เจนเย่-เมธิกา จีรนรภัทร สงคราม ส่งด่วน

จากเด็กสาวที่เคยพูดไทยไม่ชัดในการแสดงเรื่องแรก สู่บทบาทของ ‘เสี่ยวหยู’ ในซีรีส์จาก Netflix “สงคราม ส่งด่วน” ที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของเธอไปตลอดกาล

“เจนเย่ จีรนรภัทร” ยังคงเป็นผู้หญิงคนเดิมที่ใช้ชีวิตเรียบง่าย พูดน้อย คิดเยอะ และไม่ค่อยเชื่อมั่นในตัวเอง แต่เธอเรียนรู้แล้วว่า การไม่มั่นใจไม่ใช่จุดอ่อนเพราะมันคือพื้นที่ว่าง ๆ กว้าง ๆ ที่ทำให้เธอเปิดรับ เติบโต และซื่อตรงกับความรู้สึกได้มากกว่าที่คิด

นี่คือบทสัมภาษณ์ที่เราไม่อยากให้คุณอ่านด้วยความคาดหวัง แต่อยากให้คุณค่อย ๆ เปิดไปทีละบรรทัด แล้วฟังเรื่องราวของผู้หญิงคนหนึ่งที่ใช้ความเงียบ ความลังเล และความกล้าหาญเล็ก ๆ พาตัวเองมาอยู่ในจุดที่มีคนมากมายเริ่มได้ยินชื่อของเธอ

ALL ABOUT ‘JANEEYEH’

หนูเป็นตัวเอง 
ทำอะไรที่ตัวเองมีความสุข 
ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน 
นี่คือสิ่งที่หนูยึดมาตลอดค่ะ

เจนเย่-เมธิกา จีรนรภัทร สงคราม ส่งด่วน

‘เย่’ คือ แซ่ภาษาจีนของหนูค่ะ หนูเป็นลูกครึ่งพูดได้ 3 ภาษา ภาษาแรกเป็นภาษาจีนค่ะ คุณพ่อจะให้ฝึกตั้งแต่เด็ก แล้วก็เรียนอินเตอร์ตั้งแต่เด็กเลยพูดภาษาอังกฤษได้ด้วย แล้วก็ภาษาไทยค่ะ หนูมีชื่อภาษาจีนว่า “เย่เจิน” ที่บ้านก็จะเรียก “เจิน” แล้วคุณพ่อเขียนภาษาอังกฤษผิด จาก “J E R N” เป็น “J A N E”  ก็เลยกลายเป็น JANEEYEH

หนูเป็นคนมึน ๆ งง ๆ ตึง ๆ ค่ะ เป็นคนหน้าตึง ในชีวิตประจำวันหนูจะพยายาม save energy ไว้ตลอด เพื่อเวลาไปแสดงแล้วเราจะได้มี energy หนูค่อนข้าง introvert ด้วย เวลาใช้ชีวิตประจำวันหนูก็จะหน้านิ่งแบบ energy low low หน่อย ถ้าไม่ใช่โหมดทำงาน พี่สาวหนูจะบอกตลอดว่าหนูจะเป็นคนมึน ๆ งง ๆ บางทีอาจจะพูดอะไรไม่ค่อยรู้เรื่องสักหน่อย (หัวเราะ)

หนูชอบฟังเพลง ชอบดูหนัง ดูซีรีส์ ตอนนี้กำลังดู Lovely Runner อยู่ เพิ่งได้ดูค่ะ ผ่านมานานแล้วเหมือนกัน หนูชอบเปิดใจดูซีรีส์ของหลาย ๆ ประเทศ ชอบดูของอินเดีย จีน ญี่ปุ่น เหมือนเราได้ศึกษาด้วยว่าแต่ละประเทศเขาใช้ acting ประมาณไหน เราดูไปด้วย เก็บวิชาไปด้วย ศึกษาวัฒนธรรมของเขาไปด้วย

เจนเย่-เมธิกา จีรนรภัทร สงคราม ส่งด่วน
เจนเย่-เมธิกา จีรนรภัทร
เจนเย่-เมธิกา จีรนรภัทร สงคราม ส่งด่วน

JANEEYEH’s JOURNEY

ตอนเด็ก ๆ หนูอยากเป็นนักร้องไอดอล อยากไปเดบิวต์ที่เกาหลี เพราะว่าตอนนั้นชอบฟัง K-pop มาก ๆ หนูก็เคยไปออดิชันบ้างแต่ไม่ผ่านเข้ารอบสักทีเลยค่ะ แต่ที่ผ่านมาก็ยังเคยได้ทำเกิร์ลกรุ๊ปชื่อว่าวง Sizzy ค่ะ แต่ความใฝ่ฝันของหนูที่สุดกว่านั้นก็คือคอนเสิร์ตเดี่ยว อยากไปต่างประเทศ แต่ยังไม่มีโอกาสได้ทำ แต่หนูก็คิดว่า “อย่างน้อยชีวิตหนึ่งเนี่ย เราก็เคยทำเพลงนะ มี Girl Group นะ” หนูว่าแค่นี้หนูก็ fulfill พอสมควรแล้วเหมือนกันค่ะ

เจนเย่-เมธิกา จีรนรภัทร สงคราม ส่งด่วน

หนูมีพี่สาวสองคนแล้วก็เป็นสายโฆษณาทั้งคู่ ช่วงพีค ๆ พี่สาวหนูมีโฆษณาเป็นร้อยกว่าตัว หนูก็เลยไป แคสต์ตามพี่สาวบ้าง แต่ก็ไม่เคยได้จนหนูท้อทำให้ไม่อยากจะเข้าวงการบันเทิงเลย แล้วตอนนั้นยังไม่มีความรู้สึกว่าเราชอบด้านนี้ แล้วอยู่มาวันหนึ่งคุณแม่ชวนไปประกวดมิสทีนไทยแลนด์ ก็เลยลองไปดูไม่ได้คิดอะไร สรุปคือได้รางวัลรองอันดับสองมาแบบงง ๆ หลังจากนั้นก็ได้ไปแคสต์ซีรีส์ Love Sick Season 2 (2558) ตอนนั้นเพื่อนชวนไป ปรากฏว่าเราผ่านเข้ารอบ หนูจำเลยว่าเดอะแก๊งจะมีญดา พี่มีน พี่ท็อปแท็ป หลายคนมากเลยค่ะ

หลังจากที่เล่นซีรีส์มาได้พักหนึ่ง ทาง GMM TV ก็เรียกให้ไปเล่นเรื่อง Room Alone ภาค 2 (2558) เหมือนกัน ตอนนั้นรับบทเป็น “เพลิน” เล่นกับพี่วิคเตอร์กับใบเฟิร์น ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการแสดงคืออะไร หนูยังพูดภาษาไทยไม่ชัดเลยด้วย จำได้เลยว่าโดนคอมเมนต์ด่าว่า “เอาใครมาเล่นเนี่ย พูดไม่ชัดเลย พูดภาษาไทยไม่ชัดเลย” ตอนนั้นเราก็แอบเครียดเหมือนกันค่ะ แต่ว่าก็ยังเด็กอยู่ ก็เลยไม่ค่อยได้คิดอะไรค่ะ ก็ใช้ชีวิตต่อไป โชคดีที่ยังไม่โดนด่าหนักมาก หนูก็เลยยังโอเค ก็เป็นอีกก้าวหนึ่งที่เข้ามาลึกขึ้นเรื่อย ๆ พอเล่นเรื่องนี้เสร็จปุ๊บ GMM TV เห็นแววก็เลยจับเซ็นสัญญา อยู่มายาว 8 ปีเลยค่ะ

วันเวลา 8 ปีของหนูที่ GMM เป็นอะไรที่ยาวนานมาก เรารู้สึกผูกพันกับทุก ๆ อย่างที่นั่น เราอยู่กันเป็นค่าย มีเพื่อนเป็นร้อยคน มีวงด้วย พอเราต้องออกจากบ้านมาก็รู้สึกใจหาย รู้สึกเหงา เพราะเราไม่เคยห่างบ้านเลย แล้วเราออกมาอยู่คนเดียว เราจะใช้ชีวิตยังไง เราจะอยู่รอดไหม เป็นช่วงเวลาที่หนูค่อนข้างเครียด ช่วงนั้นร้องไห้เยอะมาก เครียดว่าเราจะไปต่อยังไง อนาคตเราจะเป็นยังไง ก็เป็นช่วงที่เครียดแต่ก็เป็นช่วงที่หนูเติบโตขึ้นเยอะมาก ๆ เหมือนกันค่ะ

เจนเย่-เมธิกา จีรนรภัทร
เจนเย่-เมธิกา จีรนรภัทร
เจนเย่-เมธิกา จีรนรภัทร

Everything happens for a reason

อะไรที่เกิดขึ้นแล้ว 
มันมีเหตุผลเสมอ 
หนูเชื่ออย่างนั้น

แต่ก่อนหนูจะเป็นคนที่มองโลกในแง่ดี 100% จนบางทีเราเจ็บตัวค่ะ หมายถึงว่าเราก็ให้ใจเขาไปหมด แต่สุดท้ายแล้วเราก็เพิ่งรู้ว่าไม่ใช่ทุกคนที่เขาจะหวังดีกับเราเหมือนที่เราหวังดีกับเขา ก็เป็นบทเรียนชีวิตเหมือนกันว่า เราต้องเผื่อใจไว้นะ เราไว้ใจคนได้แต่เราก็ต้องรู้ว่าอะไรเหมาะสม
แต่คนเรามันไม่มีอะไรที่มันแย่ขนาดนั้นหรอก หมายถึงว่า จบวันนี้ พรุ่งนี้ก็เป็นวันใหม่ หนูจะคิดอย่างนี้เสมอ ก็เลยไม่ค่อยมีอะไรที่มันทำให้หนูรู้สึกแย่ แต่ถ้าเราต้องไปเจอเรื่องที่ทำให้เรารู้สึกแย่มาก ๆ จริง ๆ อย่างแรกเลยเราต้องยอมรับ แล้วก็รู้ตัวก่อนว่าเราอยู่ในสถานการณ์นี้ เราเจออะไรอยู่ ถ้ามันแย่ โอเค…เรารู้ว่ามันแย่ แล้วเราก็อยู่กับมัน ซึมซับมัน แล้วก็ปล่อยมันไปค่ะ หนูว่าอันนี้สำคัญ คือเราห้ามหลอกตัวเองว่า “เราไม่ได้เป็นไร เราโอเค” เพราะจะยิ่งทำให้เราแย่กว่าเดิม เราต้องรู้ตัวเองก่อนว่าเราแย่นะ แล้วก็ยอมรับ แล้วก็ไปต่อค่ะ

เจนเย่-เมธิกา จีรนรภัทร
เจนเย่-เมธิกา จีรนรภัทร
เจนเย่-เมธิกา จีรนรภัทร

‘สงคราม ส่งด่วน’ อีกการเดินทางที่แสนพิเศษของเจนเย่ 

ทาง GDH ติดต่อมาว่าอยากให้ไปแคสต์ ซึ่งปกติหนูไม่ค่อยได้มีโอกาสได้ไปแคสต์งานข้างนอกอยู่แล้ว เพราะจะเล่นแต่ในค่าย พอ GDH ติดต่อมาก็เล่นค่ะ ก็ในใจคือเล่นแล้ว แต่ว่าหนูก็ต้องแคสต์ก่อนอยู่ดี เขาจะเลือกหรือไม่เลือกก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่หนูก็ดีใจมากแล้วว่าอย่างน้อยเขาก็เลือกเราไปแคสต์ อาจจะเพราะว่าหนูพูดจีนได้ ก็เหมือนได้เปรียบไปแล้วข้อหนึ่ง เป็นโชคดีของหนูค่ะ น่าจะเป็นพี่ไก่ search ว่า ใครที่พูดจีนได้บ้าง ก็น่าจะมีหนูขึ้นมา แต่จริง ๆ จะไม่ค่อยมีใครรู้ว่าหนูพูดจีนได้ เพราะหนูก็ไม่ค่อยได้โชว์ศักยภาพ ดีใจค่ะ น่าจะเป็นฟ้าลิขิต

หนูเป็นคนที่ไม่ชอบคาดหวังกับอะไรเลย เพราะว่าไม่อยากจะผิดหวังค่ะ เราทำให้เต็มที่ที่สุด กระแสจะดีหรือไม่ดีก็อยู่ที่คนดูว่าเขาชอบหรือไม่ชอบ

เจนเย่-เมธิกา จีรนรภัทร

โมเมนต์แรกที่หนูดูซีรีส์ “หนูช็อก” คือตอนแรกหนูไม่ได้พูดเยอะ หมายถึงว่าไม่ได้พูด ไม่ได้บอกใครว่า “ฉันได้งานโปรเจกต์ใหญ่ ฉันเป็นนางเอกโปรเจกต์ใหญ่นะ” คือหนูแบบ Low-key มาก ๆ เก็บไว้คนเดียว ก็แค่บอก “เดี๋ยวหนูมีไปเล่นเรื่องนี้นะ มาดูด้วยกันไหม” แต่พอทุกคนได้ดูด้วยกัน ทุกคนตกใจแล้วบอกว่า “เจน Series of The Year  เลยนะ ทำไมแกไม่พูด” บางคนไม่เคยดูซีรีส์เลยแต่เขามาเปิดใจดูแล้วบอกว่า “โห!!! ดู 7 ตอนรวด ไม่อยากกลับบ้าน” คือวันนั้นหนูกับพี่ ๆ ดูกันถึงประมาณตีสาม ดูด้วยกันจนจบ ทุกคนก็รู้สึกว่าได้เห็นอีกมุมหนึ่งของหนู แล้วก็ได้เห็นโปรดักชันไทยที่ไปอีกขั้นหนึ่ง 

หนูไม่รู้จะอธิบายยังไง หนูไม่ค่อยได้พูดกับทุกคนเยอะค่ะ พี่ ๆ ก็ตกใจบอก เฮ้ย!!! มันดีมาก ๆ” 

ตอนถ่ายทุกคนตั้งใจมาก ๆ แล้วทุกอย่างก็ออกมาดีแล้ว พอตอนช่วงโปรโมตก่อนที่ซีรีส์จะออนแอร์ ทีมงาน Netflix ก็มาบอกหนูว่า “เจน มันดีมาก ๆ เลยนะ บอกเลยว่าชีวิตเจนจะเปลี่ยน” หนูก็ “จริงเหรอคะ? ขนาดนั้นเลยเหรอคะ?” เพราะต้องเล่าก่อนว่า ซีนของเสี่ยวหยูจะเป็นพาร์ทดราม่า เป็นซีนที่ค่อนข้างอยู่แต่ในออฟฟิศ แต่พวกที่ซีนเดือด ๆ ซีนของสันติที่เขาไปนู่นไปนี่ คือหนูไม่ได้อยู่ตรงนั้นเลย ซึ่งหนูก็จะไม่เห็นว่าเซตอลังการขนาดไหน แล้วพอหนูได้ดู หนูก็ “โห!!! ฉันอยู่ในโปรเจกต์นี้ได้ยังไง ฉันมาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร??? เขาเลือกฉันจริง ๆ เหรอ?” ก็ยังเหมือนอยู่ในความฝันอยู่ค่ะ

เจนเย่-เมธิกา จีรนรภัทร

พอซีรีส์ออนแอร์ อย่างที่พี่ ๆ ทีม Netflix บอกค่ะ ชีวิตหนูเปลี่ยนไปจนหนูงง ตอนนี้หนูก็ยังงงอยู่ว่าตอนนี้เราฝันอยู่ไหม จิกตัวเองก่อน ต้องตื่นแล้วนะ! (หัวเราะ) หนูเดินไปไหนก็มีแต่คนทัก หนูจะไปถ่ายรูปกับพี่วินมอเตอร์ไซค์เพราะหนูจะทำคอนเทนต์ ก็เข้าไป “พี่คะ ขอถ่ายรูปได้ไหม” แล้วเขาก็บอก “ดูเสี่ยวหยูอยู่นะ” คือเขาจำได้ ^_^

ชีวิตเปลี่ยนมาก ๆ จริง ๆ ก็มีงานเข้ามาเยอะขึ้น คนรู้จักเรามากขึ้น พูดถึงเราเยอะมากขึ้น หนูเคยไลฟ์ใน TikTok คนดูประมาณ 2-3 พัน แต่ที่ผ่านมาคนดูขึ้นหลักหมื่น หนูตกใจมาก แล้วเพราะซีรีส์มีคนดูทุกเพศทุกวัย ญาติ ๆ ที่ต่างประเทศของหนู อากง อาม่าก็ดู กลายเป็นว่าแต่ก่อนที่มีคนรู้จักเราเฉพาะกลุ่มเด็ก กลุ่มวัยรุ่น ตอนนี้มีทุกกลุ่มเลย รู้สึกดีใจและยินดีมาก ๆ เลยค่ะ ^_^

หนูจำได้ว่าพี่ไอซ์ซึเคยพูดว่า “นักแสดงเล่นดีคนเดียวไม่ได้ ทุกคนต้องเล่นดีไปด้วย ผลงานถึงจะออกมาดี” ซึ่งเรื่องนี้พิสูจน์ได้เลยว่า ถึงจะเป็น extra ออกมาซีนเดียว แต่ทุกคนมีความพิเศษกันหมด เพราะว่าเขาเล่นดีกันจริง ๆ ทุกคนร่วมใจกัน ทั้งเสื้อผ้า หน้า ผม ทีม Prop ตากล้อง ผู้ช่วย คือทุกคนร่วมใจกัน แล้วก็ส่งพลังให้กัน ทุกอย่างเลยออกมาได้ดีขนาดนี้ หนูว่าทีมเวิร์กสำคัญที่สุดเลย เราจะเอาตัวรอดคนเดียวไม่ได้ เหมือนเวลาหนูเข้าซีนกับพี่ไอซ์ซึ พี่ไอซ์ซึก็จะถามตลอดว่า “โอเคมั้ย” ก็จะคุย จะปรึกษากันตลอด แล้วก็จะมี Acting Coach มาช่วยตลอดว่าเราจะเพิ่มตรงนี้มั้ย แล้วก็จะมีคุยกับพี่ไก่ มีการดีไซน์ร่วมกันในแต่ละซีนว่าเอาแบบไหนดีที่จะออกมาดีที่สุด หนูว่าสิ่งเหล่านี้พอเอามารวมกันเลยกลายเป็นมวลความสุขที่ทำให้ซีรีส์เรื่องนี้ประสบความสำเร็จค่ะ

เจนเย่-เมธิกา จีรนรภัทร

จังหวะแห่งการเติบโต จาก “เจนเย่” ถึง “เสี่ยวหยู”

สิ่งที่ทำให้เสี่ยวหยูมีเสน่ห์ 
คือความกล้าหาญของเขา 
ที่กล้า All in ตั้งแต่แรกเลย

จำได้เลยว่าหนูหา reference ประมาณหนึ่ง เพราะว่าต้องไป observe ว่า working women ทำงานกันอย่างไร หนูก็เลยได้แรงบันดาลใจจากพี่สาวคนโตของหนู เพราะเขาทำงานกับบริษัทจีนพอดี แล้วเขาก็เป็นคนที่หน้าเด็ก ทำงานเก่ง เป็นหัวหน้าคน ก็ไป observe พี่สาวมาค่ะ

พอตอน workshop หนูชอบเสี่ยวหยูอย่างหนึ่ง คือเขาซื่อสัตย์กับตัวเองมาก เขารู้ว่าตัวเองต้องการอะไร ทำอะไรอยู่ แล้วก็ยอมรับในสิ่งที่ตัวเองอาจจะทำผิดอยู่ เช่น กำลังหวั่นไหวกับสันติ แต่ก็เลือกที่จะยอมรับมัน แล้วก็บอกเลียมตรง ๆ ว่า เราหวั่นไหวนะ แต่ว่ามันจะเป็นแค่ช่วงนี้แหละ เดี๋ยวมันก็ผ่านไป ก็รู้สึกว่าเป็นอะไรที่หนูชอบมากในตัวเสี่ยวหยู

หนูเข้าใจนะความรู้สึกบางทีมันก็ห้ามกันไม่ได้จริง ๆ แต่ว่าเราก็เลือกที่จะยอมรับ แล้วก็ไม่โกหกคู่ของเรา บอกตรง ๆ ว่าเรารู้สึกแบบนี้นะ โอเค ขอโทษนะ แล้ว move on แล้วเราจะไม่กลับไปตรงนั้นอีกเลย ก็รู้สึกว่าเป็นอะไรที่แฟร์ ตรง แล้วก็เป็นผู้ใหญ่มาก ๆ ค่ะ

เจนเย่-เมธิกา จีรนรภัทร

“เสี่ยวหยู” จะเป็นคนที่ค่อนข้างโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว นี่คือสิ่งที่ยากมากสำหรับหนู ด้วยบุคลิกของหนู หนูจะค่อนข้างงง ๆ ซึน ๆ แล้วก็ดูเป็นเด็ก พูดไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่ อาจจะเพราะพูดภาษาจีนเยอะค่ะ จับเรียงประโยคไม่ค่อยสมูธ แต่เสี่ยวหยูเป็นคนที่ฉะฉาน ดูมีอํานาจ หนูก็ต้องฝึกตรงนั้นเยอะเหมือนกัน

หนูจำได้เลยว่ามีอุปสรรคหนึ่งก็คือ พอหนูดีไซน์คาแรกเตอร์มาประมาณหนึ่ง ก็ดีไซน์ว่าเสี่ยวหยูจะต้องเป็นคนที่สุขุม นิ่ง แต่พอบางทีเรานิ่งเกินไป นิ่งจนไม่แสดงอะไรออกมาเลย แต่เรารู้สึกข้างในนะคะ แต่พอมันไม่แสดงออกมาเลยก็ทำให้มีปัญหา ตอนถ่ายไปประมาณครึ่งหนึ่ง หนูก็ต้องไป workshop เพิ่ม เป็นช่วงที่เครียดเหมือนกันค่ะ

จนหนูก็แอบ doubt ตัวเองว่า “หรือว่าเราเล่นไม่ดี หรือว่าเราทำไม่ดีพอ หรือว่าเราตีความผิด” แต่ว่าก็ต้องขอบคุณทางผู้ใหญ่เหมือนกัน เขาก็หวังดี หมายถึงว่าเขาก็เห็นว่าอันนี้ควรจะเพิ่ม ก็รีบไปเพิ่ม แล้วมันก็ดีขึ้นจริง ๆ ค่ะ ตอนหลังก็ช่วยได้เยอะมาก ๆ

เจนเย่-เมธิกา จีรนรภัทร

หนูประทับใจหลายซีนมาก แต่ว่ามีอยู่ซีนหนึ่งที่เอาเงินมาให้สันติยืม ที่ร้องไห้ มันยังอยู่ในใจอยู่เลย มันคือการที่อยากให้เขาไปต่อ แต่ฉันอาจจะอยู่ตรงนั้นด้วยไม่ได้ เราอาจจะไปต่อกับคุณไม่ได้ ก็ยังติดอยู่ในใจเสมอ เพราะจริง ๆ เราอยากไปต่อ แต่ว่ามันมีทางออกนี้ทางออกเดียว แล้วมันดีกับทุกคน

เหมือนข้างในตัวละครมันตีกัน คือเรารักบริษัทนะ แต่ความเป็นจริงคือเรารู้ว่าควรทำอะไร เราควรจะมีครอบครัว เราควรจะมีลูก นี่คือความเป็นจริงของเรา แต่ Thunder เพิ่งเข้ามาในชีวิตเรา แล้วทำให้เราหวั่นไหว ทำให้เรารักไปแล้ว ทุกความรู้สึกมันตีกันอยู่ข้างใน ซีนนั้นหนูหยุดร้องไห้ไม่ได้ จนพี่ไก่บอกว่าไปเบรกก่อน 

ซีนตอนท้ายอีกซีนที่หนูก็ชอบเหมือนกัน คือตอนที่สันติเอาเงิน 200 ล้านมาคืนค่ะ จริง ๆ พี่ไก่ไม่ให้ร้องไห้เลยนะ เหมือนเขาตัดออกมาไม่มีน้ำตาเลย แต่จริง ๆ หนูร้องไห้ตาบวม คือหนูซาบซึ้งใจที่สันติไม่เคยลืมสัญญาณที่ให้เราไว้

เจนเย่-เมธิกา จีรนรภัทร

จังหวะที่ลงตัวจาก “เสี่ยวหยู” ถึง “เจนเย่”

เสี่ยวหยูให้ข้อคิดกับหนูหลายอย่างมาก ๆ 
สำคัญที่สุด คือ เสี่ยวหยูทำให้หนูเติบโตขึ้นค่ะ

หนูใช้เวลาอยู่กับเสี่ยวหยูประมาณ 6-7 เดือน เสี่ยวหยูให้ข้อคิดกับหนูหลายอย่างมาก ๆ สำคัญที่สุดคือเสี่ยวหยูทำให้หนูเติบโตขึ้นค่ะ 

หนูรู้สึกว่าทุกตัวละครจะสอนหนูไม่มากก็น้อย ทำให้หนูได้ค้นพบบางส่วนในตัวที่หนูไม่เคยเจอมาก่อน อย่างเสี่ยวหยูก็ทำให้หนูค้นพบด้านโตของหนู ว่า “เออ เราก็โตแล้วนะ เราก็มีด้านนี้เหมือนกัน” 

อยากจะขอบคุณเสี่ยวหยูที่ให้ทำให้หนูเติบโตขึ้น เขาทำให้เจนเย่ประสบความสำเร็จได้ในวงการบันเทิง ถ้าไม่มีเสี่ยวหยู หนูก็ไม่รู้ว่าจะมีใครเห็นหนูในมุมนี้ไหม เหมือนเขาได้เปิดกว้างให้หนูแล้ว อยากจะขอบคุณเขาที่สอนอะไรหลาย ๆ อย่าง เสี่ยวหยูจะเป็นตัวละครที่หนูจะจดจำในความทรงจำของหนูไปตลอดเลยค่ะ

ตอนเด็ก ๆ หนูเคยเป็น trauma เพราะเพื่อนชอบแกล้ง แต่ไม่ได้มีอะไรรุนแรงนะคะ หนูรู้ตัวว่าเพื่อนไม่ชอบแต่ก็จะเอาตัวเราไปอยู่ตรงนั้นเพราะกลัวไม่มีเพื่อน กลัวไม่มีตนกินข้าวด้วย เรื่องเล็ก ๆ แค่นี้ก็ทำให้หนูเครียดได้แล้ว ช่วงนั้นน่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้หนูเป็น introvert ในทุกวันนี้ ก็เลยรู้สึกว่า ถ้าอยากให้เสี่ยวหยูเบรกเจนเย่ อยากให้กลับไปบอกเจนเย่ในตอนเด็กว่า “ไม่ต้องไปสนใจใครทั้งนั้น กินข้าวคนเดียวก็ได้ เชิด! อย่าไปสนใจคนอื่น” อยากให้ไปบอกเจนเย่ ณ ตอนนั้นค่ะ

เจนเย่-เมธิกา จีรนรภัทร

Behind the Scenes

ทุกคนน่ารักมากค่ะ ^_^  แล้วก็จำได้ว่าจริง ๆ เพิ่งมาสนิทกับทีมงานทุกคนตอนไปเซี่ยงไฮ้ ตอนหลัง ๆ นี่สนิทกันมาก ๆ ตอนนั้นก็รู้สึกว่าน่าจะถ่ายเซี่ยงไฮ้ก่อน จะได้สนิทกันก่อน แล้วก็ถ่ายกันยาว ๆ และเพราะหนูเป็น introvert แรก ๆ ก็จะยังไม่ค่อยสนิทกับใครค่ะ แต่เพิ่งสนิทตอนหลัง ๆ นี่แหละ จำได้เลยว่าเพิ่งมาสนิทกับพี่วิเวียนที่เล่นเป็นเลขาฯ ชื่ออาร์มี่ 

พี่เขาเป็นคนตลกมากค่ะ แล้วก็ชอบคุยเล่นกันตอนยังไม่ถ่าย แล้วเขาก็ชอบทำให้หนูหัวเราะ จำได้เลยว่ามีซีนหนึ่งที่มีรถแห่งานเลี้ยงกินเหล้าที่เสี่ยเดชมา ตอนนั้นทุกคนสนุกมาก หนูก็นั่งเครียดอยู่คนเดียว แต่จริง ๆ ตอนยังไม่ถ่ายคือหนูสนุกมากนะ หนูก็เต้น เพลงมันส์มาก แต่พอถ่ายก็ต้อง Keep Cool  Keep Look เป็นอะไรที่ยากเหมือนกันค่ะ เราต้องเป็นเสี่ยวหยูนะ ห้ามเป็นตัวเอง 

เราได้เรียนรู้เทคนิคการแสดงดี ๆ เยอะมาก อย่างพอได้เล่นกับพี่เอก ธเนศ วรากุลนุเคราะห์ พี่เขาจะเป็นคนที่รายละเอียดมาก ก่อนถ่ายเขาก็จะถามละเอียดเลย เช่น หนูมีเข้าซีนกับพี่เอก ที่เรานั่งโต๊ะอาหารกัน แล้วเขาต้องกิน เขาก็จะถามพี่ไก่ว่า “โอเค จะกินอันนี้นะ แล้วเดี๋ยวคุย แล้วเดี๋ยวพูด…” เหมือนเขาดีไซน์ออกมาให้ทุกอย่างมัน flow ให้อยู่บรรยากาศที่ดูเคร่งเครียด พี่เอกเป็นคนที่เก่งมาก ๆ เลยค่ะ

อย่างพี่ไอซ์ซึ เขาก็จะเป็นคนที่อยู่ในคาแรกเตอร์ค่อนข้างเยอะ เขาก็จะไปกองก่อนเวลานัด แล้วก็ไปซึมซับบรรยากาศเป็นตัวละคร “โอเค ตอนนี้เราเป็นสันตินะ” แล้วเขาจะเดินไปเรื่อย ๆ ในซีน ถ้าไป location ใหม่ ๆ เขาก็จะไปดู location นั้นก่อนให้รู้ว่า “โอเค เราอยู่ตรงนี้นะ อันนี้คือบ้านเรานะ” ทุกคนก็จะมีวิธีที่ไม่เหมือนกัน หนูก็ได้เรียนรู้จากพี่ ๆ แล้วเอามาปรับใช้ในการแสดงของหนูเหมือนกันค่ะ

เจนเย่-เมธิกา จีรนรภัทร

ความสุขวันนี้ของ “เจนเย่”

เวลาที่เห็นคนที่เขาชอบเรา 
เวลาที่หนูได้เจอแฟนคลับ 
หนูมีความสุขมาก

ความสุขของหนูง่ายมาก อย่างการนอนอยู่ห้อง นั่งดูซีรีส์ แล้วก็กินช็อกโกแลตดูไบหรือได้กินอะไรที่หนูชอบ แล้วหนูชอบนั่งอ่านคอมเมนต์ บางคนก็บอกว่า “ฉันท้อมากเลยนะ ชีวิตฉันเศร้า ฉันไม่อยากอยู่ต่อเลย แต่เพราะมีเธอ ฉันจึงอยากอยู่” แล้วเราเป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งแต่เราสำคัญต่อบางคนนะ

การที่เราแสดงหรือการที่เราทำอะไร แค่เขาได้ดูเรา…แค่นั้น ก็ฮีลใจเขาแล้ว หนูก็เลยรู้สึกว่า สิ่งนี้ทำให้เรามีความสุขมาก เวลาได้ทำผลงานอะไรดี ๆ ออกไปแล้วคนชื่นชอบ หรือเราได้เป็นรอยยิ้มของใครบางคน แค่นี้ก็เป็นความสุขของหนูแล้วค่ะ

เจนเย่-เมธิกา จีรนรภัทร
เจนเย่-เมธิกา จีรนรภัทร
เจนเย่-เมธิกา จีรนรภัทร

หนูอยากจะขอบคุณตัวเองที่กล้าหาญมาก ๆ แล้วก็ขอบคุณตัวเองที่เชื่อมั่นในตัวเอง เพราะหนูเป็นคนที่มีความลังเลสูงมาก จะโดนที่บ้านติบ่อย ๆ ว่าอย่าลังเล เราต้องเชื่อมั่นในตัวเอง จะเลือกผิดก็ไม่เป็นไร move on กับชีวิต ก็เลยรู้สึกว่าหนูผ่านจุดนั้นมาแล้ว อยากจะขอบคุณตัวเองที่ผ่านจุดนั้นมาได้ แล้วก็เป็นหนูทุกวันนี้ หนูชอบตัวหนูเวอร์ชันนี้มาก ๆ อะไรที่ผิดพลาดไปแล้ว ก็ให้ผิดพลาดไป เราเริ่มใหม่ได้เสมอ ก็อยากจะบอกตัวเองว่าสู้ ๆ นะ

อยากจะขอบคุณแฟนคลับทุกคน มีหลาย ๆ คนที่อยู่กับหนูตั้งแต่ Day 1 มาจนถึงทุกวันนี้ จำได้เลยว่ามีหลายคนที่เป็นเหมือน PR ส่วนตัวของหนู เขาจะไปโปรโมตหนูในในโพสต์ต่าง ๆ เหมือนใน X คนก็จะบอกว่า “อุ๊ย เสี่ยวหยูเป็นใครเนี่ย ชอบมากเลย” แฟนคลับหนูก็จะไปเขียนประวัติ เจนเย่นู่นนี่นั่น มีซีรีส์เรื่องอะไร ทำอะไรมาแล้วบ้าง (ยิ้ม)

อยากจะขอบคุณทุกคนที่คอยซัปพอร์ต แล้วก็ชอบหนูมาตลอด หนูสัญญาว่าจะเป็นตัวอย่างที่ดี แล้วก็เป็นแรงบันดาลใจให้ทุกคนต่อไป เป็นรอยยิ้มให้ทุกคนตลอดไปนะคะ รักทุกคนมาก ๆ เลยค่ะ

เจนเย่-เมธิกา จีรนรภัทร
เจนเย่-เมธิกา จีรนรภัทร
เจนเย่-เมธิกา จีรนรภัทร

คำถามสุดท้ายก่อนที่จะจบการพูดคุย วันที่ 19 มิถุนายนนี้จะเป็นวันเกิดปีที่ 26 ของเจนเย่ อยากรู้ว่าช่วงเวลาไหนในชีวิต 26 ปี ที่เจนเย่ประทับใจที่สุด

หนูว่าตอนนี้แหละค่ะ เป็นช่วงที่หนูรู้สึกว่า หนูประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งแล้ว หนูได้ทำอะไรที่หนูอยากทำ คนได้เห็นถึงความสามารถของหนู แล้วก็มีคนชื่นชมมากมาย ก็จริง ๆ ถือว่าเป็นช่วงที่หนูไม่มีวันลืม เป็นของขวัญที่ไม่รู้ว่าอนาคตจะได้อีกไหม และเป็นของขวัญที่จะไม่มีวันลืมเลยค่ะ

เจนเย่-เมธิกา จีรนรภัทร

บางครั้งชีวิตก็คล้ายฉากหนึ่งในซีรีส์ที่เราต้องสวมบทบาทหลากหลาย และเผชิญหน้ากับความจริงที่ว่า ไม่ว่าจะ ‘เล่น’ เป็นใคร หรือ ‘เป็น’ ใครในชีวิตจริง… ทุกตัวตนล้วนต่างมีเรื่องราว ในโลกที่จอภาพสะท้อนภาพลวงตาและตัวตนที่ถูกสร้าง “เจนเย่ จีรนรภัทร”  คืออีกหนึ่งเสียงที่กำลังบอกเล่าเรื่องราวการเดินทาง การปรับตัว และการค้นพบตัวเองในเวอร์ชันที่ดีที่สุด

AUTHOR

ทะเล จำปี ดนตรี ทราย และ ฉัน