ในวัฒนธรรมฮิปฮอปมักมีการใช้ถ้อยคำรุนแรงเสียดสีในเพลงอยู่บ่อยครั้ง เนื่องจากรากเหง้าของมันถูกประดิษฐ์มาเพื่อใช้ในการต่อสู้ทางคำพูด ซึ่งเราจะเห็นได้ชัดเจนที่สุดในการ Rap Battle โดยแร็ปเปอร์ทั้งสองจะออกมาดวลไรม์ผ่านฝีปากอันเผ็ดร้อนของตนเอง ใครแร็ปเจ็บ ไรม์ดี พั้นช์ไลน์คมก็เป็นผู้ชนะไป แต่ถึงกระนั้นด้วยความอิสระทางแนวดนตรีของมันก็ยังช่วยส่งสารอื่น ๆ ที่เจ้าของเพลงพยายามจะเล่าได้อีกด้วย เช่น วิถีชีวิต แง่คิด หรือแม้กระทั่งอุดมการณ์ ดังนั้นธรรมชาติของเพลงแร็ปจึงมักมีเนื้อหาและถ้อยคำรุนแรง เพราะมันเปรียบเสมือนอาวุธที่ใช้ป้องกันตนเอง และแน่นอนว่าในหลายครั้งมันก็ทำร้ายคนอื่นเหมือนกัน
ทว่าในยุคที่กระแสสังคมละเอียดอ่อนและตระหนักรู้ถึงสิทธิความเป็นมนุษย์มากขึ้น การใช้ถ้อยคำรุนแรงเสียดเสียต่อกลุ่มบุคคลใดบุคคลหนึ่งก็ดูจะลดน้อยถอยลงไป กลายเป็นแข่งขันกันอวดร่ำอวดรวย คุยโวเรื่องเมียสวยเสียเป็นส่วนมาก แต่สำหรับแร็ปเปอร์ระดับตำนานอย่าง EMINEM ดูเหมือนจะไม่สนใจเรื่องพวกนี้สักเท่าไหร่ เขายังคงใช้วิธีการแร็ปด้วยถ้อยคำรุนแรงเหมือนเดิม เพื่อประกาศกร้าวต่อสาธารณชนว่าเขา ‘กลับมาแล้ว’ ในซิงเกิลล่าสุด อย่าง ‘Houdini’ ที่เพิ่งปล่อยออกมาไม่นานนี้ และนอนว่าภายในเพลงเต็มไปด้วยคำสบถด่า พาดพิง และเสียดสีบุคคลอื่นอย่างตั้งใจ เพราะดูเหมือนว่าสำหรับเขาแล้ว Toxic Engagement เท่ากับ Engagement
Houdini เป็นซิงเกิลแรกจากอัลบั้ม The Death of Slim Shady ที่กำลังจะปล่อยออกมาให้รับฟังกันเร็ว ๆ นี้ โดยในเพลง Houdini พยายามล้อกับเรื่องมายากลในทำนองว่า เขาจะเสกให้อาชีพการเป็นแร็ปเปอร์ของตนเองหายไปผ่านเพลงนี้ เหมือนกับคำว่า Houdini ที่แปลว่า หายไป ซึ่งแน่นอนว่าเทพเจ้าดราม่าอย่าง EMINEM ที่ผ่านร้อนหนาวการวิวาททางโลกอินเตอร์เน็ตและสังคมเซเลบริตี้มาทุกยุคทุกสมัยคงไม่ปลิวไปง่าย ๆ จึงเป็นการขิงแบบกลาย ๆ ว่าฉันไม่ล้มง่าย ๆ หรอกนะ และเป็นไปตามคาด เพลง Houdini ได้รับกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจนติดเทรนด์ X ในขณะเดียวกันก็ขึ้นเทรนด์อันดับ 1 ของ YouTube อีกด้วย
ภายในเพลง Houdini มีการกล่าวถึง Paul Rosenberg ผู้จัดการคนเก่าของ EMINEM ที่มักเตือนเขาเรื่องการใช้ถ้อยคำหยาบคาย ในประโยคเปิดเพลงที่ว่า “Hey, Em, it’s Paul. Uh, I was listening to the album. Good f**cking luck, you’re on your own. แปลว่า เห้ยเอ็ม นี่พอลนะ ฉันฟังเพลงแกแล้ว ขอให้แกโชคดีแล้วกัน เรื่องของแกเลย ซึ่ง EMINEM ตั้งใจใส่คำพูดนี้มาเพื่อทำให้เรารู้ว่าเพลงนี้มีเนื้อหาหยาบคายแน่นอน และเป็นไปตามที่พอลบอก เพลงนี้มันหยาบคายสุด ๆ
นอกจากผู้จัดการคนเก่าแล้ว ที่เป็นประเด็นพูดถึงหนาหูมากที่สุดคือการที่ EMINEM พาดพิงถึงแร็ปเปอร์สาว อย่าง Megan Thee Stallian ในท่อน “If I was to ask for Megan Thee Stallian if she would collab with me?” แปลว่า ถ้าให้ฉันถามเมแกน ฉันคงถามว่ามาทำเพลงด้วยกันไหม ซึ่งฟังดูผิวเผินอาจไม่มีอะไรเสียหาย แต่มันดันมีการเชื่อมโยงประโยคนี้เข้ากับกรณีที่ Megan Thee Stallian เคยถูกแร็ปเปอร์ชื่อ Tory Lanez ยิงเข้าที่เท้า จากเหตุการณ์การทะเลาะวิวาทกันเรื่องแนวดนตรี โดยผู้ใช้โซเชียลมีเดียบางส่วนเห็นว่า EMINEM พยายามล้อเลียนเหตุการณ์ถูกทำร้ายที่เกิดขึ้นของแร็ปเปอร์สาว ซึ่งเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ความเกลียดชังและการกระทำรุนแรงต่อเพศหญิง
นอกจากนี้ยังมีการใช้ถ้อยคำล้อเลียน LGBTQIA+ ในท่อน “He’d probably say that everything is gay” แปลว่า เขา (ตัวของ EMINEM สมัยก่อน) คงพูดว่าทุกอย่างเป็นเกย์หมดแล้ว ในทำนองว่าทุกวันนี้คนในสังคมสมัยใหม่ Woke กันหมด ถ้าเป็นตัวเขาเมื่อก่อนคงสบถออกมาแบบนี้ เนื่องจากเพลงของเขาเมื่อก่อนมักมีเนื้อหาเหยียดเพศ และยังมีท่อนที่พูดถึงการที่คนผิวดำ (แอฟริกัน) มักทำตัวเหมือนคนเอเชีย แต่ที่หลายคนพากันชอบใจคงเป็นท่อนที่พาดพิงถึง Black Eyes Peas กลุ่มแร็ปเปอร์สามคนที่ค่อนข้างโด่งดังในยุคก่อน ซึ่ง EMINEM เลี่ยงบาลีโดยการใช้คำว่า “The Black Guy Pees” และใช่ Pees ที่แปลว่าฉี่นั่นล่ะ เพราะ R.Kelly แร็ปเปอร์ผิวสียุคก่อนเคยโดนคดีละเมิดเยาวชนเนื่องจากเจ้าตัวไปฉี่ใส่เขา
อีกสิ่งหนึ่งในท่อนท้าย ๆ ที่เชื่อมโยงกับภาพใน MV นั่นคือท่อนที่ EMINEM พูดถึงลูกทั้งสามคนของตนเองว่าเป็นเด็กสารเลว พร้อมกับภาพลูก ๆ ของเขาแสดงสีหน้ารังเกียจออกมา ซึ่งแน่นอนว่าเกือบทั้งหมดทั้งมวลในเนื้อเพลงที่กล่าวมานั้นเป็นการแร็ปจากมุมมองของ Slim Shady อัลเทอร์อีโก้หรืออีกหนึ่งบุคลิกของเขาที่เหมือนเป็นตัวแทนด้านมืดและบ้าบอ ซึ่งการแร็ปแบบหยาบคาย ด่ากราด บอดบ้านี้จะเห็นได้ชัดจากอัลบั้มในช่วงแรกของเขาที่มักมีเนื้อหาหยาบคายและรุนแรง อาทิ การพูดถึงการฆาตรกรรม การล้อเลียนเสียดสีกลุ่มคนรักร่วมเพศ แม้กระทั่งแม่ตัวเองเขายังเคยแร็ปด่ามาแล้ว
ต่อมาเริ่มมีกระแสโต้กลับเรื่องการทำเพลงของเขาที่มีเนื้อหารุนแรงและสร้างความเกลียดชัง ทว่าเขากลับโทษ Slim Shady ตัวละครสมมุติในจินตนาการว่าเป็นคนทำ แต่หลังจากที่เขาได้เข้ารับการบำบัดยาเสพติดก็เริ่มดีขึ้น (ในเพลงนี้ก็มีท่อนที่กล่าวว่าเขาเคยติดยามาก่อน) การทำเพลงแบบ Slim Shady ก็ค่อย ๆ จางหายไป EMINEM ทำเพลงที่มีเนื้อหาจริงจังมากขึ้น พูดถึงความรัก ผู้คน และสังคมมากขึ้น ซึ่งถ้าคิดตามจากชื่ออัลบั้มนี้ (The death of Slim Shady) ก็อาจอนุมานได้ว่าคาแร็กเตอร์ที่รุนแรงด่ากราดได้ตายจากโลกนี้ไปแล้ว รวมถึงความคิดแย่ ๆ ตามที่เนื้อหาในเพลงระบุ
อย่างไรก็ตามยังคงเป็นเรื่องที่ด่วนสรุปไม่ได้ เพราะ Slim Shady อาจไม่ได้ตาย แต่กลับมาใหม่เหมือนที่ภายในเพลงมักย้ำบ่อย ๆ ว่า “Guess who back?” ทายสิว่าใครกลับมา และในท่อน “Just like that and I’m back,bro” นั่นล่ะ ฉันกลับมาแล้ว ซึ่งการหายไปของ Slim Shady เป็นเพียงการกวนโอ้ยของ EMINEM หรือไม่ เราอาจต้องรอติดตามฟังซิงเกิลต่อ ๆ ไปในอัลบั้มนี้ของเขา และแน่นอนว่ามันมีทั้งคนที่ชอบและไม่ชอบ