ผลการเลือกตั้งขั้นต้นรอบ Super Tuesday ของพรรคการเมืองใหญ่ของสหรัฐฯ ทั้ง 2 พรรค ออกมาอย่างเป็นทางการแล้ว ชัดเจนแล้วว่าคู่ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปี 2024 นี่จะเป็นการรีแมตช์กันระหว่าง ‘โจ ไบเดน’ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนปัจจุบันจากพรรคเดโมแครตและ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 45 จากพรรคริพับลิกัน

การเลือกตั้งสหรัฐฯ จะเกิดขึ้นในวันอังคารที่ 5 พฤศจิกายน 2567 ซึ่งกว่าจะถึงเวลานั้นยังคงเป็นเรื่องยากที่จะคาดเดาว่าใครจะเป็นผู้คว้าชัยชนะ และได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 47 อย่างไรก็ตามหากเราดูผลโพลในช่วงตั้งแต่เดือนตุลาคม 2566 – กุมภาพันธ์ 2567 ก็จะพบว่าผู้ที่มีคะแนนนิยมนำหน้าก็คือ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ แสดงให้เห็นถึงความนิยมที่เหนือกว่าประธานาธิบดี โจ ไบเดน คนปัจจุบัน ที่รัฐบาลของเขากำลังเผชิญหน้ากับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์จากความขัดแย้งในหลายพื้นที่

ด้วยบทบาทและอิทธิพลของสหรัฐฯ บนเวทีการเมืองโลกในช่วงตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ทำให้ตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นกุญแจสำคัญของการเมืองโลกที่อยู่ในจุดเปราะบางเป็นอย่างมากในปัจจุบัน และในจุดที่อดีตประธานาธิบดีทรัมป์กำลังมีคะแนนนิยมนำหน้าในการเลือกตั้งสหรัฐฯ ครั้งนี้ ส่งผลทำให้เกิดคำถามที่ตามมาคือมีความเป็นไปได้อะไรบ้างหาก ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ชนะศึกเลือกตั้งในครั้งนี้

ชัยชนะของ ‘ทรัมป์’ จะชี้ชะตาสงครามรัสเซียยูเครน?

ดูเหมือนว่าประเด็นสงครามรัสเซียยูเครนจะเป็นประเด็นที่มีความเคลื่อนไหวออกมาจาก โดนัลด์ ทรัมป์ อย่างต่อเนื่อง หลังจากที่เขาเคยปราศรัยในตอนหาเสียงที่เซาท์แคโรไลนาเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2567 ว่าเขาจะปล่อยให้รัสเซียบุกโจมตีชาติสมาชิกองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือจากการที่ชาติสมาชิกไม่ยอมตั้งงบกลาโหมตามข้อตกลง จนทำเนียบขาวต้องออกมาประณามท่าทีของทรัมป์ในครั้งนั้น ขณะที่ในสัปดาห์นี้ นายกรัฐมนตรีฮังการีก็ได้ให้สัมภาษณ์หลังจากที่เข้าพบปะกับ โดนัลด์ ทรัมป์ ว่า ทรัมป์จะไม่ให้เงินช่วยเหลือยูเครนในการทำสงครามกับรัสเซียหากได้เป็นประธานาธิบดีในสมัยที่ 2

ท่าทีดังกล่าวของ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ สอดคล้องกับท่าทีสมาชิกผู้แทนราษฎรของพรรคริพับลิกันส่วนหนึ่งที่ไม่เห็นด้วยกับการที่รัฐบาลของนายโจ ไบเดน ที่จัดสรรงบประมาณให้แก่ยูเครนในการทำสงครามกับรัสเซีย โดยมองว่าเป็นการทุ่มงบประมาณเกินความจำเป็นและรัฐบาลควรจัดสรรงบประมาณให้กับการจัดการกับปัญหาด้านความมั่นคงอื่นๆ ให้มากขึ้น เช่น เรื่องผู้อพยพและการควบคุมชายเเดนสหรัฐฯ-เม็กซิโก

สัญญาณต่าง ๆ เหล้านี้ชี้ให้เห็นว่าถ้าหากโดนัลด์ ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งสหรัฐฯ ในครั้งนี้ รัฐบาลของทรัมป์จะดำเนินนโยบายแบบขวาจัด ซึ่งจะเปลี่ยนท่าทีและบทบาทของสหรัฐฯ บนเวทีการเมืองโลกไปในแนวทางที่สหรัฐฯ อาจจะหยุดสนับสนุนยูเครนและนาโตในการทำสงครามกับรัสเซียซึ่งอาจจะส่งผลให้รัสเซียสามารถยึดครองยูเครนได้สำเร็จ ซึ่งก็จะส่งผลต่อภัยความมั่นคงในทวีปยุโรปตามมา จนอาจลุกลามกลายเป็นประเด็นความมั่นคงโลกที่อาจจะมีความเปราะบางมากขึ้นตามมา

สานต่อนโยบาย America First โดดเดี่ยวจีนจากเศรษฐกิจโลก

‘โดนัลด์ ทรัมป์’ มองว่าในเรื่องเศรษฐกิจถือเป็นประเด็นที่รัฐบาลโจ ไบเดน ล้มเหลวในการบริหารจัดการเป็นอย่างมากและแน่นอนว่าการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจภายในประเทศจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้น ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจกับจีน โดยทรัมป์เคยให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว CNBC ว่าเขาเชื่อในนโยบายการตั้งกำแพงภาษี โดยท่าทีดังกล่าวถือเป็นเครื่องยืนยันว่าหากเขาชนะการเลือกตั้งในครั้งนี้ รัฐบาลของทรัมป์ก็พร้อมที่จะตั้งกำแพงภาษีกับสินค้าของจีนที่จะเข้ามาในสหรัฐฯ อย่างแน่นอน

สำนักข่าว Bloomberg มองว่านอกเหนือจากนโยบายกำแพงภาษีแล้ว รัฐบาลของทรัมป์จะบังคับใช้มาตรการทางเศรษฐกิจอื่น ๆ ที่จะส่งผลให้เงินทุนไม่หลั่งไหลเข้าไปสู่จีนเหมือนอย่างที่เป็นมา ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการย้ายฐานการผลิตจากจีนไปยังประเทศอื่นๆ อย่าง เม็กซิโก เวียดนาม หรือ มาเลเซีย มากขึ้นและจะเร่งให้เกิดการแยกตัวของห่วงโซ่อุปทาน (Decoupling) ระหว่างสหรัฐฯ และจีน ที่เร็วและรุนแรงมากขึ้น ซึ่งผลประโยชน์และผลกระทบที่จะตามมายังคงยากที่จะคาดเดาได้ในวันที่การเลือกตั้งยังไม่เกิดขึ้น

การเลือกตั้งสหรัฐฯ ที่จะเกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายนนี้ จะถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของโลกในปีต่อ ๆ ไป ชัยชนะของทรัมป์ในสหรัฐฯ จะไม่สร้างแรงกระเพื่อมแค่สำหรับอเมริกันชนเพียงเท่านั้น หากแต่จะยังส่งผลกระทบในระดับโลก เพราะฉะนั้นนี่อาจจะเป็นสัญญาณที่ทำให้เห็นถึงทิศทางของการเมืองโลกในอีกอย่างน้อย 4 ปี ที่อาจเปลี่ยนแปลงไปมากจากที่เราเห็นอยู่ในทุกวันนี้