ปัจจุบันอินเทอร์เน็ตได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของสังคม แต่กว่าที่คนคนหนึ่งติดต่อสื่อสารจากทวีปหนึ่ง ข้ามมายังทวีปหนึ่งได้ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะต้องใช้ทรัพยากรเป็นอย่างมาก แต่ตอนนี้มันง่ายดายมาก เพียงแค่กดปุ่มเพียงหนึ่งปุ่มเราก็สามารถส่งข้อความหรือโทรหาคนรู้จักของเราจากอีกซีกโลกได้สบาย ๆ นั่นก็ต้องขอบคุณอินเตอร์เน็ตและอีกสิ่งที่เราจะพาทุกท่านไปรู้จักในวันนี้ “World Wide Web”

จุดเริ่มต้นมันเกิดจากความหัวเสียของวิศวกรคนหนึ่งที่ชื่อว่า Tim Berners-Lee ที่หงุดหงิดกับเวลาที่เขาต้องเสียไปกับการหาข้อมูลจากคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องในองค์การวิจัยนิวเคลียร์ยุโรป (CERN) ที่เขาทำงานอยู่ เขาเลยเสาะหาวิธีการที่ทำให้เขาเข้าถึงข้อมูลวิธีเหล่านั้นให้เร็วที่สุด จนเขาได้รู้ว่าไม่มีใครลองทำเลยตั้งแต่แรก จึงตัดสินใจเขียนโครงการหนึ่งที่มีความเกี่ยวข้องกับระบบ Hypertext ที่พึ่งเริ่มใช้งานในวงการคอมพิวเตอร์ได้ไม่นาน ส่งไปหาฝ่ายจัดการ โดยในโครงการนั้น Tim เริ่มใช้คำว่า “Web” ซึ่งเขาได้เสนอแผนผังของระบบการจัดการข้อมูลโดยการใช้ Hypertext หรือลิงก์ที่เรารู้จักกันมาเป็นตัวจัดการปัญหาข้อมูลที่ไม่เป็นระเบียบในเครือข่ายของ CERN นอกจากนั้นแล้วเขาก็ได้สร้างระบบขึ้นมาเป็นตัวอย่างให้ดูในชื่อ ENQUIRE ซึ่งในตอนนั้นเขาเรียกหน้าเพจว่าการ์ด และหน้าตาของมันคล้ายสารานุกรมมากกว่าจะเป็นหน้าเว็บไซต์

ในระหว่างนั้นเขาลาออกไปเป็นฝ่ายเทคนิคให้กับ Image Computer Systems อยู่ 3 ปี หลังจากเขากลับมาเขาก็ได้ระลึกว่า ENQUIRE ลูกรักของเขานั้นไม่สามารถตามทันข้อมูลในองค์กรได้แล้ว อีกทั้งยังมีปัญหาในเรื่องการใช้งาน เพราะ Tim ออกแบบ ENQUIRE มาให้เขาเข้าใจเพียงคนเดียวแต่เขารู้ว่าระบบแบบ ENQUIRE มันต้องเข้าถึงทุกคน อีกทั้งระบบยังไม่สามารถจัดการข้อมูลจำนวนมหาศาลได้จึงทำให้มันไม่เข้ากับการทำงานอีกต่อไป จึงพยายามพัฒนาให้ระบบ Hypertext เข้ากับอินเตอร์เน็ตได้อย่างสมบูรณ์แบบ จึงนั่งคิดระบบใหม่ที่ทำให้มันสามารถเข้าถึงได้ทุกคนและใช้งานง่าย ๆ และหาชื่อเรียกมัน คิดออกมาหลายชื่อแต่มาจบที่ “World Wide Web” ซึ่งในระหว่างนั้น Tim ได้จับมือกับเพื่อนร่วมงานที่เชี่ยวชาญใน Hypertext เป็นอย่างมาก อย่าง Robert Cailliau มาช่วยผลักดันระบบนี้ภายใน CERN แต่ไม่มีใครสนใจเลยสักนิด ไม่มีใครสนใจถึงขนาดที่เขาเคยเสนองานชิ้นนี้ไปหลายครั้งหลายครา แต่ไม่มีใครเชื่อเขาเลย

Tim เลยตัดสินใจเดินหน้าพัฒนาระบบนี้อย่างเต็มกำลัง ระหว่างนี้จึงเขาจึงเริ่มพัฒนาสามเทคโนโลยีที่กลายมาเป็นรากฐานของเว็บไซต์ทุกวันนี้ อย่าง สิ่งที่ใช้เป็นตัวแทนของเว็บไซต์นั้น – URL, ภาษาที่ใช้ที่การประกอบข้อความให้กลายมาเป็นหน้าเว็บ – HTML และระบบของเว็บ – HTTP จนกระทั่งในวันที่ 12 พฤศจิกายน ปี ค.ศ. 1990 Tim ได้โครงการนี้ในรูปแบบที่เป็นทางการมากขึ้น เพื่อที่จะสร้างโปรเจกต์ Hypertext ที่เรียกว่า “World Wide Web” (หรือที่ทิมเรียกย่อๆ ว่า W3) เพื่อที่จะเชื่อมโยงหน้าเอกสารให้ดูได้ผ่านสิ่งที่เรียกว่า “เบราว์เซอร์” โดยใช้ระบบแบบ Cilent-Server เป็นหลัก และเดือนถัดมาทีมของ Tim ก็เดินหน้าพัฒนาทุกอย่างที่เกี่ยวของกับ W3 อย่างเต็มกำลังและปล่อยทุกสิ่งออกมาให้ได้ใช้ทั้ง HTTP, HTML, หน้าเบราว์เซอร์ตัวแรกของโลกที่ใช้ขื่อว่า WorldWideWeb ที่ทำหน้าที่เป็นทั้งเบราว์เซอร์และโปรแกรมทำเว็บไซต์, เซิร์ฟเวอร์ของเว็บ และเว็บไซต์แรกที่มีหน้าเว็บเพจที่อธิบายรายละเอียดของโปรเจคนี้ (http://info.cern.ch) เพื่อปล่อยให้สาธารณะชนได้รู้จักระบบที่จะเข้ามาเปลี่ยนชีวิตของทุกคนในอนาคต

หลังจากนั้นทุกอย่างก็เดินหน้าไปอย่างรวดเร็ว มีการเปิดเซิร์ฟเวอร์นอก CERN หลังจากการเปิดตัว 1 เดือนถัดมา และพัฒนาจากการที่หน้าเว็บมีแค่ข้อความกลายเป็นภาพ, เสียงและวิดีโอ มีการพัฒนานามสกุลไฟล์ใหม่ ๆ เพื่อรองรับการใช้งานอินเตอร์ที่ต้องการลดการใช้งานการรับส่งข้อมูลที่เยอะเกินไป ไม่ว่าจะเป็น MPEG, JPEG และ MP3 ทาง Windows ก็พัฒนาเว็บเบราเซอร์ตัวแรกชื่อ Cello ออกมาให้ใช้ และในปี ค.ศ. 1994 ก็มีงาน International World Wide Web Conference เพื่อหารือเกี่ยวกับมาตรฐานของเว็บไซต์ที่เริ่มจัดโดย Robert ในปีแรกและจัดขึ้นเรื่อย ๆ ทุกปีหลังจากนั้น ทาง Tim ก็ได้ก่อตั้ง World Wide Web Consortium หลังจากที่เขาออกจาก CERN เพื่อควบคุมมาตรฐานและหาทางปรับปรุงเว็บไซต์ให้เข้ากับยุคสมัยที่เทคโนโลยีพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ

ในด้านกฎเกณฑ์เชิงพาณิชย์ก็ถูกยกออกไปหลังจากเครือข่ายมูลนิธิวิทยาศาสตร์แห่งชาติ (NSFNET) ปิดตัวลง เว็บไซต์มีความเป็นสิ่งของเชิงพาณิชย์มากขึ้น เหล่าบริษัทต่าง ๆ เริ่มลงมาหารายได้กับเว็บไซต์ Search Engine ถูกคิดค้นมาให้ผู้ใช้งานค้นหาข้อมูลด้วยความสะดวกสบาย หลังจากนั้นโดเมน .com ก็ถูกใช้งานอย่างแพร่หลาย การซื้อขายสินค้าบนออนไลน์ก็เริ่มได้รับความนิยม ขยับขยายไปจนถึงว่ามีการทำซอฟต์แวร์สำหรับการเปลี่ยนคอมพิวเตอร์ในบ้านให้กลายเป็นเซิร์ฟเวอร์สำหรับเว็บ เริ่มมีการป้องกันอาชญากรรมบนโลกออนไลน์มากขึ้นหลังจากที่มีการพัฒนา HTTPS (การเชื่อมต่อแบบเข้ารหัส) Web มีการพัฒนามาเป็น Web 2.0 ที่รองรับการรับข้อมูลที่เรียลไทม์มากขึ้นอันเนื่องมาจากความดังของบล็อกและ RSS

จนกระทั่งเว็บได้เข้าสู่เวอร์ชั่น 3.0 ที่พัฒนาให้สามารถเชื่อมเข้ากับอุปกรณ์อื่น ๆ ได้จนกลายเป็นกระแส Internet of Things ขึ้นมา ที่เราสามารถเชื่อมเข้ากับอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เชื่อเข้ากับเว็บได้ เพียงแค่สั่งการผ่านเครื่องมือไม่ว่าจะเป็นมือถือหรือโปรแกรม และพัฒนาต่อมาเป็น Blockchain, Digital Tokens และ Digital Wallets และคาดว่าอนาคตอาจจะมีอะไรให้เราได้ตื่นเต้นกับการพัฒนาเว็บให้กลายเป็นยุค 4.0 ในอนาคตอันใกล้นี้

AUTHOR

สิ่งมีชีวิตที่หยิบเรื่องรอบตัวมาเขียนมาเล่าให้คนอื่นอ่านและฟัง ส่วนตัวคนเขียนนั้นการอ่านอันดับสอง การนอนอันดับหนึ่ง