หากพูดถึง ‘ความสัมพันธ์’ ในช่วงเริ่มต้นคงเป็นภาพของคู่รักหวานชื่น มีความรัก ความหลงไหลในตัวซึ่งกันและกัน แต่เมื่อวันเวลาผ่านไปเรื่อย ๆ ความสัมพันธ์บางคู่ก็ยังคงเฮลตี้และไปได้ดีต่อ แต่ความสัมพันธ์ของบางคู่ไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อมาถึงจุดหนึ่งความสัมพันธ์อาจจะหมุนขั้วกลับมาถึงจุดที่ไม่เฮลตี้ เริ่มมีการเห็นต่าง มีการทะเลาะเบาะแว้งเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ นั่นก็เพราะในความสัมพันธ์มักพ่วงมาด้วยความคาดหวังที่สูงลิ่วนั่นเอง ผลสุดท้ายบางคู่ก็เลือกที่จะจบความสัมพันธ์และแยกย้ายกันไปใช้ชีวิต แต่บางคู่ยังคงฝืนจะอยู่ในความสัมพันธ์นั้น ๆ และบางทีก็พ่วงมาด้วยความรุนแรง หรือเลวร้ายที่สุดก็คือ ‘การฆาตกรรม’ ซึ่งเราเคยสงสัยกันไหมว่าอะไรกันนะที่ทำให้ความรักที่ดูเป็นสิ่งสวยงามในช่วงแรกแปรเปลี่ยนไปเป็นความเกลียดชังจนนำมาสู่การฆาตกรรมกันได้
ก่อนอื่นขอเปิดสถิติตัวเลขให้เห็นภาพกันก่อน โดยทางมูลนิธิหญิงชายก้าวไกลได้รวบรวมข่าวจากหนังสือพิมพ์ 11 ฉบับ และข่าวจากสื่อออนไลน์ มีข้อมูลที่น่าสนใจ ดังนี้ว่า มีข่าวความสัมพันธ์แบบสามีฆ่าภรรยาสูงถึง 63.4% โดยมีสาเหตุมาจาก หึงหวงระแวงว่าภรรยานอกใจสูงถึง 60% และมีสาเหตุมาจากง้อไม่สำเร็จประมาณ 14.7% นอกเหนือจากข่าวความสัมพันธ์การฆาตกรรมระหว่างสามีและภรรยาแล้วยังมีข่าวความสัมพันธ์แบบแฟนที่ฝ่ายชายกระทำต่อฝ่ายหญิงสูงถึง 65.9% อีกด้วย นอกจากนี้ หากลองค้นหาข่าวจากสำนักข่าวต่าง ๆ ด้วย Keyword คำว่า ‘ผัวฆ่าเมีย’ จะพบจำนวนข่าว ดังต่อไปนี้ ไทยรัฐออนไลน์ ประมาณ 1,951 รายการ, เดลินิวส์ออนไลน์ ประมาณ 8,560 รายการ, มติชนออนไลน์ ประมาณ 1,270 รายการ ซึ่งพอจะสรุปได้ว่า ในประเทศของเรามีข่าวที่ผู้ชายทำร้ายผู้หญิงหรือฆาตกรรมผู้หญิงอยู่ในเปอร์เซนต์ที่สูงมากอยู่พอสมควร
หากลองวิเคราะห์สาเหตุดูว่าอะไรทำให้ผู้ชายถึงเลือกที่จะลงไม้ลงมือจนถึงพรากชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่งก็พอจะวิเคราะห์ออกมาได้ 2 ประเด็น ประเด็นแรกคือเรื่อง ‘การเสพติดความรุนแรง’ ซึ่งพฤติกรรมนี้เป็นอาการทางจิตที่มีผลมาจากการเลี้ยงดูและวัยเด็ก เพราะการเลี้ยงดูของแต่ละครอบครัวไม่เหมือนกัน เด็กบางคนโตมาแบบที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ใช้ความรุนแรงในการเลี้ยงดู เขาก็จะเสพติดความรุนแรงและคิดว่าการแก้ปัญหาในสถานการณ์ใช้ความรุนแรงแก้ได้หรือในบางครั้งพวกเขาไม่สามารถควบคุมตัวเองในการใช้ความรุนแรงได้ ซึ่งพฤติกรรมที่จะแสดงออกด้วยการใช้ถ้อยคำไปจนถึงทำร้ายร่างกายหรือฆาตกรรม หรือถ้าหากเขาพอมีอำนาจอยู่ในมือก็จะถืออำนาจนั้นใช้เพื่อกดดันขู่เข็ญอีกฝ่าย
ประเด็นต่อมาเป็นเรื่อง ‘สังคมชายเป็นใหญ่’ พวกเราคนไทยคงได้ยินคำนี้กันบ่อยจนเอียน แต่ก็ต้องหยิบประเด็นนี้ขึ้นมาพูดเพราะมันเป็นต้นตอของปัญหาที่มาจากโครงสร้างสังคม สังคมไทยเป็นสังคมชายเป็นใหญ่มาตั้งแต่ต้น ต่อให้ปัจจุบันจะมีการพัฒนาเรื่องของความเท่าเทียมไปแล้วก็ตาม แต่เรื่องเหล่านี้ยังคงมีหลงเหลือให้เห็นอยู่เป็นเนือง ๆ ก่อนอื่นต้องอธิบายเพิ่มก่อนว่า ในหนึ่งความสัมพันธ์พวกเราถูกสอนให้เป็นเจ้าข้าวเจ้าของซึ่งกันและกัน และในความสัมพันธ์จะมีเรื่องของอำนาจและการควบคุมอีกฝั่งเข้ามาเกี่ยวข้องเพราะเข้าใจว่าตนเองเป็นเจ้าของชีวิตคนคนนี้ และในสังคมที่มีความชายเป็นใหญ่สูง มักจะเข้าใจว่าตนเองมีอำนาจทั้งหมดในตัวผู้หญิงหนึ่งคนจึงอยากจะควบคุมและเมื่อไหร่ก็ตามที่อำนาจนั้น ๆ ถูกสั่นคลอน แต่ละคนก็จะมีการรับมือกับสิ่งตรงหน้าแตกต่างกัน ข้อเท็จจริงข้อนี้จึงไปล้อกับจำนวนเปอร์เซนต์ข้างต้นที่เมื่อฝ่ายชายหึงหวงและคิดว่าของของตัวเองกำลังจะเป็นของคนอื่นจึงเลือกที่จะใช้การฆาตกรรมในการแก้ไขปัญหาที่มันกำลังจะเกิดขึ้น
อย่างไรก็ดี ทั้งการเสพติดความรุนแรงและสังคมที่มีความชายเป็นใหญ่สูงเป็นเพียง 2 ประเด็นที่ยกมา จริง ๆ มันมีปัญหาที่ซับซ้อนและดีเทลที่ลึกกว่านั้น อาจจะต้องเจาะไปถึงความไม่มั่นคงทางจิตใจของคนแต่ละคน หรือแม้แต่สังคมที่เชื่อว่าเรื่องบางเรื่องโดยเฉพาะเรื่องของผัวเมียไม่ควรเข้าไปยุ่ง ข่าวความรุนแรงที่พรากชีวิตของคู่รักจึงมีให้เราเห็นอยู่เรื่อย ๆ นั่นเอง

อ้างอิง
- https://www.thairath.co.th/scoop/theissue/2765097
- https://www.rama.mahidol.ac.th/ramachannel/article/พฤติกรรมความรุนแรง-เป็น/
- https://www.mcot.net/view/LGv6EKXL