“วันนี้ฉันเหนื่อยจังเลย เจ้านายก็เอาแต่สั่งงานไม่เว้นวรรค งานนี้ก็ยังเคลียร์ไม่เสร็จ งานใหม่ก็เข้ามาอีกแล้ว ใครจะไปทำทันกันเล่า เฮ้อ แต่อย่างน้อยก็ยังดีที่วันนี้เพื่อนข้างโต๊ะทำงานชวนไปกินชาบูหมาล่า ความเผ็ดร้อนจนลิ้นชาทำเอาฉันลืมความเจ็บปวดจากงานไปได้เลย อ้อ วันนี้เพื่อนเลี้ยงด้วยแหละ วันหน้าต้องหาโอกาสเลี้ยงคืนบ้างแล้ว”
หลังจากการจรดปากกาขีดสุดท้ายสิ้นสุด หน้าไดอารี่ก็ถูกปิดลงเพื่อรอเสียงกดปากกาใหม่อีกครั้งในโอกาสถัดไป บันทึกเล่มนี้จะได้ค่อย ๆ ถูกแต่งเติมด้วยเนื้อหาหลากหลายจากชีวิตจริงหรือสิ่งที่พบเจอมาของผู้เขียน
‘Isaac D’Israeli‘ นักเขียนชาวอังกฤษให้คำนิยามระหว่าง ‘จดหมาย’ และ ‘ไดอารี่’ ว่า “เราสนทนากับคนไม่อยู่ด้วยจดหมาย และสนทนากับตัวเองด้วยบันทึกประจำวัน” สิ่งนี้ทำให้ความแตกต่างของการส่งสารผ่านเนื้อหาบนหน้ากระดาษทั้งสองแผ่นนี้ต่างกัน หากว่าด้วยความเป็นไดอารี่ มันคือบันทึกตามการสังเกตส่วนตัวต่อเรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในหัว ซึ่งสะท้อนตัวตนและวิธีคิดของผู้เขียนได้เลย
หากย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นของสิ่งนี้ ในช่วงศตวรรษที่ 16 น่าจะเป็นยุคที่สิ่งนี้ค่อย ๆ ก่อร่างสร้างตัวขึ้น ก่อนจะได้รับความนิยมขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 17 ‘ริชาร์ด บอยล์ (Richard Boyle)’ หนึ่งในตระกูลขุนนางของไอร์แลนด์เขียนไดอารี่ขึ้นตั้งแต่ปี 1611-1642 และต่อมาก็มีการนำเนื้อหามาถอดความเป็นหนังสือ และเริ่มได้รับความนิยมในหมู่ชนชั้นนำมากขึ้น จนเมื่อผู้คนเขียนอ่านหนังสือรู้เรื่อง การเขียนไดอารี่ก็ขยับขยายสู่ชีวิตผู้คนโดยทั่วไป

ในยุคที่การเขียนไดอารี่แพร่หลายขึ้น ความเป็น ‘บันทึก’ ที่ถูกเก็บข้อมูลผ่านผู้คนในแต่ละยุคสมัยทำให้เนื้อหาการสรุปความประจำวันของแต่ละคนกลายเป็นบันทึกหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์สังคมยุคนั้นได้จริง ๆ อย่างเช่นไดอารี่ของ จอห์น สตีเวนส์ (John Stevens) เขาก็เลือกจดบันทึกเรื่องราวที่เขาพบเจอในช่วงสมัยสงครามวิลเลียมไมท์ (1689-1691)
หรือไดอารี่ของ พันเอกไมเคิล ริชาร์ด (Colonel Michael Richards) เกี่ยวกับการปิดล้อมเมืองลิเมอริกในปี 1691 ที่ถูกบันทึกไว้ตั้งแต่วันที่ 25 สิงหาคม – 25 กันยายนในปีนั้น ซึ่งข้อมูลที่ถูกระบุไว้ อย่าง การดูความคืบหน้าของการเตรียมค่าย หารือเรื่องการกำหนดตำแหน่งที่ตั้งของปืนใหญ่ และการวางกลยุทธ์ของทหารแต่ละภาคส่วน เนื้อหาทั้งหมดสามารถเลือกใช้เป็นแหล่งข้อมูลทางประวัติศาสตร์ในช่วงเวลาดังกล่าวได้
เนื้อหาเหล่านี้ล้วนสะท้อนยุคสมัยในแต่ละประเด็นที่เกี่ยวพันและเชื่อมโยงกับชีวิตจริงของผู้คน ทั้งให้มุมมองในภาพรวมวิถีชีวิตผู้คนของแต่ละยุคได้ด้วย ซึ่งทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นข้อมูลชั้นดีให้นักประวัติศาสตร์สามารถหยิบเนื้อหาเกี่ยวกับชนชั้นสูงหรือคนรวย ที่ไดอารี่ของพวกเขามักจะถูกเก็บไว้เป็นอย่างดี มาเป็นข้อมูลอ้างอิงเชิงประวัติศาสตร์ต่อได้
หรืออย่างประวัติศาสตร์เกี่ยวกับเรื่องเฉพาะทาง ทั้งด้านสิ่งแวดล้อมที่ถูกถ่ายทอดผ่านการเล่าสภาพอากาศในแต่ละช่วง ด้านการแพทย์จากไดอารี่ของแพทย์เฉพาะทาง Ó Ríordáin ที่เขาป่วยเป็นวัณโรคปอด และอธิบายปัญหาในระบบทางเดินหายใจของตัวเองไว้ครบถ้วนในบันทึกของเขา แม้แต่ประวัติศาสตร์การพิมพ์ที่ปรากฎในฐานะของวัตถุ อย่าง กระดาษของไดอารี่แต่ละเล่ม หรือวิธีเย็บกระดาษทั้งหมดเข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งเป็นแง่มุมที่สะท้อนยุคสมัยของอุตสาหกรรมการพิมพ์ได้เป็นอย่างดี

และอีกสิ่งหนึ่งที่สะท้อนสิ่งเหล่านี้ได้ คือการวิเคราะห์ย้อนกลับถึงวิธีคิดการจดบันทึกเป็นไดอารี่ในแต่ละครั้งว่าผู้เขียนแต่ละคนนั้นมีแรงจูงใจอะไรต่อการจดบันทึกเรื่องราวเหล่านี้ ไดอารี่บางเล่มตั้งใจเป็นแค่บันทึกประจำวันส่วนตัว บางเล่มเขียนขึ้นเพื่อสะท้อนตนเองในแต่ละวัน และบางเล่มก็อาจจะตั้งใจเขียนขึ้นเพื่อส่งต่อเนื้อหาและแนวคิดบางอย่างไปสู่ผู้คนรุ่นต่อไป ผ่านพื้นที่ปลอดภัยที่พวกเขามีสิทธิ์ และมีเสียงในการแสดงออกผ่านการเล่าทุกอย่างที่อยากจะเล่า
แม้ปัจจุบันไดอารี่จะกลายเป็นเรื่องปัจเจกมากยิ่งขึ้น ผู้คนในยุคนี้อาจจะมี ‘ประกายความคิด’ ของการเขียนบันทึกในแต่และรูปแบบแตกต่างกันออกไป แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่านั่นคือชุดความคิด ณ วันเวลาหนึ่งที่ถูกเขียนเป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งวันหนึ่งมันอาจกลายเป็นสิ่งสำคัญและล้ำค่าของใครสักคนก็ได้
หากคุณกำลังตั้งใจจะเขียนไดอารี่ในวันนี้อยู่ อาจจะลองคิดให้มากกว่าเดิมก็ได้ว่าสุดท้ายแล้วไดอารี่ของเรามันอาจจะเป็นแค่ของเราในตอนนี้ และในแง่มุมเดียวกัน ความคิดความอ่านที่เราสะท้อนลงบนหน้ากระดาษก็อาจจะกลายเป็นสิ่งบันทึกยุคสมัยที่ถูกส่งต่อไปยังคนในครอบครัว หรือคนที่เรารักได้ด้วยเหมือนกัน
ที่มา