“ถ้าเรารักอะไรสักอย่าง มันจะพาเราไปที่ไหนสักแห่ง”
ข้อความนี้ไม่เกินจริงเลย เพราะความชอบอันแรงกล้าสามารถเปลี่ยนแปลงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่จะนำพาเราไปได้ทุกที่เหมือนอย่างเช่นชีวิตของ ‘จาจ้า-ฤทธิชัย นาคเลิศ’ แอดมินเพจ ‘Sailor Moon Thailand Fanclub’ เพจที่เล่าทุกเรื่องราวเกี่ยวกับเซเลอร์มูนมาแล้วเป็นหลัก 10 ปี
จนความชอบนี้นำพาเขาไปสู่โลกแห่งพื้นที่ต้นทางของจุดกำเนิดที่ประเทศญี่ปุ่น ไปจนถึงการได้ร่วมงานกับนักพากย์ระดับตำนานเพื่อปิดตำนานปัจฉิมบทของ ‘Sailor Moon Cosmos’ ที่ถือเป็นการแลนดิ้งเรื่องราวหลายภาคตลอดระยะเวลา 32 ปีได้อย่างสมบูรณ์
เนื่องในโอกาสที่เนื้อหาภาคสุดท้ายเพิ่งเข้าฉายบน Netflix เราเลยเดินทางไปหาจาจ้าที่พัทยา เพื่อพูดคุยถึงความรัก ความชอบที่ประกอบให้ชีวิตของเธอเติบโตมาจนถึงทุกวันนี้ ท่ามกลางสิ่งของสุดรักหลากหลายแบบที่ขนมาจากบ้านให้เราได้ชมกันในพื้นที่สัมภาษณ์ บอกได้เลยว่าจากประสบการณ์หลากหลายที่ได้ฟัง และสิ่งของทั้งหมดตรงหน้าทำให้เราเห็นว่าไม่ใช่แค่พลังแห่งจันทรา แต่จาจ้ายังเต็มไปด้วยความศรัทธาต่อมังงะและอนิเมะเรื่องนี้อย่างเต็มเปี่ยม
ไม่ว่าคุณจะรัก หรือรู้จักเซเลอร์มูนมากน้อยแค่ไหน บทสัมภาษณ์นี้จะทำให้คุณได้รู้ว่าความรักต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง จะพาชีวิตคุณไปสู่พื้นที่ที่หลากหลายซึ่งล้วนเชื่อมโยงกับสิ่งที่คุณชอบได้แน่นอน เหมือนคำกล่าวที่เราว่าไว้ข้างต้น
“ถ้าเรารักอะไรสักอย่าง มันจะพาเราไปที่ไหนสักแห่ง”

แรกรู้จัก
“เราเกิดวันที่ 27 มิถุนายน อุซางิเกิดวันที่ 30 มิถุนายน มันเหมือนเป็นโชคชะตาที่ทำให้เดือนเกิดและราศีตรงกันเลยนะ” จาจ้าเปิดบทสนทนาด้วยเรื่องราวที่คงเป็นความบังเอิญ แต่ก็เป็นสัญญาณกลาย ๆ ว่าชีวิตของเธออาจจะถูกผูกโยงใยกับเซเลอร์มูนมาแต่ไหนแต่ไร
ย้อนไปเมื่อปี พ.ศ. 2537 ตอนที่จาจ้ามีอายุ 5 ขวบ ตรงกับการศึกษาระดับชั้นอนุบาล 3 หน้าจอทีวีที่บ้านที่ตั้งตรงกันข้ามกับเธอและพี่สาวก็เริ่มฉายเนื้อหาจากกลุ่มสาวน้อยเวทมนตร์นี้ เพราะพี่สาวของเธอเปิดให้ดู และด้วยความประทับใจใน First Impression จาก ‘ความสวย’ ที่ปรากฏในหลาย ๆ อย่าง ทั้งเรื่องของภาพ ฉากการแปลงร่าง ก็กลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้จาจ้าเริ่มติดตามเซเลอร์มูนเรื่อยมา
“ฉากที่ดูครั้งแรกแล้วเหมือนโดนตีหัวเข้าบ้านเลย คือฉากแปลงร่าง กับฉากปล่อยท่าไม้ตาย เรารู้สึกว่าทีมงานทำฉากพวกนี้สวยมาก แต่ละคาแรกเตอร์มีความเป็นเอกลักษณ์ จนเรารู้ได้เลยว่าใครชอบอะไร มีลักษณะนิสัยอย่างไร ซึ่งแม้จะมีฉากแบบนี้เยอะมาก แต่เราดูแล้วไม่เบื่อเลย เรากลับชอบตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้เห็นฉากรูปแบบนี้”
“ตั้งแต่เด็ก ๆ เวลาเราดูเซเลอร์มูนจบเราก็จะชอบวาดรูปจินตนาการต่อยอดจากสิ่งที่เราเพิ่งดูไป เวลาเห็นเซเลอร์มูนมีคฑาอันใหม่ มีท่าไม้ตายใหม่ หรือตอนไปห้างก็จะอ้อนพ่อแม่ให้ซื้อของเกี่ยวกับเซเลอร์มูน”
‘เซเลอร์มูน’ โอบล้อมชีวิตของเธอในวัยเด็กอยู่นาน ประสบการณ์แบบ Nostalgia ๆ กลับมาเถิดวันวานก็ยังตราตรึงอยู่ในความทรงจำของจาจ้าหลายช่วงเวลา ทั้งประสบการณ์การพลาดชมการออนแอร์บ่อยครั้งบนหน้าจอทีวี จนต้องไปหาวิดีโอมาไล่ดูตอนที่พลาดไป ประสบการณ์ในวัยเด็กที่ชอบภาพรวมของเซเลอร์มูน ซูเปอร์เอส เพราะเป็นช่วงชีวิตในวัยประถมศึกษาปีที่ 4 ที่ได้เช่าวิดีโอภาคนี้มาดูบ่อยสุด หรือความทรงจำเรื่องฉากที่อัศวินเซเลอร์ตาย ซึ่งสะเทือนอารมณ์เด็กคนหนึ่งในวัยนั้น และกลายเป็นภาพฝังหัวมาจนถึงปัจจุบัน

มากกว่ารัก
ไม่ใช่แค่การเป็นแฟนคลับเพียงอย่างเดียวเท่านั้น จาจ้าขยับสถานะตัวเองจากแค่ผู้ชื่นชอบ กลายเป็นผู้แบ่งปันในฐานะของผู้ก่อตั้ง ‘Sailor Moon Thailand Fanclub’ เมื่อปี พ.ศ. 2554 ร่วมกับคนรู้จักที่เป็นเพื่อนกันผ่าน MSN ประจวบเหมาะกับช่วงเวลาที่ Facebook เริ่มเข้ามามีบทบาทในสังคมไทย กลุ่ม Facebook ในชื่อเดียวกันจึงเริ่มต้นขึ้น และค่อย ๆ มีผู้คนเข้าร่วมกลุ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยมีจุดพีคสำคัญอยู่ในช่วงการครบรอบ 20 ปีของเซเลอร์มูน ที่ทำให้สมาชิกเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด และกลายเป็นกลุ่มแฟนคลับที่แข็งแรงเรื่อยมา
ความแข็งแรงที่ว่ายังหมายถึงพลังกำลังในการเรียกร้องในสิ่งเดียวกัน อย่างช่วงที่การมาถึงของ DVD ที่ทำให้การรับชมเนื้อหาที่คมชัดขึ้นเป็นเรื่องง่ายดาย ผกผันกับการหาดูได้ง่ายของเซเลอร์มูนแบบถูกลิขสิทธิ์ในสมัยนั้น ทำให้ผู้คนต้องหันไปดูเนื้อหาเถื่อนหรือตากหา VCD กันให้ควัก
“ช่วงนั้นมันเกิดการเรียกร้องขึ้นมา ด้วยความต้องการที่อยากให้ค่ายการ์ตูนในช่วงนั้นซื้อลิขสิทธิ์มาทำใส่แผ่น DVD เพื่อให้มันเวอร์ชันที่ดูชัด ๆ ได้ เขาบอกว่าถ้าเราได้คนสนับสนุนสิ่งนี้ครบ 1,500 คน เขาก็จะทำ”
แม้ว่าสุดท้ายแรงสนับสนุนจะไม่มากเพียงพอให้ค่ายการ์ตูนเล็งเห็นว่าการทำสิ่งนี้อยู่ในจุดคุ้มทุน แต่การเรียกร้องโดยผู้บริโภคที่มีความชอบเดียวกันได้ก็เป็นหมุดหมายสำคัญที่บอกสังคมว่ามีคนชื่นชอบเซเลอร์มูนอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว ท่ามกลางสมรภูมิการ์ตูนแบบผู้ชาย ๆ ที่กำลังเป็นเทรนด์อยู่ในช่วงนั้น แต่ความโด่งดังในประเทศไทยของเซเลอร์มูนก็ค่อย ๆ ไต่ระดับความนิยมขึ้นเรื่อย ๆ อย่างมั่นคง มีสินค้าที่ระลึกวางขายเป็นล่ำเป็นสัน มีการต่อยอดเนื้อหาจากแค่มังงะ และอนิเมะ กลายเป็นผลงานอย่างวิดีโอเกม ไลฟ์แอคชั่นตามมา
“เรารู้สึกว่าเซเลอร์มูนประสบความสำเร็จแบบมากๆ เกินคำว่าการ์ตูนผู้หญิงหรือคำว่าการ์ตูนผู้ชาย มันกลายเป็นทั้ง ‘ไอคอน’ และ ‘ไอดอล’ ของคนญี่ปุ่นไปแล้ว”
จนถึงตอนนี้เพจ ‘Sailor Moon Thailand Fanclub’ มีคนกดไลก์และติดตามเพจหลักแสนคน เนื้อหาหลักของเพจคือการอัพเดตเรื่องราวจากแวดวงเซเลอร์มูนที่ประเทศต้นกำเนิด ผ่านการแปลข่าว ป้ายยาสินค้าเซเลอร์มูนใหม่ ๆ แนะนำงานอีเวนต์ตามแต่ละประเทศ ด้วย Passion ทั้งหมดที่จาจ้ามี จนเธอแทบจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าทำสิ่งนี้มาสู่ปีที่ 13 แล้ว

ไปญี่ปุ่น เพราะมีความชอบเป็นตั๋วเดินทาง
“ทุกทริปที่ไปญี่ปุ่นเกี่ยวข้องกับเซเลอร์มูนหมด” จาจ้าย้ำกับเราถึงการเดินทางไปยังดินแดนแห่งจุดเริ่มต้นของคอนเทนต์ที่เธอรักในทุกครั้งที่มีการเคลื่อนไหวใหญ่ ๆ
อย่างปีแรกของการไปเมืองโตเกียว ก็เป็นการไปเพื่อเยือนนิทรรศการเซเลอร์มูนที่ Roppongi Hills พร้อม ๆ กันกับการไปเดินตามรอยเซเลอร์มูนในย่าน Azabu-juban ซึ่งหลังจากการเช็คอินเข้าโรงแรม แล้วได้ออกมาด้านนอกในย่านนั้นอีกครั้ง จาจ้าถึงกับบอกเลยว่าเธอเหมือนได้เป็นเซเลอร์มูนจริง ๆ
เสียงเพลงแว่วดังในห้วงความคิดเป็น Background Music พร้อมกับสมมติตัวเองเป็นอุซางิ ที่มองเห็นพื้นที่รอบข้างเชื่อมโยงกับในเรื่อง ตรงนี้เป็นบ้านมารุจัง ตรงนั้นมีปีศาลแจกใบปลิว ภาพของพื้นที่เหล่านั้นเติมเต็มความรู้สึกของคนรักเซเลอร์มูนอย่างเธอได้เต็มประตู
ที่ประเทศญี่ปุ่น ความโด่งดังและแพร่หลายของเซเลอร์มูนนั้นไม่ต่างกับความโด่งดังของการ์ตูนอย่างโดราเอมอน หรือดราก้อนบอล มีรางวัลการันตีความโด่งดัง รวมถึงเหตุการณ์ช่วงหนึ่งที่เด็ก ๆ ถึงกับเกิดอาการกินข้าวไม่ลง และป่วยหลายคนหลังจากได้รับชมฉากอัศวินเซเลอร์ตาย ในเซเลอร์มูน ตอนที่ 45 ซึ่งสิ่งนี้ก็สะท้อนให้เห็นว่าสาวน้อยเวทมนตร์เหล่านี้ล้วนมีอิทธิพลกับสังคมญี่ปุ่นมากจริง ๆ
“เรามองว่าเซเลอร์มูนเป็น Iconic ของการ์ตูนฝั่งผู้หญิง ที่รัฐบาลญี่ปุ่นก็ให้ความสำคัญเพราะเขามองว่านี่เป็นหนึ่งในมังงะที่สามารถผลักดันวัฒนธรรมการอ่านมังงะ หรือดูอนิเมะได้ เขาเลยส่งเซเลอร์มูนไปทำกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งเป็นทูตโอลิมปิกปี 2020 ไปเป็นชุดของมิสยูนิเวิร์สปี 2018 เอาไปพิมพ์ใส่ฉลากถุงยางอนามัยแจกที่ชิบูย่าเพื่อรณรงค์เรื่องโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ แล้วกระทรวงยุติธรรมก็เอาเซเลอร์มูนไปใช้รณรงค์ให้คนเรียนกฎหมายกันมากขึ้น ไม่ได้ให้เรียนกันจนเป็นนักกฎหมายนะ แต่เอาแค่พอมีความรู้เรื่องนี้ติดตัวเป็นพื้นฐานในชีวิตก็เพียงพอแล้ว ซึ่งมันก็ได้ผลดีมาก ๆ”


สิ่งสะสม
จากแค่ดูเซเลอร์มูนแบบฟรี ๆ ในจอโทรทัศน์ จาจ้าก็เริ่มต้นเสียเงินให้กับเซเลอร์มูนจากการซื้อสินค้าเกี่ยวกับเซเลอร์มูนตั้งแต่เด็ก ๆ จนมาถึงตอนนี้ที่กลายเป็นนักสะสมจริงจัง จากการทำงาน มีเงินเก็บมาซื้อของเพื่อสนับสนุนสิ่งที่เธอรักเรื่อยมา
เมื่อเราให้จาจ้าเล่าถึงสิ่งของสะสม 3 ชิ้นที่รักที่สุดที่เลือกมาให้เราดู เธอเลือกภาพของเซเลอร์มูนที่มีลายเซ็นของอาจารย์นาโอโกะ ทาเกอูจิ มาเป็นอย่างแรก
“อันนี้บังเอิญมากที่ได้ไปเจอ วันนั้นเป็นวันสุดท้ายที่เราอยู่โอซาก้า เราไปร้านขายของมือสอง Mandarake เห็นอันนี้อยู่ในตู้กระจก ตอนนั้นเราเงินสดหมดแล้วเหลือแต่บัตรเครดิต เลยลังเลว่าจะเอาดีไหม จนมีพี่ที่รู้จักบอกว่าเอาไปเถอะ ถ้ากลับมาอีกก็จะไม่เจอแล้วนะ เราเลยซื้อมาเลย อันนี้น่าจะมีขายในงานนิทรรศการเมื่อปี 1994 ซึ่งมันก็ผ่านมา 30 ปีได้แล้ว ตอนนี้กลายเป็นของหายากเหมือนกัน”


สำหรับชิ้นที่สองคือเกม ‘Bishōjo Senshi Sailor Moon SuperS: Shin Shuyaku Soudatsusen’ (1996) ที่เธอได้มาจากร้าน Mandarake เหมือนกัน แต่เป็นสาขาโตเกียว
“ตอนเด็ก ๆ เราไปเล่นเกมเซเลอร์มูนในร้านเกมที่พัทยา แล้วเราอยากได้ แต่ว่าตอนนั้นยังไม่มีเครื่อง Playstation เลยไปยืมเขาเล่นค่อนข้างบ่อย จนวันหนึ่ง Playstation เริ่มหมดความนิยม เราก็ไม่รู้จะหาซื้อแผ่นเกมนี้ได้ที่ไหน โชคดีที่เราไปโตเกียวแล้วเจอแผ่นนี้ เราก็เลยซื้อเก็บเลยเพราะมันเป็นความใฝ่ฝันอย่างหนึ่งว่าเราอยากได้แผ่นเกมนี้มานานแล้ว ถึงขนาดเก็บไปฝันจริงว่า ฉันต้องได้ ก็ได้มาจริง ๆ”

ชิ้นที่สามคือ Art Book ของอาจารย์นาโอโกะ ทาเกอูจิ ซึ่งเป็นของสะสมชิ้นล่าสุดที่เธอซื้อเก็บไว้
“นี่เป็น Art Book ที่ทุกคนรอคอยมานาน เพราะว่า Art Book เวอร์ชั่นเก่าที่ขายเป็นเซตประมาณ 5-6 เล่มราคามันสูงมาก ถ้าเทียบเป็นเงินบาทก็คือราว ๆ 150,000-160,000 บาท ซึ่งผ่านมาจนในปี 2011 ก็มีการประกาศว่าจะกลับมาพิมพ์ Art Book นี้ใหม่อีกครั้ง เราเลยไม่อยากเสียเงินแสนกับหนังสือเซตยุคเดิมที่เทคโนโลยีการพิมพ์หนังสือน่าจะเทียบเท่ากับยุคใหม่ไม่ได้ เราก็เลยรอ ผ่านมาเป็น 10 ปี Art Book เพิ่งออกมาปีนี้ เราเลยไม่พลาดที่จะซื้อเก็บ เพราะมันเป็นไอเท็มที่ใฝ่ฝันมานาน”


เอกลักษณ์ของการ์ตูนในความทรงจำวัยเด็ก
จากจุดเริ่มต้นของการออกอากาศในปี พ.ศ. 2535 เซเลอร์มูนมีออกมาแล้วแล้ว 2 เวอร์ชันด้วยกัน นั่นคือเวอร์ชันดั้งเดิมที่มี 5 ภาค (เซเลอร์มูน, เซเลอร์มูน อาร์, เซเลอร์มูน เอส, เซเลอร์มูน ซูเปอร์เอส และเซเลอร์มูน เซเลอร์สตาร์ส) และเวอร์ชันรีเมคในปี พ.ศ. 2557 ที่มีด้วยกัน 5 ภาค (เซเลอร์มูน คริสตัล ภาคดาร์ก คิงดอม, เซเลอร์มูน คริสตัล ภาคแบล็กมูน, เซเลอร์มูน คริสตัล ภาคเดธ บัสเตอร์ส, เซเลอร์มูน อีเทอร์นัล และเซเลอร์มูน คอสมอส) ซึ่งกินระยะเวลาร่วม 33 ปีด้วยกัน
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เซเลอร์มูนเข้ามามีบทบาทกับประเทศไทยบ้างในหลาย ๆ เรื่อง ทั้งการมาถึงของประโยค “ไปคุยกับรากมะม่วง” ที่จริง ๆ ในต้นฉบับภาษาญี่ปุ่นแปลว่า “ไปตายซะ” แต่ด้วยการที่ผู้ชมส่วนมากเป็นเด็ก ทำให้คำนี้ต้องถูกพลิกแพลงวิธีการพูดเพื่อให้ความหมายเปลี่ยนไป แต่ยังคงใจความเดิมเอาไว้ แถมยังมีคนนำคำนี้ไปใช้ต่อมากมาย

ส่วนจุดร่วมของความทรงจำที่หลาย ๆ น่าจะมีร่วมกัน นั่นคือการที่ช่อง 9 หยิบเอาเซเลอร์มูนมาฉายในปี พ.ศ. 2537 โดยมีนักพากย์อย่าง ‘น้าเปียก-วิภาดา จตุยศพร’ และนักพากย์อีกหลาย ๆ คนที่ได้ให้เสียงพากย์มาตั้งแต่ยุคนั้น จนมาถึงภาคคอสมอสบน Netflix ในยุคนี้ ที่จาจ้าและไบค์ (มนัสวิน มลิวงค์) ได้เข้าร่วมเป็นเบื้องหลังในงานพากย์ครั้งนี้ด้วย
“เซเลอร์มูน ภาคคอสมอส สร้างมาจากมังงะของอาจารย์นาโอโกะ ในภาคที่ 5 ชาโดว์ กาแล็กติก้า (Shadow Galactica) เมื่อปีที่แล้วเราได้ไปดูภาพยนตร์เรื่องนี้ที่ญี่ปุ่น แล้วก็คิดว่าถ้าภาคนี้ได้มาแปลที่ไทย ท่าแปลงร่างใหม่ ๆ จะใช้คำไหนดี จนกลับมาที่ไทยเราก็มาคุยกับไบค์ไว้เลย ว่าถ้าเธอมีโอกาสกำกับการพากย์เซเลอร์มูน คอสมอสนะ เธอเอาชื่อคนนี้ไปใส่ในการ์ตูนให้หน่อย อะไรแบบนี้ ดีลล่วงหน้าเลย จนช่วงกุมภาพันธ์ ไบค์ก็ทักมาบอกว่า “กรี๊ด พี่จ้า ว่างไหม” เราเดาเลยว่า “ได้ทำเซเลอร์มูนคอสมอสใช่มั้ย” ก็เลยเข้าร่วมโปรเจกต์นี้เลย”
ตั้งแต่ช่วงกุมภาพันธ์ถึงเดือนมีนาคม จาจ้าและไบค์ช่วยกันดูว่านักพากย์คนไหนน่าจะเหมาะสมกับตัวละครตัวไหน ก่อนที่นักแปลบทจะส่งบทมาให้ตรวจทานความถูกต้องของรูปแบบภาษา และเริ่มต้นอัดพากย์กันจริง ๆ จนตอนนี้ ‘Sailor Moon Cosmos’ ก็ได้ลงฉายใน Netflix เป็นที่เรียบร้อยแล้ว



‘เซเลอร์มูน’ กับ ‘สังคมไทย’
“เซเลอร์มูนช่วยฉีกขนบความเป็นผู้หญิงแบบเดิมทิ้ง พวกแนวคิดผู้ชายเป็นช้างเท้าหน้า ผู้หญิงเป็นช้างเท้าหลัง และสอนให้เรายืนหยัดด้วยตัวเอง เคารพตัวเองและเคารพความแตกต่างของคนอื่นด้วย”
เรื่องราวการต่อสู้ของเซเลอร์มูนในฐานะของยอดมนุษย์ฝ่ายหญิง ทำให้ผู้ชมทั่วโลกได้เห็นการมอบมุมมองใหม่ ๆ ของความเป็นผู้หญิงในสื่อบันเทิง ทั้งการนำเสนอว่าจริง ๆ ผู้หญิงก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาผู้ชายเสมอไป เหมือนตอนที่เซเลอร์มูนเจอศึกใหญ่ ๆ บางครั้งก็ไม่ได้ต้องการหน้ากากทักซิโด้มาช่วยเหลือ หรือการนำเสนอว่าความรักไม่จำกัดเพศมาแต่ไหนแต่ไร อย่างความรักระหว่างฮารุกะ และมิจิรุ ที่ไม่มีกรอบของเพศมาจำกัดความสัมพันธ์
“เรารู้สึกว่าความเป็น LGBTQ+ ในเรื่องเซเลอร์มูนที่ชัดเจนได้แบบนี้ ต้องยกความดีความชอบให้กับ ‘Kunihiko Ikuhara’ ผู้กำกับของงานแอนิเมเตอร์ ซึ่งเขาเป็น LGBTQ+ ด้วย เขาเลยใส่ความรักแบบวาย และยูริเข้าไปในเนื้อหาตั้งแต่เซเลอร์มูน ภาคอาร์ จนถึงภาคซูเปอร์เอส ซึ่งมาก่อนกาลมาก ๆ
ถ้าย้อนกลับไปในสื่อการ์ตูนยุคนั้น การนำเสนอความเป็น LGBTQ+ ผ่านช่องฟรีทีวีมันยากเหมือนกันนะ แต่มันก็จะมีเรื่องเด่น ๆ นอกจากที่เซเลอร์มูนทำได้อีกเรื่องที่จำได้คือ ‘กุหลาบแวร์ซายส์’ ที่ตัวละครเอกเป็นผู้หญิงที่มีความแมน ปกป้องมารี อ็องตัวแน็ตได้ จนมาถึงเซเลอร์มูน เรื่องนี้ก็ทำให้ภาพของเรื่องเพศหลากหลายในอนิเมะชัดขึ้น การ์ตูนเรื่องอื่น ๆ ก็เริ่มใส่ความวาย ความยูริเข้ามามากขึ้นด้วย”
แม้จะไม่ใช่ส่วนสำคัญอันดับแรกที่อาจจะทำให้ Mindset ของผู้คนเปลี่ยนแปลงไปในเรื่องความหลากหลายเหล่านี้ แต่การมีอยู่ของเซเลอร์มูนสำหรับจาจ้ามันคือการแต่งเติมให้วงการการ์ตูน และชีวิตของเธอเต็มไปด้วยสีสันมากขึ้นเป็นไหน ๆ


ชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปได้เพราะ ‘เซเลอร์มูน’
อย่างที่เราเกริ่นไปในช่วงต้น ชีวิตของจาจ้าเติบโตขึ้นมาจนถึงตอนนี้ได้ส่วนหนึ่งเลยก็เพราะเซเลอร์มูน ซึ่งนอกจากความชอบในฐานะผู้ชมที่ชื่นชอบการ์ตูนแล้ว ‘เซเลอร์มูน’ ยังนำพาชีวิตให้ลื่นไหลไปในทิศทางต่าง ๆ ได้หลากหลายด้าน
“เราเริ่มเรียนภาษาญี่ปุ่นเพราะเซเลอร์มูน เราอยากรู้เรื่องราวเชิงลึกของเซเลอร์มูนมากขึ้น เลยไปเรียนภาษาญี่ปุ่น จนสอบวัดระดับผ่าน แล้วก็เอาความรู้เรื่องภาษามาต่อยอดเป็นผู้แปลเนื้อหาเพื่ออัพเดทข่าวสารเกี่ยวกับเซเลอร์มูนให้คนไทยได้เข้าใจมากขึ้น เรามองว่าภาษานี่แหละที่จะพลิกชีวิต เปิดโลกของเราให้กว้างขึ้น
เซเลอร์มูนเปลี่ยนอะไรเราเยอะมากเลย และมันเป็นแรงบันดาลใจให้เราอยากทำอะไรบางอย่างเพื่อให้ผลลัพธ์ที่เราใฝ่ฝันไว้เกิดขึ้นได้ และเราก็ได้มันมาจริง ๆ เพราะเซเลอร์มูนเลย”
นอกจากการเปลี่ยนชีวิตแล้ว เซเลอร์มูนก็กลายเป็นหมุดหมายหนึ่งที่จาจ้าอยากเข้าร่วมการทำงานเบื้องหลังด้วย เพราะความรักและความชอบของเธอนำพาให้จาจ้าได้เข้ามาช่วยเหลือสำนักพิมพ์วิบูลย์กิจในการตรวจทานภาษาในมังงะเล่มท้าย ๆ รวมถึงงานพากย์เกี่ยวกับเซเลอร์มูนบนแพลตฟอร์ม iQIYI ด้วย อีกทั้งยังได้ร่วมงานกับแบรนด์มีชื่อเสียงหลากหลายแบรนด์ที่เข้ามาหาจาจ้าในฐานะของผู้ก่อตั้งเพจ Sailor Moon Thailand Fanclub เพื่อให้เธอโปรโมตสินค้า ซึ่งงานทั้งหมดที่เข้ามาล้วนเปิดโลกทัศน์ของการทำงานในชีวิตจริงให้กับเธอได้ในหลายมิติ
ก่อนจากลากัน เราให้จาจ้าลองนิยามว่าเซเลอร์ตัวไหนบ้างที่ประกอบรวมกันให้กลายเป็นเธอได้
“เรารู้สึกว่าตัวเองเป็นเซเลอร์เมอร์คิวรี่ (มิซุโนะ อามิ) ผสมกับเซเลอร์วีนัส (ไอโนะ มินาโกะ) และเซเลอร์มูน (สึคิโนะ อุซางิ) เราเป็นคนชอบวิเคราะห์เหมือนเมอร์คิวรี ยิ่งเป็นวิชาคณิตศาสตร์จะชอบมาก แตก็มีวิชาพลศึกษาที่เราไม่ถนัดเลย
ในขณะเดียวกันก็เป็นคนชอบเอ็นเตอร์เทนแบบมินาโกะ ชอบความตลกโปกฮา ชอบยิงมุก ชอบอะไรที่อะไรตลก ๆ ถ้าใครไปดู Facebook ของเราจะพบว่าไม่ค่อยมีเรื่องเศร้า แต่จะเน้นตลกอย่างเดียว
ส่วนอุซางิ เรารู้สึกว่าตัวเองซึมซับจริตจะก้านมาจากนางพอสมควร เราจะชอบทำท่าแบบจริตเซเลอร์มูนเหมือนเธอกำลังเข้าสิงร่าง ตัวละครสามตัวนี้น่าจะประกอบรวมกันในความเป็นเราในทุกวันนี้”
