‘นาฬิกา’ คือ ตัวกำหนดช่วงเวลาของแต่ละวัน โดยใน 24 ชั่วโมงจะมีวิธีการเรียกแต่ละชั่วโมงแตกต่างกันไป แต่รู้หรือไม่ว่าในประเทศไทยมีระบบการเรียกช่วงเวลาที่แตกต่างจากที่อื่นและยังคงใช้มาถึงปัจจุบัน หรือที่เราจะคุ้นกันดีอย่าง เช่นคำว่า ตี โมง ทุ่ม เป็นต้น ซึ่งคำเรียกระบบเวลาเหล่านี้มีที่มาจากประวัติศาสตร์ไทยของเรานี่เอง เรื่องราวมันมีอยู่ว่าคนไทยอิงการเรียกมาจากอุปกรณ์ที่บอกช่วงเวลานั้น ๆ
เรื่องราวนี้เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 ที่ต้องการจัดระเบียบเรื่องการบอกเวลาให้แก่ราษฏรในประเทศได้เข้าใจตรงกัน โดยเริ่มต้นแบ่งเป็น 2 ช่วง คือ กลางวันให้เรียก ‘โมง’ กลางคืนให้เรียก ‘ทุ่ม’ และประกาศเรื่องนี้ลงราชกิจจานุเบกษาเรื่องทุ่มยาม และต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 5 ก็ได้มีประกาศใช้เรื่องทุ่มยามเช่นกัน โดยมีรายละเอียดตั้งแต่ ย่ำรุ่ง โมงเช้า ย่ำเที่ยง บ่ายโมง ย่ำค่ำ ทุ่ม ยาม เป็นต้น
โดยหากเป็นคนต่างจังหวัดบางคนจะคุ้นกับการเรียกเวลาว่า 2 โมงเช้า 3 โมงเช้า ซึ่งปัจจุบันนี้คนใช้น้อยลงไปเรื่อย ๆ แต่การเรียกบ่าย 1 บ่าย 2 โมงยังคงนิยมใช้กันอยู่ ซึ่งจริง ๆ แล้ววิธีการเรียกเวลาแบบนี้มีที่มาที่ไปคือ ในอดีตวิธีการให้สัญญาณช่วงเช้าจะใช้การตีฆ้องเป็นหลักและเสียงฆ้องจะดัง ‘โมง’ คนเลยเรียกหน่วยเวลาเป็นโมงตามเสียง โดยจะไล่การตีแต่ละชั่วโมง ดังต่อไปนี้
- ตีตอน 07.00 น. ตี 1 ครั้ง เรียกว่า 1 โมงเช้า
- ตีตอน 08.00 น. ตี 2 ครั้ง เรียกว่า 2 โมงเช้า
- ตีตอน 09.00 น. ตี 3 ครั้ง เรียกว่า 3 โมงเช้า
- ตีตอน 10.00 น. ตี 4 ครั้ง เรียกว่า 4 โมงเช้า
- ตีตอน 11.00 น. ตี 5 ครั้ง เรียกว่า 5 โมงเช้า
แต่ช่วงตอน 12.00 น. ได้ปรับการส่งสัญญาณเป็นการยิงปืน โดยคนรับผิดชอบการยิงจะเป็นกองทัพทหารเรือ ซึ่งจะยิงทุก ๆ ตอนเที่ยง และเป็นที่มาของสำนวนไกลปืนเที่ยง หมายถึงคนที่อยู่ห่างไกลความเจริญ ซึ่งความหมายค่อนข้างตรงไปตรงมาเพราะใครที่อยู่บ้านไกลจากตัวพระนครไปจะไม่ได้ยินเสียงยิงปืนนั่นเอง ส่วนช่วงบ่ายก็ยังคงใช้การตีฆ้องอยู่เหมือนเดิมแต่จะเปลี่ยนการเรียกจากคำว่า ‘เช้า’ เป็นคำว่า ‘บ่าย’ ดังนี้
- ตีตอน 13.00 น. ตี 1 ครั้ง เรียกว่า บ่าย 1 โมง
- ตีตอน 14.00 น. ตี 2 ครั้ง เรียกว่า บ่าย 2 โมง
- ตีตอน 15.00 น. ตี 3 ครั้ง เรียกว่า บ่าย 3 โมง
- ตีตอน 16.00 น. ตี 4 ครั้ง เรียกว่า บ่าย 4 โมง
- ตีตอน 17.00 น. ตี 5 ครั้ง เรียกว่า บ่าย 5 โมง
ส่วนช่วง 18.00 น. จะใช้การตีกลองรัว ๆ จะเรียกว่า ‘ย่ำค่ำ’ ส่วนช่วงเช้าก็จะตีกลองรัว ๆ เช่นกัน เรียกว่า ย่ำรุ่ง โดยจะตีช่วง 05.00 น. นั่นเอง ส่วนการบอกเวลาช่วงค่ำจะใช้การตีกลองซึ่งเสียงจะเป็น ‘ทุ่ม’ เป็นที่มาของการเรียกหน่วยเวลาตามเสียงของกลองเช่นกันโดยจะตีตั้งแต่ช่วง 1 ทุ่ม-5 ทุ่ม นั่นเอง ส่วนช่วงตี 1-ตี 5 ใช้เครื่องบอกสัญญาณเป็น ‘แผ่นโลหะ’ ซึ่งช่วงเวลาเหล่านี้ไม่ได้อิงตามเสียงของการตีแผ่นโลหะ แต่อิงตาม ‘การตี’ จึงเรียก ตี 1 ตี 2 ไปจนถึง ตี 5
ส่วนช่วงเที่ยงคืนถูกเรียกว่า ยาม 2 หรือ 2 ยาม โดยอิงจากเวลาการอยู่ยามของทหารในสมัยก่อนที่จะแบ่งเป็น 4 ยาม ยาม 1 จะเป็นช่วง 18.00 น.-21.00 น. ยาม 2 จะเป็นช่วง 21.00 น.-24.00 น. ยาม 3 จะเป็นช่วง 24.00 น.-03.00 น. ส่วนยาม 4 จะเป็นช่วง 03.00 น.-06.00 น. นั่นเอง
อย่างไรก็ดี ต่อมาก็ได้มีการนับเวลารูปแบบสากลโดยอิงเวลาจากนาฬิกากลและเลิกตีกลองในเวลากลางคืน แต่จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ได้สะท้อนให้เห็นว่าทั้งรัชกาลที่ 4 และชนชั้นนำไทย ณ ขณะนั้น ไม่ได้เชื่อถือและยอมรับในนาฬิกากลขนาดนั้น เพราะยังคงใช้การนับเวลาทั้งแบบเดิมควบคู่ไปกับแบบสากล รวมถึงยังมีการคำนวณนาฬิกากลเทียบกับการนับเวลาแบบเดิมอีกด้วย

อ้างอิง
- https://www.silpa-mag.com/culture/article_122812
- https://th.wikisource.org/wiki/ประกาศใช้ทุ่มโมงยามลงวันที่_23กรกฎาคม_ร.ศ._119
- https://www.blockdit.com/posts/5cb47829727826101b11d78c
- https://www.trueplookpanya.com/learning/detail/24427/036391
- https://th.m.wikipedia.org/wiki/นาฬิกาหกชั่วโมง
- https://www.silpa-mag.com/history/article_7703