เมื่อวานนี้ (28 มิถุนายน 2568) ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ได้มีการจัดกิจกรรมชุมนุม ‘รวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตย’ โดยกลุ่มเครือข่ายนักเคลื่อนไหวและประชาชนจำนวนกว่า 20,000 คน เพื่อเรียกร้องให้นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ลาออกจากตำแหน่ง จากกรณีคลิปเสียงสนทนากับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ซึ่งผู้ชุมนุมเห็นว่าเป็นการบั่นทอนศักดิ์ศรีและอธิปไตยของชาติ ซึ่งการชุมนุมเริ่มตั้งแต่ช่วงเช้า มีการประกอบพิธีสงฆ์ ก่อนจะสลับการขึ้นเวทีปราศรัยของแกนนำหลายคน บรรยากาศตลอดทั้งวันยังคงเข้มข้นต่อเนื่องแม้จะมีฝนตกลงมาในช่วงเย็น




ไฮไลต์สำคัญอยู่ที่การปราศรัยของ นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน ซึ่งประกาศอย่างชัดเจนว่า หากนายกรัฐมนตรีไม่แสดงความสำนึกหรือยังประพฤติผิดพลาด จะยกระดับการชุมนุมทันที พร้อมเปลี่ยนจุดยืนจากการเรียกร้อง “ลาออก” เป็นการ “ขับไล่สถานเดียว” โดยย้ำว่าแผ่นดินในรัชกาลที่ 10 ต้องไม่เสียดินแดนแม้แต่ตารางนิ้วเดียว นายจตุพรกล่าวถึงคลิปเสียงว่าเป็นหลักฐานบ่งชี้พฤติกรรม “ขายชาติ” และเปรียบนายกรัฐมนตรีกับ “คนตัดหัวแม่ทัพมอบให้ศัตรู” ซึ่งเป็นสิ่งที่คนไทยรับไม่ได้ พร้อมวิจารณ์แผนการเมืองเรื่องการควบตำแหน่งรัฐมนตรีวัฒนธรรมว่าเป็น “การวางตัวรอดหลังถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งหยุดหน้าที่”



ขณะเดียวกัน นายนิติธร ล้ำเหลือ หรือ ‘ทนายนกเขา’ แกนนำ คปท. ก็ได้ขึ้นเวทีปราศรัย โดยเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออกเช่นกัน พร้อมโจมตีนายทักษิณและตระกูลชินวัตรว่าเป็น “ตระกูลที่ผูกขาดประเทศ” และกล่าวหาว่า 2 ปีที่ผ่านมาเกิด “DNA ชั่ว” แพร่กระจายไปทั่วประเทศ คนค้ายาและเปิดบ่อนออนไลน์กลับจะได้เป็นรัฐมนตรี ชี้ว่าอำนาจอธิปไตยของประชาชนถูกบิดเบือนเพื่อรับใช้ทุนผูกขาดและอำนาจเถื่อน พร้อมเตือนว่าหากประชาชนไม่ลุกขึ้นสู้ จะไม่มีทางหลุดพ้นจากวงจรอุบาทว์



การชุมนุมในครั้งนี้ได้เน้นไปที่การวิพากษ์วิจารณ์ภาวะผู้นำของนางสาวแพทองธาร และยังสะท้อนความไม่พอใจต่อกลไกการเมืองในภาพรวม ไม่ว่าจะเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ระบบรัฐสภา หรือองค์กรอิสระ โดยผู้ชุมนุมกล่าวหาว่า “ฝ่ายการเมืองรวมหัวกันยึดประเทศเป็นอาณานิคมของกลุ่มทุน” และมีความพยายามปิดหูปิดตาประชาชนผ่านการบิดเบือนข้อมูลและใช้อำนาจตามใจชอบ จากนั้นได้ปิดท้ายการชุมนุมด้วยการร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีและจุดแฟลชจากโทรศัพท์มือถือร่วมกัน โดยมีสัญญาณว่าจะกลับมาปักหลักชุมนุมระยะยาวหากรัฐบาลไม่แสดงความรับผิดชอบ