‘พายุวิภา’ น่าจะเป็นชื่อที่เราทุกคนกำลังจับตามอง และให้ความสนใจเป็นอย่างมาก เพราะมันกำลังส่งผลกระทบกับสภาพภูมิอากาศบ้านเราอย่างจริงจัง เพราะด้วยความเร็วลมกว่า 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และปริมาณน้ำฝนที่อาจจะตกหนักถึงขั้นหนักมาก แม้พายุนี้จะอ่อนกำลังลงแล้วก็ตามเมื่อเคลื่อนตัวมาถึงบ้านเรา ซึ่งจากสถานการณ์ข่าวเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาก็น่าจะพอเห็นแล้วว่าศูนย์กลางของพายุในพื้นที่ต้นทางอย่างประเทศจีนนั้นส่งผลกระทบมากน้อยเพียงใด
บางคนที่ติดตามข่าวก็อาจจะสงสัยว่า ‘วิภา’ ชื่อมันมายังไงนะ ชาวกรุงบางคนก็นึกไปว่ามันคือ ‘วิภาวดีรังสิต’ มาจากชื่อถนนหรือเปล่า หรือมันเกี่ยวข้องยังไงกันแน่ วันนี้เราจะมา SUM UP ให้ได้อ่านกันว่าที่มาที่ไปของชื่อพายุหมุนเขตร้อนเหล่านี้ที่มักได้ยินกัน มีที่มาที่ไปอย่างไร
ก่อนจะไปถึงคำตอบของความสงสัยที่ว่า เรามาดูกันก่อนว่าในบ้านเรามีชื่อเรียกพายุแบบไหนบ้าง ในเว็บไซต์ของกรมอุตุนิยมวิทยา มีไฟล์แสดงรายชื่อพายุหมุนเขตร้อน ความหมายและที่มา (ล่าสุด พ.ศ. 2567) ระบุวันที่ของข้อมูลไว้เมื่อ 12 มิถุนายน 2567 ความยาว 6 หน้า มีรายชื่อพายุหมุนเขตร้อนที่ก่อตัวบริเวณมหาสมุทรแปซิฟิกเหนือด้านตะวันตกและทะเลจีนใต้หลากหลายภาษาด้วยกัน รวมแล้วกว่า 140 รายชื่อ จากทั้ง 14 ประเทศ ได้แก่ กัมพูชา, จีน, เกาหลีเหนือ, เกาหลีใต้, ฮ่องกง, ญี่ปุ่น, ลาว, มาเก๊า, มาเลเซีย, ฟิลิปปินส์, สหรัฐอเมริกา, เวียดนาม, ไมโครนีเซีย และไทย
ซึ่งชื่อพายุเหล่านี้ล้วนแล้วแต่นำคำสามานยนามและวิสามานยนามของแต่ละประเทศมาตั้งกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นชื่อสัตว์ ชื่อดอกไม้ ชื่อนักรบ ชื่อผลไม้ ชื่อสถานที่ ชื่อคน ชื่อกลุ่มดาว ชื่อต้นไม้ ชื่อโบสถ์ รวมไปถึงชื่อเทพในตำนานปรัมปราก็มีเช่นกัน
วิธีการตั้งชื่อพายุหมุนเขตร้อน เกิดขึ้นจากการประชุมคณะกรรมการไต้ฝุ่น (ESCAP/WMO Typhoon Committee) ซึ่งมีการจัดประชุมกันเป็นประจำในทุก ๆ ปี ช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ ถึงต้นเดือนมีนาคม โดยจะมีการสลับสับเปลี่ยนพื้นที่ประชุมเป็นประเทศต่าง ๆ จากทั้ง 14 ประเทศสมาชิกที่กล่าวไปในย่อหน้าก่อน ๆ โดยมีทั้งการนำเสนอความก้าวหน้าทางวิชาการเรื่องการแจ้งเตือนภัยพิบัติ หรือนำเสนอความคืบหน้าของแผนปฏิบัติงานในปีที่ผ่านมา
จุดสำคัญของคำถามที่เปิดไว้ช่วงต้นอยู่ตรงนี้ เพราะในที่ประชุมเดียวกันจะมีการพิจารณาการทดแทน และการถอดถอนชื่อพายุที่สร้างความเสียหายให้แก่ประเทศสมาชิก โดยหลักเกณฑ์การเลือกชื่อเพื่อนำมาใช้เป็นชื่อพายุ ได้แก่
- เป็นชื่อที่มีตัวอักษรไม่เกิน 9 ตัวอักษร
- ชื่อต้องง่ายแก่การออกเสียงทางวิทยุและโทรทัศน์
- ไม่มีความหมายเชิงลบ
- ไม่สร้างความยุ่งยากในการฟัง พูด อ่าน เขียน
- ไม่ควรเป็นชื่อทางการค้า
- ไม่เป็นชื่อที่คล้ายคลึงกับชื่อพายุหมุนเขตร้อนในบริเวณอื่น ๆ
โดยทุกครั้งที่เกิดพายุความเร็วลมสูงสุดใกล้จุดศูนย์กลางมากกว่า 34 นอต หรือเท่ากับ 63 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จะเกิดการตั้งชื่อพายุลูกนั้นตามที่สมาชิกแต่ละพื้นที่ได้เสนอเข้ามายังที่ประชุม
‘นายชัยชาญ สิทธิวรนันท์’ ผู้อำนวยการสำนักพยากรณ์อากาศกลาง กรมอุตุนิยมวิทยา ให้ข้อมูลกับทาง Thai PBS ไว้ว่าในการประชุมทุกครั้ง แต่ละประเทศจะส่งชื่อราว 5-10 ชื่อ และแบ่งชื่อออกเป็น 5 กลุ่ม กลุ่มละ 28 รายชื่อ เรียงจากประเทศแรกสุดตามตัวสะกดภาษาอังกฤษคือกัมพูชา มาจนถึงประเทศสุดท้ายอย่างเวียดนาม แล้วจากนั้นจะเริ่มใช้ชื่อแรกเมื่อเกิดพายุที่เข้าหลักเกณฑ์ เมื่อเกิดพายุใหม่ที่เข้าหลักเกณฑ์ต่อก็จะใช้ชื่อถัดไปของประเทศถัดไป ถ้าใช้จนหมดแถวแล้วก็จะวนกลับมายังชื่อแรกใหม่เรื่อย ๆ ซึ่งในทุก ๆ ปีก็จะมีการเลือกว่าจะเอาชื่อไหนออก หรือเสนอชื่อไหนเพิ่มเติมบ้างนั่นเอง
มาที่ชื่อพายุที่ตั้งชื่อโดยประเทศไทยในปัจจุบัน มีอยู่ด้วยกัน 10 รายชื่อ ดังต่อไปนี้
1. พระพิรุณ (PRAPIROON) ตั้งชื่อตามเทพเจ้าแห่งฝน ปรากฏครั้งแรกเป็นชื่อพายุเมื่อปี พ.ศ. 2543, 2549, 2555 และ 2561 ตามลำดับ
2. กระท้อน (KRATHON) ตั้งชื่อตามผลไม้ ก่อนหน้านี้มีชื่อว่า ทุเรียน (DURIAN) และ มังคุด (MANGKHUT) มาก่อน ปรากฏครั้งแรกเป็นชื่อพายุทุเรียนเมื่อปี พ.ศ. 2544, 2549 ต่อมาเปลี่ยนเป็นชื่อมังคุด จากพายุเมื่อปี 2556, 2561 และเปลี่ยนเป็นชื่อกระท้อน จากพายุเมื่อปี พ.ศ. 2567 ตามลำดับ
3. วิภา (WIPHA) หรือตัวสะกดเดิมว่า VIPA ตั้งชื่อตามคำมงคลที่แปลว่า แสงสว่าง ความสุกใส และความงดงาม คนไทยมักเอามาตั้งเป็นชื่อคน ปรากฏครั้งแรกเป็นชื่อพายุเมื่อปี พ.ศ. 2544, 2550, 2556, 2562 และ 2568 ตามลำดับ
4. บัวลอย (BUALOI) ตั้งชื่อตามขนมไทย ก่อนหน้านี้มีชื่อว่า รามสูร (RAMMASUN) มาก่อน ซึ่งตั้งชื่อตามเทพเจ้าแห่งสายฟ้า ปรากฏครั้งแรกเป็นชื่อพายุเมื่อปี พ.ศ. 2545, 2551, 2557 และเปลี่ยนเป็นชื่อบัวลอย จากพายุเมื่อปี พ.ศ. 2562 ตามลำดับ
5. เมขลา (MEKKHALA) ตั้งชื่อตามเทพธิดาประจำสมุทรในเทพนิยาย ปรากฏครั้งแรกเป็นชื่อพายุเมื่อปี พ.ศ. 2545, 2551, 2558 และ 2563 ตามลำดับ
6. อัสนี (ATSANI) ตั้งชื่อตามคำมงคลที่แปลว่า สายฟ้า และยังเป็นชื่ออาวุธของพระอินทร์ คนไทยมักเอามาตั้งเป็นชื่อคน ก่อนหน้านี้มีชื่อว่า หนุมาน (HANUMAN) แต่ไม่เคยถูกใช้งาน และถูกถอนด้วยเหตุผลทางความเชื่อ เนื่องจากเป็นชื่อเทพเจ้าในศาสนาฮินดู เปลี่ยนเป็นชื่อ มรกต (MORAKOT) และกลายมาเป็นชื่อ อัสนี ในปัจจุบัน ปรากฏครั้งแรกเป็นชื่อพายุมรกตเมื่อปี พ.ศ. 2546, 2552 และเปลี่ยนชื่อเป็นอัสนี จากพายุเมื่อปี พ.ศ. 2558 และ 2563 ตามลำดับ
7. นิดา (NIDA) ตั้งชื่อตามคำมงคลที่แปลว่า ผู้ได้รับการแนะนำ, ผู้ได้รับการอบรมอย่างดี คนไทยมักเอามาตั้งเป็นชื่อคน ปรากฏครั้งแรกเป็นชื่อพายุเมื่อปี พ.ศ. 2547, 2552, 2559 และ 2564 ตามลำดับ
8. ชบา (CHABA) ตั้งชื่อตามดอกไม้ ปรากฏครั้งแรกเป็นชื่อพายุเมื่อปี พ.ศ. 2547, 2553, 2559 และ 2565 ตามลำดับ
9. กุหลาบ (KULAP) ตั้งชื่อตามดอกไม้ ปรากฏครั้งแรกเป็นชื่อพายุเมื่อปี พ.ศ. 2548, 2554, 2560 และ 2565 ตามลำดับ
10. ขนุน (KHANUN) ตั้งชื่อตามผลไม้ ปรากฏครั้งแรกเป็นชื่อพายุเมื่อปี พ.ศ. 2548, 2555, 2560 และ 2566 ตามลำดับ
จะเห็นได้ว่าจะชื่อพายุที่ประเทศไทยเป็นผู้เสนอทั้ง 10 รายชื่อนี้ แบ่งออกได้ราว 4 ประเภท คือ
- ชื่อพืชผลทางด้านเกษตรกรรม ได้แก่ กระท้อน, กุหลาบ, ชบา, ขนุน
- ชื่อเทพธิดา เทพเจ้า หรือปรากฏการณ์บนท้องฟ้า ได้แก่ พระพิรุณ, อัสนี, เมขลา
- ชื่อมงคลที่มักถูกนำมาตั้งเป็นชื่อของคนไทย ได้แก่ วิภา, นิดา
- ชื่อขนม ได้แก่ บัวลอย
ในประเทศอื่น ๆ ก็มีการเสนอชื่อพายุที่มาจากคำสามานยนาม และวิสามานยนามของแต่ละประเทศเช่นกัน อย่างเช่นชื่อสัตว์ ชื่อโบราณสถาน คำนามทั่วไป ชื่อภูเขา ชื่อไม้เนื้อแข็ง ชื่อเครื่องดนตรี ซึ่งล้วนแล้วแต่จะเป็นชื่อที่หมุนวนมาให้เราได้เรียนรู้คำศัพท์ใหม่ ๆ จากบ้านพี่เมืองน้องใกล้เคียงกันกับเราอยู่เรื่อย ๆ นั่นเอง
อย่างไรก็ตาม ชื่อพายุเหล่านี้ก็สะท้อนลีลาและชุดคำที่แต่ละประเทศเสนอกันมา เหมือนกับชื่อพายุวิภาที่กำลังถูกใช้งานอยู่ในขณะนี้ ก็สะท้อนถึงการที่คนไทยเราชอบใช้ภาษาสวย ๆ งาม ๆ ในการตั้งชื่อ รวมถึงยังเป็นหนึ่งช่องทางการเรียนรู้ภาษาและวัฒนธรรมของประเทศข้างเคียงได้อีกด้วย
ที่มา
- https://www.bbc.com/thai/thailand-44884263
- https://www.tmd.go.th/climate/climateStat/content/รายชอพายหมนเขตรอน-ความหมายและทมา-ลาสด-พ-ศ-2567
- https://th.wikipedia.org/wiki/การตั้งชื่อพายุหมุนเขตร้อน
- https://www.thaipbs.or.th/news/content/320541
