ตั้งแต่หลังยุคโควิด-19 เราจะได้ยินคำว่า Job Hopper บ่อยขึ้นในแวดวงการทำงาน สำหรับนายจ้างหรือ HR แค่ได้ยินคำนี้ก็อาจคิ้วขมวดทันที หรือสำหรับลูกจ้าง บัณฑิตจบใหม่ อาจจะเคยได้ยินผ่าน ๆ วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับ Job Hopper กัน เพื่อที่นายจ้างและลูกจ้างจะได้เข้าใจความหมายของคำนี้มากขึ้น

ก่อนจะเข้าสู่ประเด็นหลัก อาจจะต้องกล่าวไว้ก่อนว่า เป็นเรื่องธรรมดามาก ๆ ที่จะพบเห็นพนักงานย้ายเข้าย้ายออกกันเป็นประจำ แต่จะมีพนักงานประเภทหนึ่ง ที่มาทำงานใหม่ ๆ ได้สักพักก็ตัดสินใจลาออกแล้วไปสมัครงานใหม่ หรือมีประวัติการเปลี่ยนงานบ่อยครั้ง และมักจะมีประวัติการทำงานไม่ยาวนาน

Job Hopper เป็นชื่อเรียกของกลุ่มคนที่ย้ายงานบ่อย ๆ และมีระยะเวลาการทำงานในที่ทำงานแต่ละแห่ง ไม่เกิน 1 – 2 ปี และส่วนใหญ่กลุ่มคน Gen Y หรือ Millennials ที่นิยมทำงานที่ต้องการความเร็วและชัดเจนมีความคิดว่า คนทำงานไม่จำเป็นที่จะต้องอดทนทำกับงานที่เราไม่ชอบไปนาน ๆ 

โดยสาเหตุของการย้ายงานบ่อยนั้นมีหลายประการ ไม่ว่าจะเป็น การเปลี่ยนงานเพราะความจำเป็น , คนทำงานต้องการความท้าทาย , ลูกจ้างยังหาตัวเองไม่เจอ หรือมีปัญหาภายในที่ทำงาน และอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คนทำงานหลายคนกล้าเสี่ยงที่จะย้ายงานบ่อย นั่นก็คือ “การเพิ่มเงินเดือน” นั่นเอง

เนื่องจากปกติการย้ายงานนั้น คนสมัครงานมักจะขอเพิ่มเงินเดือนอีกร้อยละ 20 – 30 เมื่อเปรียบเทียบกับที่ทำงานเดิมที่มักจะปรับเงินเดือนเพิ่มร้อยละ 5 – 7 แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของลูกจ้างอีกที

นอกจากการเพิ่มเงินเดือนแล้ว ผลพลอยได้จากการย้ายงานนั่นก็คือ การได้เรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ หรือได้โอกาสใหม่ ๆ ที่บริษัทหรือที่ทำงานเดิมไม่สามารถให้ได้ ลูกจ้างอาจเลือกย้ายงานใหม่ เพื่อจะได้ทำตามเป้าหมายของตัวเองโดยไม่ต้องรอโอกาสที่จะเข้ามา

จากผลการสำรวจของ Robert Half บริษัทจัดหางานเปิดเผยว่า ปี 2022 ที่ผ่านมา พนักงานออฟฟิศร้อยละ 64 ย้ายงานกันบ่อย เพิ่มขึ้นจากปี 2021 ถึงร้อยละ 21 โดยคนทำงานเจน Millennials ร้อยละ 75 มองว่า การเปลี่ยนงานแบบนี้ช่วยเพิ่มเงินเดือนและยกระดับตำแหน่งงานของตัวเองมากที่สุด

แต่การย้ายงานบ่อยแบบนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่าอาจจะสร้างปัญหาตามมาในภายหลัง โดยเฉพาะในสายตาของ HR ไปจนถึงคนจ้างงาน เพราะส่วนใหญ่มองเรื่องความจงรักภักดีต่อองค์กร ประสบการณ์ทำงานที่ต่อเนื่อง ความเป็นมืออาชีพในทักษะการทำงาน ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาและประสบการณ์จากการทำงานที่นานถึง 2 – 3 ปี กว่าจะเห็นผล

J.T. O’Donnell ผู้ก่อตั้งและ CEO ของเว็บไซต์ Work it Daily ได้ให้ความเห็นที่น่าสนใจว่า คนที่ทำงานในที่ทำงานแห่งหนึ่งน้อยกว่า 2 ปี ติดต่อกันเป็นเวลานาน จะกลายเป็นสัญญาณเตือนให้แก่ผู้ว่าจ้างแน่นอน บริษัทที่รับสมัครเมื่อตรวจดูประวัติแล้ว อาจมองว่าไม่คุ้มที่จะรับเข้ามาทำงานในระยะเวลาไม่กี่เดือน นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ส่งผลต่อการพิจารณาในการรับสมัครงาน อาทิ ทักษะหรือสายงานที่ทำนั้นยังสำคัญต่อการทำธุรกิจในยุคปัจจุบันหรือไม่?

แม้ฟังดูเหมือนจะแย่ แต่ข้อดีของการเป็น Job Hopper จะช่วยให้คนทำงานมีคุณสมบัติที่โดดเด่นพอให้ได้รับการพิจารณาจากนายจ้าง นั่นก็คือ ความไฟแรง การมีเครือข่ายการทำงานที่กว้างขวาง เรียนรู้งานที่หลากหลาย เพิ่มพูนทักษะการทำงานใหม่ ๆ รวมทั้งได้ประสบการณ์ และพบเห็นวัฒนธรรมองค์กรรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งหากรับมือกับภาระที่สูงขึ้นตามตำแหน่งงานที่ได้ต่อรองกับนายจ้างตามที่ได้สมัครไว้ ก็สามารถยกระดับความก้าวหน้าในสายงานที่ทำได้

สำหรับลูกจ้างที่มีพฤติกรรมแบบนี้อาจจะต้องเตรียมตัวให้พร้อมก่อนย้ายงาน ทั้งการหางานสำรองก่อนลาออกจากที่ทำงานเดิม , การทำแฟ้มสะสมผลงาน หรือ Portfolio ให้โดดเด่น รวมทั้งศึกษาตำแหน่งงานและที่ทำงานที่เราจะไปสมัครไว้ก่อน แต่สำหรับคนที่ยังลังเลอยู่ และมองว่างานที่อยู่ในปัจจุบัน ยังไม่เลวร้ายไปมากกว่าที่กังวล การเข้าไปพูดคุยกับหัวหน้างานหรือผู้ว่าจ้างอย่างเปิดอก ก็เพื่อจะได้มีโอกาสในการปรับปรุงสภาพแวดล้อมในการทำงาน หรือได้รับรายได้ ไปจนถึงสวัสดิการที่เพิ่มขึ้น

และสำหรับผู้ว่าจ้างแล้ว หากจะรับคนที่เป็น Job Hopper เข้าทำงาน นอกเหนือจากการตรวจดูประวัติแล้ว อาจจำเป็นต้องดูเนื้องานและพัฒนาการประกอบประวัติการทำงานด้วย รวมถึงสัมภาษณ์อย่างละเอียดหรือลึกขึ้น เพื่อดูทัศนคติ การทำงานร่วมกับผู้อื่น รวมไปถึงความต้องการ เป้าหมายของผู้สมัคร ซึ่งหากทั้งนายจ้างและลูกจ้างตกลงกันได้ เราอาจจะได้ลูกจ้างมากฝีมือที่อาจทำงานกับนายจ้างนานกว่าที่อื่น ๆ ก็เป็นไปได้

แต่สำหรับนายจ้างที่เริ่มเห็นสัญญาณอันตรายของการลาออกของบรรดาลูกจ้างในทีม Makro’s Horeca Academy ได้เผยข้อมูล 8 วิธีมัดใจลูกจ้าง ตัดปัญหาพนักงานลาออกบ่อย ได้แก่ ปฏิบัติกับลูกจ้างให้ถูกหลักกฎหมายแรงงาน , มอบสวัสดิการและความมั่นคงแก่ลูกจ้าง , ตรวจดูผลตอบแทนว่าสามารถสู้บริษัทคู่แข่งได้หรือไม่ , สร้างกฎระเบียบในการทำงานและการอยู่ร่วมกันระหว่างลูกจ้างและนายจ้างอย่างชัดเจน , ไม่ใช้คำด่าทอหรือคำหยาบคายแก่พนักงาน , ปฏิบัติกับลูกจ้างเหมือนคนในครอบครัว , ตรวจดูว่านายจ้างเองเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาหรือไม่ และที่สำคัญคือ การถามไถ่สารทุกข์สุขดิบเพื่อหาทางออกแก่พนักงาน

ในโลกของการทำงาน ไม่มีอะไรที่ง่ายหรือยากดั่งที่เราหวังไว้ ทั้งลูกจ้างและนายจ้างต่างจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้ด้วยกัน เพื่อที่จะสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีความสุข

ที่มา

CREATED BY

นักออกแบบกราฟิกจากเชียงใหม่ สนใจในเสียงดนตรี ภาพยนตร์ และความเป็นไปของโลกยุคโลกาภิวัฒน์ไปพร้อมกับศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น