ประวัติศาสตร์ Lesbian แถบตะวันตก

‘ชายรักชายเป็นยอดชาย ชายรักกับตุ๊ดเป็นมนุษย์อุลตร้าแมน’ เป็นวลีล้อเลียนเพศหลากหลายที่เราได้ยินกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ แต่ในทางกลับกัน เรามักจะไม่ค่อยได้ยินคำล้อเลียนอย่างหญิงได้หญิงเป็นยอดหญิง หรือคำล้อเลียนใด ๆ ก็ตามที่นำเสนอภาพจำถึงกลุ่มคนที่มีอัตลักษณ์ทางเพศแบบ ‘เลสเบี้ยน’ หรือ ‘ผู้หญิงรักกับผู้หญิง’ นั่นอาจจะเป็นเพราะสมัยก่อนเรื่องเหล่านี้ใหม่มากในสังคมไทย แต่ก็ไม่ใช่แค่ในเฉพาะสังคมไทย ในแถบตะวันตกก็เช่นกัน

หากเราย้อนกลับไปดูประวัติศาสตร์เลสเบี้ยนในแถบตะวันตก จะพบข้อเท็จจริงข้อหนึ่งว่าหลักฐานทางประวัติศาสตร์เรื่องเพศหลากหลาย เกย์มีมากกว่าเลสเบี้ยนแน่นอน โดยถ้าจะให้เห็นภาพชัด ๆ คือ ‘ยุคกรีก’ ที่คนผลิตงานเขียนจะเป็นเพศชายเป็นส่วนใหญ่ อาจจะสังเกตได้จากนักปรัชญาที่จะมีแต่ผู้ชายเช่นกัน นอกจากนี้การพูดถึงเพศหญิงรักกับเพศหญิงในยุคนั้นถือเป็นเรื่องต้องห้ามอีกด้วย ซึ่งแม้ว่าจะในยุคกรีกจะมีข้อจำกัดอะไรทำนองนี้ แต่ก็มีงานเขียนบางชิ้นถูกตีความว่าในเนื้อหามีความเกี่ยวข้องกับเลสเบี้ยนอยู่บ้าง 

ถัดมาเป็นยุคอาณาจักรโรมันและต้นคริสต์ศาสนา แม้ยุคนี้จะพบข้อจำกัดเดียวกันคือ งานเขียนเกี่ยวกับเลสเบี้ยนค่อนข้างมีน้อย แต่ก็ยังมีงานเขียนที่เกี่ยวกับเลสเบี้ยนออกมาให้เราเห็นบ้าง ยกตัวอย่าง เช่น เรื่อง Metamorphoses ที่เขียนโดย Ovid เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความรักของเด็กผู้หญิง 2 คน ซึ่งในตอนแรกแม่ของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งได้ปิดบังเพศที่แท้จริงของเธอ เนื่องจากถูกสามีขู่ว่า ถ้ามีลูกผู้หญิงจะฆ่าทิ้ง การปิดบังดังกล่าวทำให้พ่อของเธอก็เข้าใจผิดไปด้วยว่าเขาได้ลูกชาย จนวันหนึ่งพ่อของเธอได้พาเธอไปเจอกับเด็กผู้หญิงอีกคนหนึ่ง จึงได้เกิดความรักขึ้น 

ถัดมาเป็นยุคกลาง ในยุคนี้ศาสนาได้เข้ามีบทบาทสำคัญในการจัดการความสัมพันธ์และความรักแบบผู้หญิงกับผู้หญิง ในยุคนี้ได้มีการศึกษาถึงบทลงโทษทางกฏหมายที่มีต่อเลสเบี้ยน เช่น การตัดมือตัดขา, การเผา, การถูกลงโทษโดยผู้ชาย ซึ่งจะเห็นได้ว่าความสัมพันธ์แบบเลสเบี้ยนในยุคนั้นเป็นความผิดที่มีโทษร้ายแรง 

ต่อกันมาเป็นยุคสมัยใหม่ซึ่งคนก็ยังมองภาพการเป็นเลสเบี้ยนว่าเป็นสิ่งผิดและถูกโจมตีจากสังคม และคำศัพท์คำว่าเลสเบี้ยนหรือผู้หญิงรักร่วมเพศก็เกิดขึ้นในช่วงเวลาเหล่านี้ และในช่วงปลาย ๆ ศตวรรษที่ 19 ไปจนถึงต้นศตวรรษที่ 20 อาจจะสรุปได้ว่า การปรากฏตัวของเลสเบี้ยนมีมากขึ้นพร้อม ๆ กับการไม่เป็นที่ยอมรับทางสังคม และขบวนการเรียกร้องจากเลสเบี้ยนก็เริ่มขึ้นในยุคนี้

ต่อมาเป็นยุคปลายศตวรรษที่ 20 ต้นศตวรรษที่ 21 เป็นยุคที่เกิดการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับชุมชน LGBTQ+ ขึ้น ซึ่งเกิดขึ้นที่ The Stonewall Uprising หรือบาร์เกย์ในเมืองนิวยอร์ก เจ้าหน้าที่ได้เข้าไปค้นและทำร้ายร่างกายลูกค้าในร้านด้วยความรุนแรง ทำให้เกิดการสู้กลับและเกิดการก่อจลาจลขึ้น ความรุนแรงในครั้งนี้นำมาสู่การเรียกร้องสิทธิและเสรีภาพให้กับชุมชน LGBTQ+ อย่างเป็นทางการ และได้เริ่มมีการเดินขบวนไพรด์ในหลาย ๆ ประเทศจนถึงปัจจุบัน ทำให้อาจจะพูดได้ว่าเหตุการณ์ที่ The Stonewall Uprising เป็นคีย์สำคัญที่ทำให้เหล่าชุมชน LGBTQ+ ลุกขึ้นมาขับเคลื่อนและเรียกร้องสิทธิเสรีภาพให้กับตัวพวกเขาเอง

จากข้อมูลประวัติศาสตร์ของ ‘เลสเบี้ยน’ ในแถบตะวันตกทั้งหมดจะเห็นได้ว่า การเป็นเลสเบี้ยนในอดีตจะถูกตีตรา, ถูกมองว่าผิดธรรมชาติ, เป็นคนนอกและเป็นพลเมืองชั้นสอง และมีบทลงโทษอย่างเป็นรูปธรรม นอกจากนี้ยังมีอิทธิพลของเรื่องศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้องอีกด้วย โดยหากจะแนะนำหนังสักเรื่องที่สะท้อนเรื่องราวของเลสเบี้ยนฝั่งตะวันตกยุคกลางกับศาสนาไว้ได้อย่างน่าสนใจ ก็คงเป็นหนังเรื่อง ‘Benedetta’

Benedetta เป็นหนังสัญชาติฝรั่งเศสที่สร้างมาจากเรื่องจริงที่บันทึกชีวิตของแม่ชีคนหนึ่งไว้ในหนังสือ Judith C. Brown’s 1986 Immodest Acts หนังเรื่องนี้ได้เล่าถึงแม่ชีสองคนที่มีความลึกซึ้งกันในเชิงชู้สาว ซึ่งอย่างที่ได้เล่าไปในช่วงต้นว่ายุคกลางถือเป็นยุคที่ศาสนาเข้ามามีบทบาทสำคัญ รวมถึงการเป็นเลสเบี้ยนมีบทลงโทษทางกฏหมาย และการเป็นแม่ชีไปพร้อมกับการเป็นเลสเบี้ยนไปด้วย แน่นอนว่ามีความผิดร้ายแรง แต่หนังเรื่องนี้ได้ท้าทายขนบในหลาย ๆ ฉาก แต่ก็สามารถสะท้อนภาพของเลสเบี้ยนกับศาสนาและความเชื่อของคนในยุคนั้นได้เป็นอย่างดีอีกด้วย  หากใครสนใจ สามารถไปหาดูได้ 

อย่างไรก็ดี ก่อนที่สังคมจะมีความก้าวหน้าเรื่องความหลากหลายทางเพศอย่างไรในปัจจุบัน คนที่มีความหลากหลายทางเพศในอดีตล้วนได้รับผลกระทบจากสังคมที่ตีตราว่าพวกเขาเป็นคนนอก ซึ่งในแต่ละสังคมก็มีวิธีการทรีตคนเหล่านี้ไม่เหมือนกัน ดังนั้นความก้าวหน้าของทั้งทางสังคมและทางกฏหมายเกี่ยวกับชุมชน LGBTQ+ จึงเป็นเรื่องที่น่ายินดี ไม่ว่าเราจะเป็นเพศอะไรก็ตาม

อ้างอิง