หากพูดถึงนมเปรี้ยวขวดจิ๋วขนาดกะทัดรัด แบรนด์ ‘ยาคูลท์’ คงเป็นแบรนด์แรก ๆ ที่คนไทยนึกถึง เพราะยาคูลท์เป็นนมเปรี้ยวที่ครองใจคนไทยเกือบทั้งประเทศมาอย่างยาวนาน จุดเริ่มต้นคร่าว ๆ ของยาคูลท์เกิดจากเมื่อปี 2537 ดร. มิโนรุ ชิโรต้า ค้นพบจุลินทรีย์กรดนมในลำใส้และได้ผลิตยาคูลท์ขายในญี่ปุ่นใต้แนวคิดที่ว่า “เคล็ดลับของการมีอายุยืนยาวของคนเราคือการมีสุขภาพลำใส้ที่ดี”
‘ยาคูลท์’ ไม่ได้มีขายแค่ในประเทศไทยหรือญี่ปุ่นเท่านั้น แต่มีขายใน 33 ประเทศทั่วโลก และมีขายเพียงขนาดเดียว คือ 80 ซีซี เหตุผลที่ต้องขายขนาดเดียวก็เพราะว่าการได้รับเชื้อแลคโตบาซิลลัสมากเกินไปอาจจะทำให้ท้องเสียได้ ทางบริษัทจึงเลือกจำหน่ายเพียงขนาดเดียวเท่านั้น ส่วนราคาจะอยู่ที่ 7 บาท และเพิ่งขึ้นราคาเพิ่มเป็น 8 บาทไปเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งถือเป็นการขึ้นราคาในรอบ 11 ปี
ส่วนในประเทศไทยได้เริ่มมีการผลิตและขายยาคูลท์ตั้งแต่ปี 2514 เพราะคุณประพันธ์ เหตระกูล ได้เดินทางไปเรียนที่ญี่ปุ่น และเห็นถึงประโยชน์ของนมเปรี้ยวและแลคโตบาซิลลัส จึงได้นำกลับมาเปิดบริษัทในประเทศไทย ชื่อว่า บริษัท ยาคูลท์ (ประเทศไทย) จำกัด โดยผลประกอบการ 5 ปีหลัง ตั้งแต่ปี 2562-2566 มีรายละเอียด ดังนี้
- ปี 2562 รายได้ 2,496 ล้านบาท กำไร 295 ล้านบาท
- ปี 2563 รายได้ 2,354 ล้านบาท กำไร 308 ล้านบาท
- ปี 2564 รายได้ 2,320 ล้านบาท กำไร 303 ล้านบาท
- ปี 2565 รายได้ 2,285 ล้านบาท กำไร 232 ล้านบาท
- ปี 2566 รายได้ 2,516 ล้านบาท กำไร 165 ล้านบาท
จากตัวเลขจะพอเห็นว่าบริษัท ยาคูลท์ (ประเทศไทย) จำกัด ค่อนข้างมีกำไรที่สูงด้วยการขายยาคูลท์ขนาดเดียว ราคาเดียว แต่นั่นก็เพราะว่าการทำการตลาดของบริษัทยาคูลท์ค่อนข้างน่าสนใจและได้ผลดีซึ่งก็คือการขายผ่าน ‘สาวยาคูลท์’ เราคงเคยเห็นภาพผู้หญิงวัยกลางคนขับรถมอเตอร์ไซต์ส่งยาคูลท์ตามบ้านหรือตามบริษัทต่าง ๆ ซึ่งนั่นเป็นหนึ่งในกลยุทธ์การตลาดสุดคลาสสิคที่ได้ผลดีมาโดยตลอด

การทำการตลาดที่ว่าเรียกว่า ‘Door to Door’ ซึ่งก็คือการสร้างภาพจำแบรนด์ผ่านสาวยาคูลท์ และสาวยาคูลท์มักจะเป็นคนที่อยู่ในพื้นที่นั้น ๆ ทำให้การสื่อสารเป็นไปแบบเรียบง่ายและเข้าใจได้ไม่ยากเท่าไหร่นัก ซึ่งวลีที่ว่า “อยากรู้อะไรถามสาวยาคูลท์สิคะ” ก็มาจากการที่สาวยาคูลท์เดินทางไปส่งสินค้าด้วยตนเองและสื่อสารถึงประโยชน์ของยาคูลท์ได้แบบตรงไปตรงมา โดยกลุ่มเป้าหมายหลัก ๆ ก็จะเป็นกลุ่มแม่บ้านที่อยู่ในแต่ละครัวเรือนและสาวยาคูลท์แต่ละคนก็จะมีลูกค้าที่รับสินค้าเป็นประจำทุกวันอีกด้วย
นอกจากการทำการตลาดผ่านสาวยาคูลท์แล้ว บริษัทได้มีการปรับตัวการทำธุรกิจอีกครั้งด้วยการขยายสินค้าประเภทอื่น ๆ ออกมา เช่น เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ โยเกิร์ตนมถั่วเหลืองเปรี้ยว เป็นต้น และในปี 2561 ยาคูลท์ก็ได้เปิดตัวสินค้าชิ้นใหม่ซึ่งก็คือ ยาคูลท์ไลท์ ที่ลดปริมาณน้ำตาลในยาคูลท์ลงให้เข้ากับเทรนด์รักสุขภาพ รวมถึงได้เริ่มขายผ่านช่องทางออนไลน์ เพื่อเพิ่มช่องทางการเข้าถึงผู้บริโภคนั่นเอง
อย่างไรก็ดี แม้ว่า ‘ยาคูลท์’ จะเป็นสินค้าขนาดเล็กกะทัดรัด ราคาถูก และมีขนาดเดียว แต่ก็อยู่ได้มาถึงปัจจุบัน นั่นก็เพราะมีวิธีการทำการตลาดที่แข็งแรง และมีสินค้าที่มีคุณภาพดีมีประโยชน์ต่อผู้บริโภค ทำให้ ‘ยาคูลท์’ ยังเป็นสินค้าที่ครองใจคนไทยเกือบทั้งประเทศยาวนานมาถึงปัจจุบัน