแห่งดินแดนของกัมพูชาจากการคุกคามได้

สาระสำคัญของสนธิสัญญาปี ค.ศ. 1863 ประกอบด้วย ฝรั่งเศสได้สิทธิในการควบคุมกิจการต่างประเทศของกัมพูชา มีการแต่งตั้งผู้แทนฝรั่งเศส (Résident) ซึ่งมีสถานะเทียบเท่าอุปราชไปประจำ ณ กรุงพนมเปญ ฝรั่งเศส มีสิทธิในการตั้งกองทหารและจอดเรือรบในกัมพูชา และแม้ว่าสถาบันกษัตริย์กัมพูชาจะยังคงอยู่ แต่พระราชอำนาจก็ถูกจำกัดลงอย่างต่อเนื่อง ภายหลังสมเด็จพระนโรดมทรงอ้างว่าพระองค์ลงนามในสนธิสัญญาภายใต้แรงกดดัน โดยมีเรือรบฝรั่งเศสจอดทอดสมออยู่ใกล้พระราชวัง ที่สะท้อนถึงความไม่เท่าเทียมกันของอำนาจระหว่างคู่สัญญาตั้งแต่ต้น
การตัดสินพระทัยครั้งนี้แม้จะมุ่งหวังการปลดเปลื้องจากอิทธิพลหนึ่ง แต่กลับนำไปสู่การอยู่ภายใต้อำนาจใหม่ที่แข็งแกร่งกว่า และเป็นการเริ่มต้นการสูญเสียเอกราชของกัมพูชาเป็นระยะเวลานานเกือบศตวรรษ หากเป้าหมายหลักของพระองค์คือเอกราชที่แท้จริง สนธิสัญญาฉบับนี้อาจถือได้ว่าเป็นความผิดพลาดทางยุทธศาสตร์ที่กลับทำให้กัมพูชาเสียเอกราชให้ฝรั่งเศสโดยพฤตินัย
ปฏิกิริยาของสยามและสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส
ภายหลังราชสำนักสยามรู้เรื่องสัญญาดังกล่าว ราชสำนักสยามได้แสดงความไม่พอใจต่อสนธิสัญญาปี ค.ศ. 1863 เนื่องจากเป็นการบ่อนทำลายอิทธิพลและสถานะเจ้าประเทศราชที่สยามมีเหนือกัมพูชามาอย่างยาวนาน มีหลักฐานว่าสมเด็จพระนโรดมได้ทรงทำสัญญาลับกับสยามในภายหลัง แต่ฝรั่งเศสได้บังคับให้พระองค์ต้องยกเลิกสัญญานั้น สถานการณ์นำไปสู่การเจรจาและลงนามในสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ในปี ค.ศ. 1867 ซึ่งสยามได้ประกาศสละสิทธิ์ใด ๆ เหนือกัมพูชาอย่างเป็นทางการ
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 แห่งสยาม ทรงมีทัศนะต่อสถานการณ์นี้อย่างสุขุมคัมภีรภาพ ดังปรากฏในพระราชหัตถเลขาหลายฉบับที่แสดงให้เห็นถึงการยอมรับความเป็นจริงใหม่ แม้จะทรงมีความโทมนัส แต่ก็ทรงพยายามรักษาความสัมพันธ์อันดีกับสมเด็จพระนโรดม พร้อมกันนั้นก็ทรงตระหนักถึงอำนาจของฝรั่งเศสที่เพิ่มมากขึ้น

พระราชหัตถเลขาฉบับหนึ่งถึงสมเด็จพระนโรดมภายหลังสนธิสัญญาปี 1863 แสดงให้เห็นว่ารัชกาลที่ 4 ทรงรับทราบสถานะใหม่ของกัมพูชาภายใต้การคุ้มครองของฝรั่งเศส และทรงปรับเปลี่ยนการใช้ถ้อยคำทางการทูตให้สอดคล้องกับสถานการณ์ดังกล่าว สนธิสัญญาปี ค.ศ. 1867 นี้จึงเป็นการจัดระเบียบอำนาจทางภูมิรัฐศาสตร์ครั้งสำคัญ เป็นการยุติอิทธิพลของสยามเหนือกัมพูชาที่ดำเนินมาหลายศตวรรษ และเป็นการสถาปนาฝรั่งเศสในฐานะมหาอำนาจยุโรปที่มีอำนาจครอบงำในกัมพูชาอย่างเป็นทางการ สยามเองก็ต้องปรับนโยบายต่างประเทศเพื่อรับมือกับเพื่อนบ้านใหม่ที่ทรงอิทธิพลนี้
รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนโรดม การต่อต้านภายในและการครอบงำของฝรั่งเศส
ตลอดรัชสมัยของสมเด็จพระนโรดมต้องเผชิญกับความท้าทายจากความไม่สงบภายในประเทศอย่างต่อเนื่อง หนึ่งในภัยคุกคามที่สำคัญที่สุดคือ กบฏของนักองค์วัตถา พระอนุชาต่างพระมารดา ซึ่งเป็นผู้ท้าทายราชบัลลังก์อย่างต่อเนื่อง หลังจากลี้ภัยในสยาม นักองค์วัตถาได้กลับมาก่อการกบฏครั้งใหญ่ในช่วงปี ค.ศ. 1885-1887 เพื่อต่อต้านทั้งสมเด็จพระนโรดมและการปกครองของฝรั่งเศส การกบฏครั้งนี้มีฐานที่มั่นสำคัญอยู่ในป่าเขาและเมืองกำปอต ในที่สุด กองกำลังฝรั่งเศสได้เข้ามาช่วยเหลือสมเด็จพระนโรดมในการปราบปรามกบฏนักองค์วัตถา ซึ่งผลลัพธ์นี้ยิ่งทำให้สมเด็จพระนโรดมต้องพึ่งพาฝรั่งเศสมากขึ้น และเป็นการเปิดทางให้ฝรั่งเศสเสริมสร้างกำลังทหารและอิทธิพลการควบคุมในกัมพูชาให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น

ฝ่ายฝรั่งเศสมักจะตั้งข้อสงสัยว่า สมเด็จพระนโรดมทรงแอบให้การสนับสนุนหรือไม่ได้พยายามอย่างเต็มที่ โดยใช้เป็นข้ออ้างในการเพิ่มระดับการควบคุมและแทรกแซงกิจการภายในของกัมพูชา สถานการณ์ความไม่สงบภายในเหล่านี้จึงเปรียบเสมือนดาบสองคมสำหรับอิทธิพลของฝรั่งเศส ในด้านหนึ่ง การกบฏเป็นภัยคุกคามต่อเสถียรภาพของกัมพูชาและอำนาจของสมเด็จพระนโรดม ทำให้พระองค์ต้องพึ่งพากำลังทหารฝรั่งเศสมากขึ้น แต่อีกด้านหนึ่ง ฝรั่งเศสก็ใช้สถานการณ์เหล่านี้เป็นเครื่องมือสร้างความชอบธรรมในการแทรกแซงและเรียกร้องอำนาจบริหารที่มากขึ้น ดังเห็นได้จากเหตุการณ์ที่นำไปสู่อนุสัญญาปี ค.ศ. 1884
การเพิ่มอำนาจของฝรั่งเศสและการสูญเสียพระราชอำนาจ
อนุสัญญาลงวันที่ 17 มิถุนายน ค.ศ. 1884 ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำลายพระราชอำนาจของสมเด็จพระนโรดมลงอย่างมาก ชาร์ลส์ ทอมสัน (Charles Thomson) เทศาภิบาลโคชินไชนา ได้บังคับให้สมเด็จพระนโรดม (โดยมีเรือรบฝรั่งเศสจอดข่มขู่อยู่นอกพระราชวัง) ลงนามในสนธิสัญญาฉบับใหม่นี้ สาระสำคัญของอนุสัญญาฉบับนี้คือการให้ฝรั่งเศสเข้าควบคุมรายได้สาธารณะ ภาษีศุลกากร และการโยธาสาธารณะโดยตรง อนุญาตให้ฝรั่งเศสขยายการกำกับดูแลระบบราชการ

มีเป้าหมายเพื่อยกเลิกระบบทาสและริเริ่มการถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดินส่วนบุคคล อนุสัญญาฉบับนี้ได้ลดทอนพระราชอำนาจทางการบริหารและการคลังของสมเด็จพระนโรดมลงอย่างสิ้นเชิง ทำให้พระองค์กลายเป็น “กษัตริย์หุ่นเชิด” การกระทำของฝรั่งเศสครั้งนี้ได้สร้างความไม่พอใจอย่างกว้างขวางในหมู่ชาวกัมพูชา และเป็นปัจจัยหนึ่งที่นำไปสู่การกบฏในปี ค.ศ. 1885 อนุสัญญาปี 1884 นี้จึงอาจกล่าวได้ว่าเป็น “จุดที่ไม่สามารถหวนคืน” (point of no return) สำหรับเอกราชของกัมพูชาในยุคนั้น เป็นการเปลี่ยนผ่านจากระบอบ “อารักขา” ที่ยังคงมีอำนาจปกครองตนเองในระดับหนึ่ง ไปสู่การปกครองโดยตรงของเจ้าอาณานิคมอย่างแท้จริง
ภายในปี ค.ศ. 1897 ผู้แทนใหญ่ของฝรั่งเศส (Résident-Général) ถึงกับร้องเรียนไปยังรัฐบาลที่ปารีสว่า สมเด็จพระนโรดมไม่เหมาะสมที่จะปกครองอีกต่อไป และขออนุญาตที่จะใช้อำนาจของกษัตริย์ทั้งหมด รวมถึงการเก็บภาษี การออกกฤษฎีกา และแม้กระทั่งการแต่งตั้งข้าราชการในราชสำนัก
บั้นปลายพระชนม์ชีพและการสืบราชสมบัติ
ในบั้นปลายรัชกาล บทบาทของสมเด็จพระนโรดมลดลงจนเป็นเพียงประมุขแต่ในนาม โดยแทบไม่มีพระราชอำนาจที่แท้จริงเหลืออยู่ พระองค์ถูกมองว่าเป็น “หุ่นเชิดของฝรั่งเศส” การบริหารประเทศอยู่ภายใต้การควบคุมของข้าราชการฝรั่งเศส โดยมี เรสิดังต์ซูเปริเออร์ (Résident-Supérieur) หรือผู้แทนสูงสุดของฝรั่งเศสเป็นผู้มีอำนาจตัดสินใจสูงสุด อย่างไรก็ตาม สำหรับประชาชนชาวกัมพูชา พระองค์ก็ยังคงเป็นสัญลักษณ์ของอัตลักษณ์และความต่อเนื่องของชาติ
สมเด็จพระนโรดมเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 24 เมษายน ค.ศ. 1904 ณ พระบรมราชวังจตุมุขสิริมงคล กรุงพนมเปญ สิริพระชนมายุได้ 70 พรรษา พระองค์ทรงครองราชย์เป็นระยะเวลานานถึง 43 ปี 188 วัน ซึ่งถือเป็นรัชสมัยที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์กัมพูชา
การแทรกแซงของฝรั่งเศสในการสืบราชสมบัติ
ก่อนการสวรรคต สมเด็จพระนโรดมได้ทรงแต่งตั้งพระราชโอรสของพระองค์ คือ พระองค์เจ้ายุคนธร เป็นองค์รัชทายาท อย่างไรก็ตาม พระองค์เจ้ายุคนธรทรงมีความขัดแย้งกับทางการฝรั่งเศสอย่างรุนแรง เนื่องจากทรงวิพากษ์วิจารณ์การปกครองและการแสวงหาผลประโยชน์ของฝรั่งเศสในกัมพูชาอย่างเปิดเผย ทำให้ทรงถูกบีบบังคับให้ต้องลี้ภัยออกนอกประเทศ
การที่ฝรั่งเศสออกหมายจับและบีบบังคับให้พระองค์เจ้ายุคนธรต้องลี้ภัยนั้น เป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่าฝรั่งเศสจะไม่ยอมให้สมาชิกราชวงศ์องค์ใดก็ตามที่ท้าทายนโยบายของตนขึ้นมามีอำนาจ การกระทำเช่นนี้เป็นการปิดกั้นเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากภายในราชวงศ์ และเป็นการปูทางให้ฝรั่งเศสสามารถเลือกผู้สืบทอดราชบัลลังก์ที่สอดคล้องกับผลประโยชน์ของตนได้
ด้วยเหตุนี้ ทางการอาณานิคมฝรั่งเศสซึ่งไม่พอใจต่อท่าทีต่อต้านของสายราชสกุลนโรดม จึงได้เข้ามาแทรกแซงกระบวนการสืบราชสมบัติอย่างเต็มที่ โดยไม่ยอมรับการแต่งตั้งพระองค์เจ้ายุคนธร แต่กลับให้การสนับสนุนนักองค์สีสุวัตถิ์ (พระบาทสมเด็จพระสีสุวัตถิ์) พระอนุชาต่างพระมารดาของสมเด็จพระนโรดมขึ้นเป็นกษัตริย์องค์ต่อไป

โดยนักองค์สีสุวัตถิ์ถูกมองว่าเป็นผู้ที่ให้ความร่วมมือกับฝรั่งเศสมากกว่า และมีแนวคิดชาตินิยมน้อยกว่าสายของสมเด็จพระนโรดม อีกทั้งยังเคยให้ความช่วยเหลือฝรั่งเศสในการปราบปรามกบฏมาก่อน การแทรกแซงครั้งนี้ได้สถาปนาแบบแผนที่ฝรั่งเศสจะใช้ในการควบคุมการสืบราชสมบัติของกัมพูชาต่อไป เพื่อให้มั่นใจว่าจะได้กษัตริย์ที่อ่อนน้อมและไม่ท้าทายนโยบายอาณานิคม
ดังที่แหล่งข้อมูลหนึ่งระบุว่า “ฝรั่งเศสคือผู้ที่ชี้นำสภาสูงสุดแห่งราชบัลลังก์ในการเลือกกษัตริย์อย่างแท้จริง” และทำให้ “กษัตริย์กัมพูชาควรเป็นผู้ที่เชื่อฟังคำสั่งของฝรั่งเศส” การควบคุมการสืบราชสมบัตินี้จึงเป็นเครื่องมือขั้นสูงสุดในการครอบงำอาณานิคม และมีผลกระทบระยะยาวต่อพัฒนาการทางการเมืองและสถาบันผู้นำของกัมพูชา
จะเห็นได้ว่ารัชสมัยของสมเด็จพระนโรดมเป็นช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งสำคัญอย่างยิ่งยวดของกัมพูชา เป็นการเปลี่ยนผ่านจากอาณาจักรประเทศราชภายใต้อิทธิพลของสยาม ไปสู่การเป็นดินแดนในอาณานิคมของฝรั่งเศส
ในหลายแง่มุม สมเด็จพระนโรดมทรงเป็นบุคคลที่น่าเห็นใจในทางประวัติศาสตร์ พระองค์เป็นกษัตริย์ที่พยายามจะรักษาอาณาจักรของตนไว้ แต่กลับต้องเป็นผู้ปกครองในช่วงเวลาที่กัมพูชาสูญเสียเอกราชไปเป็นเวลานานเกือบศตวรรษ

การที่กัมพูชาเข้าสู่ระบอบอาณานิคมในรัชสมัยของสมเด็จพระนโรดมได้ส่งผลกระทบระยะยาวอย่างลึกซึ้ง ไม่ว่าจะเป็นการฝังรากลึกของระบบบริหาร เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมฝรั่งเศสในกัมพูชา การกำหนดเขตแดนใหม่ซึ่งส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะสยาม และที่สำคัญคือ การหว่านเมล็ดพันธุ์ของลัทธิชาตินิยมกัมพูชาสมัยใหม่ ซึ่งเป็นผลพวงจากการตอบโต้ต่อระบบอาณานิคมที่สถาปนาขึ้นในและหลังรัชสมัยของพระองค์ นำไปสู่การต่อสู้เพื่อเอกราชในกลางคริสต์ศตวรรษที่ 20รัชสมัยของสมเด็จพระนโรดมสามารถมองได้ว่าเป็นภาพจำลองของประสบการณ์อาณานิคมที่กว้างขึ้นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งอาณาจักรต่าง ๆ ในภูมิภาคต้องเผชิญกับแรงกดดันจากมหาอำนาจตะวันตก ผู้นำท้องถิ่นมักพยายามเล่นเกมการเมืองระหว่างมหาอำนาจ หรือแสวงหา “ความคุ้มครอง” ที่ท้ายที่สุดกลับกลายเป็นการครอบงำ ความแตกแยกภายในมักถูกใช้เป็นประโยชน์โดยผู้ล่าอาณานิคม และการสูญเสียอธิปไตย การถูกแสวงหาประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ตลอดจนการถูกบังคับใช้ระบบบริหารของต่างชาติ ล้วนเป็นลักษณะร่วมที่ปรากฏทั่วไป
