เวลาแหงนมองขึ้นไปบนฟ้า ถ้าไม่เจอเข้ากับสายไฟระโยงระยางและฝูงนกพิราบที่รอขโมยอาหาร แน่นอนว่าก็ต้องเจอ ‘ท้องฟ้า’ ที่บรรจุ ‘ก้อนเมฆ’ เอาไว้ เมฆที่ซึ่งเราต่างรู้กันดีว่ามันล่องลอยเพราะรอคอยที่จะตกลงมาเป็นน้ำ ความมหัศจรรย์ของมวลสารที่เคว้งคว้างกลางอากาศคอยส่งเสริมจินตนาการในวัยเด็กว่าพวกมันสามารถเปลี่ยนรูปทรงคล้ายภาพอะไรได้บ้าง แต่ทุกคนรู้หรือไม่ว่าก้อนเมฆที่ล่องลอยอย่างอิสระบนฟากฟ้านี้ มีน้ำหนักถึง 500,000 กิโลกรัม !
พวกมันอาจดูนุ่มฟูเหมือนสายไหมตอนที่มองจากข้างล่าง ทว่าความจริงแล้วพวกมันค่อนข้างหนักมากเลยทีเดียวถ้าวัดจากปริมาณน้ำที่อยู่ข้างใน แต่การวัดปริมาตรก้อนเมฆก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากพวกมันมีขนาดที่แตกต่างกัน ทว่าเมฆมิวคูลัสที่มีขนาดเล็กถึงขนาดกลางมีความยาวใกล้เคียงกัน ทำให้ง่ายต่อการตรวจสอบอยู่บ้าง ซึ่งโดยทั่วไปแล้วเมฆมิวคูลัสจะมีความยาวเฉลี่ยอยู่ที่ 1 กิโลเมตร
สมมติว่าเมฆมิวคูลัสที่คุณกำลังวัดมีความยาวประมาณ 1 กิโลเมตร (1,000 เมตร) มีความสูงและความกว้างเท่ากันทั้งหมด คุณจะได้ตัวเลขนำไปใส่สูตรหาปริมาตรตามสเต็ป นั่นคือ ความกว้าง × ความยาว × ความสูง จะเท่ากับ 1,000 เมตร × 1,000 เมตร × 1,000 เมตร ซึ่งเท่ากับ 1,000,000,000 หรือ 1 พันล้านลูกบาศก์เมตร
เมื่อนำมาคูณกับปริมาตรน้ำในเมฆมิวคูลัสซึ่งคำนวณได้เป็น 0.5 กรัม / 1 ลูกบาศก์เซนติเมตร จะได้เป็น 1,000,000,000 ลูกบาศก์เมตร × 0.5 กรัม เท่ากับ 500 กรัม ดังนั้นก้อนเมฆที่มีความยาว 1 กิโลเมตรจะมีน้ำหนักมากถึง 500,000 กิโลกรัม ! ที่บอกได้เลยว่าหนักพอ ๆ กับเครื่องบิน Antonov an – 225 หรือเครื่องบินที่หนักที่สุดในโลก
ถึงแม้ว่าก้อนเมฆจะมีน้ำหนักที่เยอะมาก แต่มันมีกลไกที่สามารถทำให้ตัวเองลอยตัวอยู่ในอากาศได้ เนื่องจากก้อนเมฆเป็นไอน้ำที่ควบแน่นเป็นหยดน้ำที่มีขนาดที่เล็กมาก ๆ แต่แน่นอนว่าน้ำมีมวลที่เยอะกว่าอากาศ ไม่ว่าอย่างไรมันต้องตกลงมาตามแรงโน้มถ่วง ซึ่งความจริงแล้วก้อนเมฆมัน “กำลังตกลงมา” นั่นแหละ เพียงแต่ด้วยขนาดของหยดน้ำมันเล็กมาก ทำให้พวกมันตกลงมาอย่างช้า ๆ เมื่อมองขึ้นไปบนฟ้าจึงดูเหมือนว่าพวกมันกำลังลอยอยู่
อย่างไรก็ตามการวัดปริมาตรก้อนเมฆทั่วท้องฟ้าคงเป็นเรื่องยาก แต่เอาเป็นว่าเราศึกษาเพื่อค้นหาความน่าสนใจและน่ามหัศจรรย์ของธรรมชาติต่อไป ซึ่งมีอะไรอีกหลายอย่างที่รอให้เราได้ค้นพบและค้นหา เพราะมนุษย์เป็นพงศ์เผ่านักสำรวจ นักบุกเบิก และนักตั้งคำถาม