หากใครที่ชื่นชอบอ่านหนังสือแนววรรณกรรม โดยเฉพาะวรรณกรรมญี่ปุ่น คงเคยผ่านหูผ่านตากับวรรณกรรมเล่มบาง ๆ อย่างเรื่อง ‘สูญสิ้นความเป็นคน’ กันมาบ้าง หนังสือเล่มนี้ถ่ายทอดมาจากเรื่องราวชีวิตของผู้เขียนเอง ถูกเขียนขึ้นเมื่อ ปี 1948 และติดอันดับหนังสือวรรณกรรมขายดีอันดับ 1 ของญี่ปุ่นตลอดกาล (เปิดเผยเนื้อหาในหนังสือบางส่วน) 

เนื้อหาในหนังสือได้พาเราไปทำความรู้จักกับชีวิตที่หดหู่ของคนคนหนึ่งที่มีชื่อว่า ‘โยโซ’ ที่เล่าผ่านบันทึก 3 ช่วงพร้อมรูปถ่ายอีก 3 ใบ โดยในรูปใบแรกเป็นภาพโยโซในวัย 10 ขวบทำหน้าตาประหลาด ๆ อยู่ในรูป ซึ่งพื้นฐานนิสัยของโยโซเป็นพวกหวาดกลัวมนุษย์ และกลัวการปะทะไม่ว่ากับใครก็ตาม เขาจึงเสแสร้งตบตาคนรอบตัวว่าเขาเป็นเด็กที่ร่าเริงและตลกเพื่อปิดบังความกลัวภายใต้จิตใจของตนเอง ทั้งยังมีเนื้อหาบางตอนที่ถ่ายทอดความกลัวเหล่านี้ออกมาว่า

“ผมหวาดกลัวมนุษย์จนตัวสั่นอยู่เสมอ ทั้งยังไม่เคยมั่นใจการกระทำหรือคำพูดของตนแม้เศษเสี้ยว แต่ต้องเก็บความกลัดกลุ้มทรมานไว้ในกล่องใบเล็กจิ๋ว ปกปิดความสลัดหดหู่ และเครียดเคร่งสวมหน้ากากคนมองโลกแง่ดี และไร้เดียงสา จนค่อย ๆ กลายเป็นคนพิลึกชอบเล่นตลกโดยสมบูรณ์”

นอกจากนี้ในพาร์ตนี้เนื้อเรื่องได้หยอดเอาไว้เล็ก ๆ ว่า ช่วงชีวิตวัยเด็กของโยโซเคยถูกล่วงเกินจากคนรับใช้ภายในบ้าน และนี่ก็อาจจะเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่โยโซได้พยายามอธิบายว่า ตัวเขาเองได้ค่อย ๆ ละทิ้งความเป็นมนุษย์ของตัวเองลง

ในรูปใบที่ 2 เป็นช่วงวัยที่โยโซเติบโตขึ้นมาอีกนิด และกำลังเรียนชั้นระดับมัธยมปลาย ณ ขณะนั้นอาการหวาดกลัวมนุษย์ในตัวโยโซยังไม่ได้หายไป แต่ในพาร์ตนี้โยโซได้เรียนรู้ว่าการดื่มเหล้าให้เมาในชั่วขณะกับการได้นอนอยู่ในอ้อมอกของโสเภณีช่วยให้เขาหลับสนิทขึ้น รู้สึกปลอดภัยขึ้น เขาจึงเรียนรู้ได้ว่าอบายมุขบางอย่างก็สามารถช่วยให้เขาหายหวาดกลัวมนุษย์และสังคมไปได้ชั่วขณะหนึ่ง แม้มันจะเป็นเวลาสั้น ๆ ก็ตาม

ระหว่างทางการเติบโต ชีวิตของโยโซก็ดึงดูดผู้หญิงเข้ามาเรื่อย ๆ แต่ก็เป็นผู้หญิงที่หวาดกลัวสังคมและมนุษย์เหมือนกับโยโซ มีครั้งหนึ่ง โยโซและแฟนของเขาที่เป็นแม่หม้าย รู้สึกหมดแรงที่จะใช้ชีวิตอยู่ต่อในโลกที่มันโหดร้าย เขาทั้งคู่จึงได้ชวนกันไปกระโดดน้ำตาย ปรากฏว่าโยโซรอดแต่แม่หม้ายคนนั้นเสียชีวิต บาดแผลนี้ก็กลายเป็นอีกบาดแผลหนึ่งที่กรีดลงไปในจิตใจของโยโซที่แสนจะเปราะบางมาตั้งแต่ต้น

ในหนังสือได้อธิบายชีวิตที่หดหู่และการพยายามจบชีวิตของ ‘โยโซ’ ความเจ็บปวดที่โยโซถือว่าสูญสิ้นความเป็นมนุษย์ที่สุดน่าจะเป็นตอนที่ถูกส่งตัวไปรักษาในโรงพยาบาลประสาท โยโซได้อธิบายว่าสภาพและความรู้สึกตอนนี้นี่ล่ะ ‘เศษมนุษย์’ ของจริง แต่ถึงที่สุดแล้วเขาก็สามารถจบชีวิตตนเองได้จริง ๆ ในวัย 38 ปี ด้วยการออกไปกระโดดน้ำตายพร้อมกับภรรยา และสอดคล้องกับบันทึกที่เขียนไว้ในบทที่ 3 ว่า “ความตายคือทางออก เพราะการมีชีวิตอยู่คือต้นตอแห่งบาปทั้งปวง”

หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือเล่มบาง ๆ ขนาดพอดีมือที่ทั้งอ่านง่ายและสะท้อนความเจ็บปวด ความหวาดกลัวมนุษย์และสังคมของชีวิตผู้ชายคนหนึ่งไว้ได้อย่างหดหู่ และด้วยความที่หนังสือเรื่องนี้สร้างจากเรื่องจริงโดยตัวผู้เขียนเองทำให้สามารถรับรู้ถึงความเจ็บปวดของผู้เขียนได้ประมาณหนึ่ง แต่ไม่ใช่ทั้งหมดแน่ ๆ 

มวลรวมของหนังสือเล่มนี้เต็มไปด้วยความอึมครึม หดหู่ สิ้นหวัง และถ้าหากใครหยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาอ่านแล้วก็คงหนีไม่พ้นคำว่า ‘โยโซ’ หรือ ‘ดะไซ โอซามุ’ มีภาวะโรคซึมเศร้า นอกจากนี้ ‘นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์’ ได้ทำการวิเคราะห์เอาไว้ว่าการที่ ‘ดะไซ โอซามุ’ดึงดูดผู้หญิงเข้ามาในชีวิตตลอดเวลา เพราะลึก ๆ แล้วตัวเขาเองก็โหยหา ‘แม่’ และรู้สึกไม่ได้รับความรักจากครอบครัวพอสมควร เพราะในท่อนหนึ่งเขาได้เขียนไว้ว่า “แม่ หากได้ผูกพันธ์กันแล้วล่ะก็ ผมอาจจะไม่กลายเป็นมนุษย์แบบนี้แล้วก็ได้”  สะท้อนให้เห็นว่า ภายใต้จิตใจของ ‘ดะไซ โอซามุ’ ต้องการความรักจากทั้งทางพ่อและทางแม่ แต่เพราะเขาไม่เคยได้รับมัน ภายในจิตใจจึงว่างเปล่า และนำมาสู่การค่อย ๆ ละทิ้งความเป็นมนุษย์ลงไป

อย่างไรก็ดี หนังสือเล่มนี้ค่อนข้างเศร้า หดหู่ และสะท้อนภาพของชีวิตคนคนหนึ่งที่ไม่อยากมีชีวิตอยู่บนโลกที่เขาหวาดกลัวทั้งมนุษย์ จิตใจมนุษย์ และสังคมเอาไว้ได้เป็นอย่างดี ซึ่งหนังสือเล่มนี้ควรค่าแก่การหยิบขึ้นมาอ่านสักครั้ง