นับตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน ประเทศไทยส่งนักกีฬาลงแข่งกีฬาโอลิมปิกเกมส์ถึง 18 ครั้ง และได้คว้าเหรียญรางวัลกลับมายังประเทศไทยอย่างมากมาย ล่าสุด ‘วิว-กุลวุฒิ วิทิตศานต์’ นักกีฬาแบดมินตันชายเดี่ยวจากโรงเรียนแบดมินตันบ้านทองหยอด ภายใต้การดูแลของ ‘แม่ปุก’ เพิ่งจะคว้ารางวัลเหรียญเงิน ซึ่งถือเป็นเหรียญรางวัลแรกของการแข่งขัน ‘Paris Olympics 2024’ มาได้ และนับได้ว่าเป็นอีกหนึ่งหน้าประวัติศาสตร์สำคัญในวงการกีฬาแบดมินตันไทยอีกด้วย
ในภาวะที่ความลุ้นระทึกเพิ่งจะจบลงไปได้ไม่นาน กีฬาอีกประเภทที่น่าจับตามองเป็นอย่างยิ่งในคืนนี้คือประเภทมวยสากล ที่เรียกได้ว่ากีฬาประเภทนี้ในบ้านเราได้รับการยอมรับจากทั่วทุกมุมโลก และเมื่อค้นลึกไปยังจำนวนเหรียญกีฬาโอลิมปิกจากอดีตถึงปัจจุบัน นักกีฬาไทยก็คว้าไปแล้วทั้งสิ้น 36 เหรียญ โดยเป็นเหรียญที่ได้จากกีฬา ‘มวยสากล’ ไปแล้วกว่า 15 เหรียญ แบ่งเป็น 4 เหรียญทอง, 4 เหรียญเงิน และ 7 เหรียญทองแดงตามลำดับ
อีกทั้งยังมีโอกาสลุ้นเหรียญรางวัลเพิ่มอีก 1 เหรียญในหมวดหมู่กีฬาประเภทนี้ จากการแข่งขันที่จะเกิดขึ้นในเวลา 03.34 น. ของวันนี้ ซึ่งมี ‘จันทร์แจ่ม สุวรรณเพ็ง’ ฮีโร่หญิงรุ่น 66 กิโลกรัม ชาวไทยเข้าร่วมชิงชัยเหรียญทองแรกกับนักมวยแอลจีเรีย อย่าง ‘อิมาน เคลิฟ’ เราจึงอยากพาทุกคนมาย้อนรอย 4 เหรียญทองไทยที่น่าจดจำกับความสำเร็จของมวยสากลในโอลิมปิก ก่อนที่โอกาสของเหรียญทองที่ 5 อาจจะมาถึงในการแข่งขันนัดนี้
เหรียญทองที่ 1 – โอลิมปิก 1996 ที่แอตแลนตา ประเทศสหรัฐอเมริกา
‘สมรักษ์ คำสิงห์’ คือนักกีฬาไทยคนแรกที่สร้างประวัติศาสตร์คว้าเหรียญทองแรก เส้นทางนักมวยของเขาเริ่มต้นตั้งแต่สมัยเด็ก เนื่องจากคุณพ่อเป็นนักมวยเก่า และให้ลูกชายได้ฝึกซ้อมอย่างจริงจัง จนได้ขึ้นสังเวียนมวยจริง ๆ ตอนอายุ 7 ขวบ
จากนั้นจึงเดินสายชกทั้งมวยไทยกับมวยสากลสมัครเล่นจนเจนเวที และเชิงมวยดีจนถูกเรียกให้ติดทีมชาติจนได้ไปเป็นตัวแทนนักกีฬาโอลิมปิกครั้งแรกในปี 1994 ที่บาร์เซโลน่า แต่ก็ไปไม่ถึงฝัน
หลังจากนั้นเขาจึงทุ่มเทให้กับการฝึกซ้อมอย่างหนัก ทำให้การเข้าสู่สังเวียนการแข่งขันระหว่างนั้นเขากวาดหมดทุกแชมป์ ทั้งกีฬาซีเกมส์ หรือเอเชียนเกมส์ก็ตาม เวลานั้นเองเขารู้ตัวว่าตัวเองพร้อมแล้วที่จะไปเอาชัยชนะให้กับคนไทย สุดท้ายเขาก็ไปถึงฝั่งฝันจากการคว้าเหรียญทองแรกในประวัติศาสตร์ไทยในโอลิมปิก 1996 ที่แอตแลนตาได้ในที่สุด
เหรียญทองที่ 2 – โอลิมปิก 2000 ที่ซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย
จากนักกีฬามวยนอกสายตา สู่การเป็นฮีโร่คว้าเหรียญทองโอลิมปิกได้เป็นคนที่ 2 ในประวัติศาสตร์ไทย ‘วิจารณ์ พลฤทธิ์’ เริ่มต้นต่อยมวยจากการไปเตะฟุตบอลกับเพื่อน แล้วเห็นพี่ชายขึ้นไปชกมวยแล้วแพ้ จนทำให้คันไม้คันมืออยากขึ้นไปชกเองเพื่อพี่ชายให้รู้แล้วรู้รอด และได้ขึ้นสังเวียนครั้งแรกในงานวัดตอน ป.4 ประกบกับคู่ชกรุ่นพี่ ป.5 อีกโรงเรียนที่มีประสบการณ์การชกมากกว่า และชนะในครั้งนั้น
หลังจากนั้นเขาเริ่มฝึกซ้อมมวยไทยตั้งแต่อายุได้ 10 ขวบ และขึ้นชกมาตลอด จนได้รับโอกาสเข้าร่วม ‘ศึกอัศวินดำ’ บนเวทีมวยราชดำเนินซึ่งเป็นเวทีที่นักมวยทุกคนในยุคนั้นใฝ่ฝัน ก่อนถูกทาบทามให้เข้าวงการมวยสากลสมัครเล่นในช่วงเวลาต่อมา
เขาขึ้นชกอยู่นาน 2 ปี กว่าจะคว้าแชมป์แรกมาครองในศึกกีฬาซีเกมส์ ปี 1999 และในปีถัดมาเขาก็ถูกเรียกติดทีมชาติไปลุยศึกใหญ่ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ที่ประเทศออสเตรเลีย การแข่งขันครั้งนั้นเรียกได้ว่านักมวยคนอื่น ๆ พากันผิดหวังเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่ ‘อิกคิวซัง’ ผู้ที่มีประสบการณ์การแข่งขันน้อยที่สุดกลับทำผลงานได้ดีจนผ่านทะลุเข้ารอบชิงชนะเลิศ และกำชัยชนะให้คนไทยทั้งประเทศได้สำเร็จ
เหรียญทองที่ 3 – โอลิมปิก 2004 ที่เอเธนส์ ประเทศกรีซ
‘มนัส บุญจำนงค์’ คือยอดนักมวยอัจฉริยะที่คนไทยทุกคนต่างเทใจให้ หลังจากที่ครั้งหนึ่งเขาได้โชว์ชั้นเชิงสุดแกร่งคว้าเหรียญทอง ประเภทกีฬามวยสากลสมัครเล่นในการแข่งขันโอลิมปิก ปี 2004 ก่อนกลับมาสอยเหรียญเงินได้อีกครั้งในปี 2008 กลายเป็นนักกีฬาไทยคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ได้เหรียญจากการแข่งขันโอลิมปิก 2 สมัยติดกัน
เส้นทางนักมวยของเขาเริ่มต้นจากการขึ้นชกมวยตั้งแต่อายุ 9 ขวบ และหมั่นฝึกซ้อมเป็นประจำจนติดทีมชาติในปี 1997 และเป็นหนึ่งในนักมวยไทยที่ได้ไปโอลิมปิกในปี 2004 ซึ่งหลังจากคว้าเหรียญทองได้สำเร็จ มนัสเกือบตัดสินใจแขวนนวม เพราะใช้ชีวิตประมาทจนเงินรางวัลกว่า 20 ล้านหมดไปในพริบตา ก่อนจะได้สติและกลับมาซ้อมมวยอย่างจริงจังอีกครั้งจนสามารถคว้ารางวัลเหรียญเงินจากการแข่งขันโอลิมปิกปี 2008 ได้สำเร็จนั่นเอง
เหรียญทองที่ 4 – โอลิมปิก 2008 ที่ปักกิ่ง ประเทศจีน
กว่าจะขึ้นแท่นเป็นนักมวยขวัญใจคนไทย ‘สมจิตร จงจอหอ’ นั้นผ่านเรื่องราวมามากมาย เขาเคยเป็นนักมวยไทยอยู่นานก่อนผันตัวขึ้นชกมวยสากลสมัครเล่น มีฝีมือเกินระดับนักกีฬาในอาเซียนไปเยอะ จากการคว้ารางวัลเหรียญทองในการแข่งขันซีเกมส์ได้ถึง 4 สมัย และถูกคาดหวังว่าจะเป็นตัวเต็งในการชิงเหรียญทองโอลิมปิกในปี 2004 และเอเชียนเกมส์ 2006 แต่ก็พลาดทั้ง 2 รายการ
เขาท้อแท้และเกือบประกาศแขวนนวม แต่สุดท้ายสมจิตรก็กลับมาฮึดสู้อีกครั้ง พยายามฝึกซ้อมอย่างหนักเพื่ออยากจะชนะใจตนเอง จนสามารถคว้าเหรียญรางวัลกลับมาให้ประเทศไทยได้สำเร็จ ในประเภทกีฬามวยสากลสมัครเล่นบนการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกปี 2008 นั่นเอง
โอกาสสู่เหรียญทองที่ 5 – โอลิมปิก 2024 ที่ปารีส ประเทศฝรั่งเศส
มาถึงนักมวยหญิงไทยคนแรกและคนเดียว กับโอกาสสำคัญในการคว้าเหรียญรางวัลแห่งประวัติศาสตร์จากการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 2024 อย่าง ‘จันทร์แจ่ม สุวรรณเพ็ง’ นักกีฬาที่ผ่านสังเวียนและสะสมประสบการณ์จนเจนเวทีไม่น้อย ก่อนจะมาเป็นผู้ท้าชิงในการแข่งขันรอบรองชนะเลิศมวยสากลหญิง ของกีฬาโอลิมปิกในปีนี้ที่ปารีส
จันทร์แจ่มผ่านการแข่งขันมาแล้วหลายระดับ ทั้งกีฬาเยาวชนแห่งชาติ กีฬาแห่งชาติ และก้าวเข้าสู่ทีมชาติในนามนักกีฬาสังกัดจังหวัดหนองคาย เธอเข้าร่วมการแข่งขันชกมวยในหลายรายการ จนได้ก้าวสู่สนามสากลอย่างโอลิมปิกได้สำเร็จในปีนี้
จนเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2567 จันทร์แจ่มขึ้นชกมวยสากลไทยในรุ่น 66 กิโลกรัม ประเภทหญิง ทำสถิติชนะคู่แข่งมือหนึ่งจากตุรกี อย่าง ‘บูเซนาส ซูร์เมนลี่’ เจ้าของเหรียญทองโอลิมปิก 2020 ไปได้ด้วยความพยายามและไม่ย่อท้อ ทำให้จันทร์แจ่มก้าวขึ้นมาเป็นนักกีฬามวยสากลไทยคนที่ 5 ที่มีโอกาสเป็นเจ้าของเหรียญรางวัลโอลิมปิกแรกของไทยในวัย 23 ปี อีกทั้งยังเป็นนักมวยสากลหญิงไทยคนแรกในสร้างประวัติศาสตร์อีกด้วย
นอกจากนี้ในปี 2566 จันทร์แจ่มเคยดวลหมัดกับ ‘เคลีฟ’ มาแล้วในรอบรองชนะเลิศ การแข่งขันศึกมวยสากลหญิงชิงแชมป์โลก 2023 ที่ประเทศอินเดีย ซึ่งเคลิฟเอาชนะเธอด้วยคะแนนเอกฉันท์ 5-0 ก่อนจะถูกสหพันธ์มวยสากลนานาชาติ (IBA) ตัดสิทธิ์และปรับแพ้เนื่องจากตรวจเพศไม่ผ่าน
และในคืนนี้ เวลา 03.34 น. ตามเวลาในประเทศไทย ขอเชิญคนไทยทุกคนมาร่วมกันส่งกำลังใจพร้อมเชียร์ให้ ‘จันทร์แจ่ม สุวรรณเพ็ง’ ในการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ เพื่อให้เธอกลายเป็นอีกหนึ่งหน้าประวัติศาสตร์ที่จะถูกบันทึกไว้ในวงการมวยสากลไทยกัน
ที่มา
- https://www.thaipbs.or.th/news/content/342743
- https://www.dailynews.co.th/news/3720299/
- https://stadiumth.com/olympic/highlight/detail?id=289&tab=moment