คุณเคยเบื่อกับการฟังชุดความรู้ย่อยยากกันบ้างมั้ย มันคงจะน่าเบื่อหากเรานึกถึงการฟังเนื้อหาทางวิชาการในห้องเรียน หรือการฟังสัมมนาที่เต็มไปด้วยพิธีรีตอง หรืออ่านเนื้อหายาก ๆ บางเรื่องที่เราควรรู้แต่ก็ไม่เข้าหัวสักที
แต่กับพื้นที่นี้ที่เราจะพาคุณไปสำรวจนั้นขอการันตีเลยว่าทุกเนื้อหาของพวกเขาไม่น่าเบื่อ น่าฟัง และน่าติดตามไปเรื่อย ๆ เพราะเพียงแค่ตอนนี้ ก็มีผู้คนติดตามพวกเขา ลงทุนซื้อบัตรเพื่อเข้าไปฟังเนื้อหาในแต่ละ Session อย่างไม่ขาดสาย และกลายเป็นหนึ่งพื้นที่แห่งความรู้ในโลกการทำงานของคนวงการสร้างสรรค์ที่ไม่ว่าใครก็ไม่ควรพลาด
SUM UP พาคุณไปบุกหลังเวทีงาน ‘Creative Talk Conference 2024’ กับหัวเรือใหญ่อย่าง ‘เก่ง-สิทธิพงศ์ ศิริมาศเกษม’ CEO & Founder ของบริษัท ‘RGB72’ และผู้ก่อตั้งเวทีนี้กันตั้งแต่ก่อนเริ่มงาน 1 วัน เพื่อพาคุณไปค้นเบื้องหลังการทำงานจนทำให้เวทีนี้เต็มไปด้วยผู้ติดตามมากมาย และเป็นหนึ่งเวที Talk Conference ที่ประสบความสำเร็จแห่งยุคอีกด้วย
ลืมบอกไป, งานนี้คุณไม่ต้องซื้อบัตร Backstage Tour หรอก เราเหมาตั๋วและพาเขามาเล่าให้คุณได้อ่านกันตรงนี้แล้ว

จุดเริ่มต้นของบริษัท RGB72 คืออะไร
เราเรียนจบระดับอุดมศึกษาในสาขาวิชา Visual Communication แล้วมาเริ่มต้นทํา ‘RGB72’ ซึ่งเป็น Digital Agency ที่ทําให้กับบริษัทอสังหาฯ หรือบริษัททางการเงินต่าง ๆ เวลาเขามีแคมเปญอะไร เราก็ช่วยคิดการสื่อสาร Artwork อะไรต่าง ๆ หรือช่วยเขาคิดแคมเปญอะไรใหม่ ๆ แล้วก็สื่อสารออกไป
ตอนนั้นเราอยากจะจัดตั้งบริษัทมาก ๆ เพราะเราเป็นคนที่คิดว่าถ้าเราอยากทําอะไร เราจะทํา ไม่ว่าจะมีอะไรมาขวางเราก็ต้องทำมันให้ได้ ขนาดจุดแรกของการทำบริษัทที่เขามีเงื่อนไขว่าต้องมีป้ายบริษัท ก็ไม่รู้จะเอาพื้นที่ที่ไหนแขวนป้าย เราเห็นหน้าห้องนอนเราที่ดูทรงแล้วน่าจะพอดูเป็นบริษัทได้ เลยเอาพื้นที่ตรงนี้ติดป้ายบริษัท แล้วก็ถ่ายรูปการจัดตั้งบริษัทครั้งแรกของเรา
First Draft ของ Creative Talk คืออะไร
มันเกิดจากการที่เราเข้าไปอยู่ในวงการสตาร์ทอัพ เราได้เจอคนเก่ง ๆ ที่เป็นลูกค้าหลายคนจากบริษัทหลักทรัพย์ บริษัทการเงิน หรือบริษัทอสังหาริมทรัพย์ เวลาเราไปคุยกับเขา เขาก็จะแชร์ความรู้ในสิ่งที่เขาเป็น แล้วแต่ละคนก็จะมีความรู้ที่แตกต่างกัน สมมติเราอาจจะมีความเก่งแค่ 2 – 3 เรื่อง แต่ก็มีอีกหลักพันเรื่องที่ยังไม่รู้เหมือนกัน
ถ้าเราชวนพวกเขามารวมตัวกัน แล้วก็มาแบ่งปันความรู้ให้คนอื่นบ้าง เรื่องที่เราไม่รู้ก็จะได้รู้ และเรื่องที่เรารู้ก็จะส่งต่อให้คนอื่นได้รู้ด้วย นั่นคือจุดเริ่มต้นประกายความคิดแรกที่ทำให้เราคิดว่าลองจัดดูสักงาน เราไม่ได้มีงบอะไรเยอะ เลยจัดแค่เล็ก ๆ ประมาณ 70 คน ปรากฎว่าคนก็มาจริง ๆ แล้วก็รู้สึกว่างานแนวนี้มันก็เวิร์คเหมือนกันนี่หน่า ก็เลยค่อย ๆ ขยายมันขึ้นไปเรื่อย ๆ
รูปแบบงานครั้งแรกเป็นยังไง ใช้เวลาเตรียมงานนานมั้ย
ครั้งแรกใช้ชื่อว่า ‘Creative Talk ครั้งที่ 1’ ตั้งใจให้เป็นงานที่คนครีเอทีฟมาแชร์กัน ตอนนั้นมี Guest Speaker แค่คนเดียว ก็คือพี่อ๋อง-เดชพัฒน์ อรรถสาร เขาเป็น Creative Director จาก Razorfish ที่นิวยอร์ก เป็นรุ่นพี่ที่รู้จักกัน เขาเตรียมไว้ว่าจะกลับมาที่ไทยพอดี เราก็บอกว่างั้นพี่ช่วยมาเป็น Guest Speaker ให้หน่อย ก็เลยได้เขามาเป็นคนแรกของเวที
จำได้ว่าตอนนั้นใช้เวลาเตรียมงานไม่นาน ประมาณเดือนเดียว เพราะว่าเราอยากทํา ข้อดีคือเราไม่ได้คาดหวังว่าคนจะมาเยอะหรือน้อยด้วยการที่มันเป็นครั้งแรก แล้วเราก็ไม่เคยจัดอีเวนต์ด้วย คิดว่าขอแค่มีคนมาเราก็ดีใจแล้ว ปรากฏว่าคนก็มาเต็มความจุจริง ๆ ตอนแรกจะรับแค่ 50 คน แต่ว่าคนมาราว 70 คน ถือว่าเกินด้วย ค่อนข้างดีใจเลย มันเป็นกําลังใจให้เราอยากจะทําครั้งที่ 2 ครั้งที่ 3 ต่อ
อย่างประมาณครึ่งปีต่อมาเราก็จัดครั้งที่ 2 เลย ซึ่งครั้งนั้นเราใช้สถานที่จัดงานเป็นโรงแรมอีสติน ที่สาทร มีคนมาประมาณ 250 คน มันมีแนวโน้มค่อนข้างโตขึ้น
ความจริงจังในการจัดงาน Creative Talk ครั้งถัด ๆ มาเป็นแบบไหน
เราเริ่มจัดแบบ 3 เดือนครั้ง เป็นงานตามไตรมาส คนดูก็ค่อย ๆ โตขึ้นเรื่อย ๆ แล้วก็ย้ายที่จัดงานไปเรื่อย ๆ เช่นกัน ครั้งที่ทําให้มันโตขึ้นมากก็คือครั้งที่ไปจัดในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตรงรัชดา ที่นั่นมีห้องที่สามารถจุคนได้ถึง 700 คน งานครั้งนั้นเลยทําให้เราโตขึ้นอีก เพราะคนก็มาดูกันเต็มความจุ
อะไรเป็นเหตุผลให้ตัดสินใจจัดเป็นงาน Conference ขนาดใหญ่
เราเริ่มจากหลัก 10 คน ขยายเป็นหลักร้อยคน บัตรก็เต็มตลอด เรารู้สึกว่าถ้าบัตรเต็มแบบนี้ แปลว่า Capacity มันยังไปได้อีก เราก็เลยค่อย ๆ ขยายออก แต่จุดที่มันทําให้เรากล้าเป็น Conference คือช่วงที่เราไปจัดในศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ก่อนที่เขาจะรีโนเวต
ตอนนั้นเราคาดการณ์ว่างานน่าจะรองรับเป็นหลักพันคน แล้วก็ต้องบอกว่าโชคดีที่ทางศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ในช่วงก่อนจะรีโนเวต เขาให้ราคาที่ดี เราก็เลยได้ไปจัด แล้วด้วยรูปแบบสถานที่มันมีความเป็นยานแม่ของคนจัดงาน Conference เราเลยยลองทะเยอทะยานขยายให้ใหญ่ไปเลย มีออแกไนซ์เซอร์มาช่วยด้วยอะไรแบบนี้ ตอนนั้นเลยเปลี่ยนแผนจากการจัดไตรมาสละครั้ง เป็นปีละครั้งแทน
พอเราไปทำปีนั้น เราก็ทำได้ คนมาเต็มงาน เราเลยรู้ว่าความต้องการของคนที่อยากได้ความรู้มันเยอะจริง ๆ หลังจากนั้นเราก็กลับมาเป็นงานเล็กไม่ได้อีกแล้ว เลยต้องเป็นงาน Conference ต่อไปเรื่อย ๆ

มองตลาดของ Talk Stage ในเมืองไทยยังไงบ้าง
ตอนแรก ๆ ที่ทํายังไม่ค่อยบูมเท่าไหร่ มันมีคนจัดทีละเล็กละน้อย ‘Creative Talk Conference’ ถือเป็นงานแรก ๆ เลยที่จัดให้มีหลายเวทีพร้อมกันแบบคู่ขนานแบบนี้เลย ซึ่งช่วงแรกคนที่มางานก็งงเหมือนกันว่า เฮ้ย ทําไมจัด 3 – 4 เวทีชนกัน แล้วฉันจะต้องเลือกไปเวทีไหน
โมเดลนี้เราไม่ได้คิดเอง เราไปดูจากต่างประเทศมา เวลาเราเห็นงานที่มีหลาย ๆ เวทีจัดพร้อมกัน มันทําให้เรามี Energy ว่า เฮ้ย! ฉันจะไปห้องไหนดี เราอยากจะไปห้องนั้น แล้วต่อห้อง 2 ห้อง 3 อะไรแบบนี้ เรารู้สึกชอบ มันทําให้เรานั่งฟังแล้วไม่หลับ ถ้าเป็นงานที่แบบมีเวทีเดียว เราฟังสักพักก็เบื่อ แล้วก็นอนฟุบไปบ้างก็มี แต่อันนี้พอแบบทุกคนต้องแย่งเปลี่ยนเวที จนมาช่วงหลัง ๆ คนเริ่มจัดกันมากขึ้น เราก็ถือว่ากำลังเป็นตลาดที่ค่อนข้างบูม โดยเฉพาะในช่วง 1 – 2 ปีหลัง
งานไหนที่เป็น Role Model สําคัญของเราบ้าง
เราชอบงานที่ชื่อว่า ‘South by Southwest’ ที่เทกซัส สหรัฐอเมริกา งานนี้เขาปิดทั้งเมืองเลย แล้วแทนที่เขาจะใช้เป็นเวทีแต่ละเวที เขาใช้เป็นโรงแรม สมมติเวทีนี้อยู่ที่โรงแรมแมริออท อีกเวทีหนึ่งอยู่โรงแรมฮิลตันที่มันอยู่ใกล้กันนั่นแหละ แล้วก็ให้คนวิ่งไปวิ่งมาข้ามตึกเอา โอ้โห คือเหนื่อยมาก
ช่วงกลางคืนเขาก็ไปดีลกับโรงภาพยนตร์ต่าง ๆ แล้วก็มีการฉายหนัง มีคอนเสิร์ต ปิดเมืองจัดกัน 7 วันเลย ความฝันเราก็อยากจะปิดทั้งเมือง แต่เราไม่รู้เราจะไปปิดยังไงได้ แต่อย่างน้อยเราก็ยังอยากให้มันมีทั้งโรงหนัง มีโชว์ มีทอล์คด้้วย นั่นคือเหตุผลว่าทําไมช่วงหลังที่เราจัด Creative Talk เเราถึงมีการเชิญกตัญญู สว่างศรีให้มาทํา Comedian Shows หรือที่เราจัดคอนเสิร์ต After Party เป็นเวทีสุดท้ายก่อนงานจบ
เรารู้สึกว่า Entertainment มันก็ต้องใช้ Creativity แล้วมันก็เป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิตของเรา ไม่ใช่ว่าเรามานั่งเรียนเอาสาระความรู้แล้วจะต้องเครียดกลับบ้าน เรายังสามารถ Enjoy กับคําว่า Creativity ได้จากทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวเรา
เสียงตอบรับในเปลี่ยนรูปแบบงานมาเป็นงาน Conference เป็นยังไง
เราว่าดีนะ แรก ๆ คนอาจจะไม่ค่อยชิน รู้สึกว่าเขาต้องวิ่งไปวิ่งมา แต่เมื่อเขาเริ่มชิน เขาจะสนุกและเต็มไปด้วย Energy แล้วเราก็มองว่ายังไม่อยากจะหยุดแค่การมีคนมาร่วมงานอย่างเดียว เราอยากจะเพิ่มความท้าทายของเราด้วยการเปิดรับอะไรที่มากขึ้น อย่างเช่น เรามีการรับ Volunteer มาช่วยงาน ปีนี้สมัครมา 200 กว่าคน เราคัดเหลือประมาณ 100 คนมาช่วย ทั้งเป็น MC หรือมาช่วยรันงาน
หรืออย่างเวลาเราทำ Podcast หรือสื่อของเราเอง แล้วก็เจอ Insight ว่ามีผู้พิการทางสายตาหลายคนติดตามเรา เลยเพิ่งรู้ว่ามีแฟน ๆ กลุ่มนี้ที่เขาติดตามอยู่ด้วย เลยคิดว่าทําไมเราไม่จัดงานที่สามารถชวนพวกเขาเข้ามาร่วมงานได้ ประจวบเหมาะกับ Title Sponser อย่าง ‘AP’ ที่เขาเปิดรับในเรื่องเหล่านี้ด้วย ก็เลยคุยกับเขาว่าอยากลองออกแบบงานให้ผู้พิการมาจอย
เราเลยมีการเปิดรับผู้พิการทางสายตา ผู้พิการทางการได้ยิน และผูุ้พิการทางการเคลื่อนไหวที่อยากเข้ามาฟัง เราจึงเป็นงาน Conference เดียวที่มีการใช้ภาษามือในทุก Sessions เพื่อช่วยเหลือคนที่เขาไม่ได้ยิน ปีนี้มีผู้พิการเข้ามาราว 150 คน แล้วเราก็ทำต่อกันมาเป็นปีที่ 3 แล้ว
เล่าแนวคิดของการอยากเปิดรับ Volunteer ให้เราฟังหน่อย
เราคิดว่าคนเราได้เรียนรู้ ไม่ใช่แค่การเรียนรู้จากการอ่าน หรือการไปเรียน การเรียนรู้ที่ดีเลยคือการได้ทํา สมมติไปเรียนว่ายน้ํา เราบอกคุณได้นะว่าการว่ายน้ํามันทําท่ายังไง แต่คุณไม่มีทางว่ายเป็นเลยถ้าไม่ได้ไปลงในน้ํา ดังนั้นการทํา Volunteer ก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน เป้าหมายของมันคือการอยากให้เขามาลงงานจริง เพื่อให้รู้ว่างานใหญ่ ๆ แบบที่เห็นไม่ใช่อะไรที่มันง่าย ๆ มันใช้เวลา ใช้กําลัง ใช้ทุกสิ่งเลย
สิ่งไหนที่ลองผิดลองถูกแล้วรู้สึกว่ามันยังเวิร์คบ้าง
น่าจะเป็นการจัดให้มีห้อง Workshop ครับ เป็นอะไรที่คนชอบมาก ทุกครั้งที่เราเปิดให้จองล่วงหน้า คนก็มาจองกันจนเต็ม อย่างปีนี้ห้องที่เต็มเร็วที่สุดเป็นเรื่องของ AI กับ Marketing คนอยากรู้เรื่องสองสิ่งนี้มากขึ้น ห้อง Workshop ก็ไม่ใช่ห้องเล็ก ๆ นะ เป็นหลักร้อยคนได้ แต่ทุกห้องเราก็เปิดให้ Walk in ไว้ประมาณ 20% เผื่อคนที่เค้าลงทะเบียนไม่ทัน หรือไม่ทราบว่าต้องลงทะเบียน หากเขามาหน้างานและลงทะเบียนทันก็สามารถเข้าร่วมห้องพิเศษนี้ได้
ปีนี้เตรียมตัวนานขนาดไหน
ใช้เวลาเตรียมงาประมาณ 8 เดือน หลังจบจากงานปีที่แล้วเราได้พักประมาณ 3 เดือน แล้วเริ่มงานต่อเลย ดังนั้นมันไม่ใช่การใช้เวลาเตรียมแค่ 1 – 2 เดือนแบบเดิมแล้วนะ มันยิ่งนานขึ้นมาก ๆ กว่าที่เราจะมาตั้งต้นกันว่าจะจัดงานรูปแบบไหน
ปีนี้การทำงานก็ค่อนข้าง Challange ขึ้น เพราะเราจัดงานหลายงาน ปีที่แล้วเนี่ยเราจัดงาน CTC 2023 เป็น 3 วัน 3 ธีม แล้วนําเอา 3 ธีมนั้นมาแยกมาเป็นงานเดี่ยวในแต่ละวัน ส่วนปีนี้มีทั้งงานเกี่ยวกับ People ช่วงเดือนมีนาคมแล้วก็เป็นงาน CTC 2024 ในเดือนมิถุนายน แล้วก็มีงานเกี่ยวกับ Marketing ตอนเดือนกันยายน
พอเรามี 3 งาน มันเลยทําให้เราต้องแบ่งการโฟกัสของเราออกไปงานอื่น ๆ ด้วย งาน CTC 2024 ในปีนี้เราเลยต้องทํางานด้วยความเข้มข้นมาก ๆ เพราะถึงแม้จะเริ่มต้นงานมา 8 เดือน แต่มันต้องถูกเบียดเวลาจากงานอื่นในห้วงเวลาใกล้กันด้วย
ออกแบบพื้นที่บนเวที หรืองานด้านกราฟิกยังไงบ้างในปีนี้
งานเหล่านี้เราก็จะออกแบบใหม่ทุกปี แต่เราพยายามเน้นความเรียบง่าย และใช้ความครีเอทีฟเข้ามาผสม อย่างปีนี้จอภาพอาจจะดูเรียบ ๆ แต่มันมีการปรับดีเทล อย่างการยกจอให้สูงขึ้น ให้คนข้างหลังได้มองเห็นได้ชัดขึ้น หรือการใช้แผงไฟที่มันเยอะกว่าเดิม เพื่อสร้างอิมแพคให้กับ Speaker เวลาอยู่บนเวที หรือการทําเวทีให้กว้างเพื่องานมันดูอลังการ อย่างเวทีกลางในฮอลล์ 1 และ 2 ของวันแรก จะกลายเป็นเวทีขนาดใหญ่ ก่อนที่ตอนบ่ายเราจะ Split เวทีนี้ออกมาให้กลายเป็น 2 ฮอลล์ 2 เวทีย่อยอีกที
ส่วนงาน Graphic เราก็ปรับ Design ทุกปี ข้างหลังที่เห็นเป็นเส้นโค้ง ๆ มันมาจากไอเดีย ‘Creative Generation’ เราคิดว่า Creativity มันอยู่ในทุกคน มันไหลไปตามอากาศ แค่เรานั่งกันอยู่อย่างนี้ ทุกคนก็ใช้สิ่งนี้กันอยู่ตลอด แล้วก็คิดว่าเส้นเหล่านี้มันสามารถเป็นเหมือนคลื่นในอากาศได้ เลยหยิบ Element พวกนี้มาเล่นกับตัว Artwork ของปีนี้
คัดประเด็นยังไงในแต่ละ Session ให้ยังสดใหม่เสมอถึงวันจัดงาน
มีสองเรื่อง เรื่องแรกคือเราสังเกตตลาดว่ามีเรื่องอะไรใหม่บ้าง ทีมของเราที่ทําการคัดสรรเนื้อหากันอยู่แล้วก็จะไปเลือกเฟ้นมา ส่วนอีกเรื่องก็คือมาจากตัว Speaker เองด้วย เวลาเราได้คอนเทนต์มา เราก็เอาไปคุยกับเขาว่าหัวข้อแบบนี้ดีมั้ย บางครั้งเขาก็มีแนะนําบางอย่างเพิ่มเติมซึ่งทำให้เราได้หัวข้อที่สดใหม่ขึ้นจากการทํางานร่วมกันสองฝั่ง
แล้ว Speaker ในงานนี้แทบทุกคนพยายามที่จะทํา Slide ขึ้นมาใหม่ ไม่เอาสไลด์เดิมที่ตัวเองเคยพูดมาก่อน ทุกคนตั้งใจมาก หลาย Session นัดประชุมกันประมาณสัก 2 – 3 รอบ รอบหนึ่งก็หลายชั่วโมงเลย เพื่อที่จะให้ได้ออกมาเป็น 1 ชั่วโมงที่อยู่ในเนื้อหานั้น ๆ แล้วเราก็ Curate กันทุก Session แบบจริงจังมาก เคยนับชั่วโมงในการทําสิ่งนี้ก็เกือบ 100 ชั่วโมง เป็นงานที่ใช้เวลาพอสมควร
จัดตารางที่ซ้อนกันแต่ละ Session ยังไงให้ลงตัวที่สุดในแบบ CTC
เราจะดูอย่างแรกจากเนื้อหา หากเกี่ยวกับ Marketing เราก็จะไม่เอาเนื้อหาเดียวกันมาชนกัน เผื่อกรณีที่มีคนสนใจเรื่อง Marketing เขาก็อาจจะเลือกได้ว่า โอเค งั้นฉันไปเข้าห้องนี้ อย่างที่สองก็คือเราก็จะดู Speaker ด้วย ถ้าเกิดว่า Speaker เนี่ยคนนี้ดังมาก เราก็จะจับมาชนเวลากับคนที่ดังเหมือนกัน คนจะได้ไม่เทไปห้องใดห้องหนึ่งมากเป็นพิเศษ ทั้งหมดเป็นการจัดสรรเพื่อทําให้เป็นคนที่มาในงานเลือกเรียงลำดดับความสำคัญในการเข้าฟังแต่ละ Session ได้
ความยืดหยุ่นสำคัญอย่างไรกับการทำ CTC บ้าง
เราว่าความยืดหยุ่นสําคัญกับทุกธุรกิจ โลกเรามันเปลี่ยนไปตลอดเวลา ปีที่แล้วเราจัด 3 วัน ปีนี้กลับมาจัด 2 วัน แบบนี้ก็คือความยืดหยุ่น ทุกธุรกิจควรสํารวจตัวเอง สํารวจคู่แข่ง สํารวจลูกค้าของเรา แล้วลองดูว่าในแต่ละปีเราควรจะปรับตัวเราไปเป็นยังไงได้บ้าง
เราคิดว่าเราไม่ควรจะทําแบบเดิมในทุก ๆ ปี อย่าง Creative Talk มีการตั้งเป้าหมายว่า ทุกปีเราจะต้องมีอย่างน้อยหนึ่งสิ่งที่เราไม่เคยทํา มีปีหนึ่งก็เราอยากลองจัดคอนเสิร์ต ก็มีคอนเสิร์ตขึ้นมา อย่างปีนี้เราเข้มข้นเรื่อง Speaker อยากได้ Speaker จากต่างประเทศ ก็ได้ Guy Winch ผู้เขียนหนังสือ ‘Emotional First AID ซ่อมแซมสุขที่สึกหรอ’ บินตรงจากอเมริกาเพื่อมางานเรา ดังนั้นในปีนี้เขาเป็นอะไรที่ Challenge เรามาก หรือการที่ปีนี้มี Speaker อย่างคุณทิม-พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ มา ก็ถือว่าค่อนข้างเข้มข้นสําหรับเรา


มีอะไรที่เคยลองทำไปแล้วน่าสนใจบ้างในแต่ละปี
ตอนทำ CTC 2020 เป็นช่วงที่พอดแคสต์บูมมาก ๆ คนทําเยอะแยะเต็มไปหมดเลย แล้วเราก็รู้สึกว่า เอ๊ะ ถ้าเกิดว่าเรามีห้องสักห้องหนึ่งเป็นห้องเงียบ เอาไว้ให้คนที่เขามาในงานที่เป็นสื่อสามารถที่จะอัดแล้วก็ทําพอดแคสต์ในวันนั้น แล้วก็ Public ได้เลยเนี่ย มันก็น่าจะเป็นอะไรที่สดใหม่ดี เราเลยตั้งตู้พอดแคสต์ขึ้นมา ถ้าจําไม่ผิดน่าจะมีสัก 1 – 2 ตู้ แล้วก็ตอนนั้นก็สนุกดีฮะ
หรือปีที่แล้วใน CTC 2023 เคยทําบัตร Backstage Tour เหมือนกับเราไปเที่ยว Universal Studio แล้วเขาพาไปดูเบื้องหลัง เลยคิดว่าน่าจะมีคนอยากเห็นเบื้องหลังของ CTC บ้าง เลยขายบัตรขึ้นมา ราคาก็กำหนดไว้แพงกว่าบัตรจริงที่เข้างานอีก แต่คนก็มาดูเยอะมาก ปีที่แล้วจัดตั้ง 4 รอบ รอบละ 50 คน เราก็เป็นคนพาไปเดินดูหลังเวทีเองเลย ว่าเรามีแนวคิดการทำงานครั้งนี้ยังไง หรือ งาน Graphic แต่ละตัวที่คิดมา ทํายังไงบ้าง
พูดถึงทีมงาน และน้อง ๆ เพื่อนร่วมงานหน่อยว่าพวกเขามีส่วนผลักดันอะไรบ้าง
เยอะมาก เดี๋ยวนี้ผมเป็นเหมือนคนจินตนาการนะ คิดไปว่าอยากให้งานเป็นยังไง แต่ว่าถึงเวลาลงเนื้องาน ผมเองก็ไม่ค่อยได้ทําแล้ว เพราะว่าพอลงรายละเอียดจริง ๆ น้อง ๆ เขาทําได้เก่งกว่า แล้วเราก็บริหารจัดการว่า คนนี้ทําอะไร คนนี้เป็น Head ของฝั่งไหน หากเขาดูแลตัวเค้าเองแล้วก็ทําได้ ทุกอย่างก็จบ
มีหลักการหนึ่งที่ผมชอบมาก เรียนรู้จากพี่โจ้-ธนา เธียรอัจฉริยะ มา ก็คือเค้าเรียกว่า ‘Tight loose tight’ สมมติเวลาเริ่มต้นเราต้องบรีฟงานให้ ‘Tight’ ก็คือแน่น เอาให้มันจริงจัง ชัดเจน แล้วตรงกลาง ‘Loose’ คือปล่อยให้เค้าทําไป ให้เขาได้ใช้จินตนาการ ใช้อิสระทางความคิดของเขา มันก็จะทําให้มีความเป็น Ownership แล้วเขาอยากทํางานเต็มที่ สุดท้ายตอนจบก็ ‘Tight’ อีกที คือมาวัดผลกันว่าจากบรีฟไปทีแรก วัดผลตอนจบมาแล้วได้ตามที่เราบรีฟตั้งแต่ตอนแรกหรือเปล่า ถ้าได้ตามนั้นก็จบ ถือว่างานสำเร็จ แต่ถ้าไม่ได้ เราก็ต้องกลับมาดูกันว่าเกิดอะไรขึ้น


อย่างยุคนี้ผู้คนมักติดความเป็น Perfectionist กันมาก คืองานทุกงานขอมาทําเอง หากจะให้งานมัน Work ขึ้น อาจจะต้องทำแบบนี้บ้างใช่หรือเปล่า
ใช่ เอาง่าย ๆ เลย มนุษย์ทุกคนมักจะชอบคิดว่าไม่มีใครทํางานได้ดีกว่าฉัน แต่เมื่อถึงเวลาจริง ๆ ถ้าคุณทํางานคนเดียว อาจจะทํางานได้เร็วนะแต่ไม่ได้ไกล หากอยากทํางานให้มันใหญ่ก็ต้องมีทีม คุณก็ต้องมี Teamwork ที่ช่วยทํา ซึ่งอาจจะไม่ได้สวยงามอย่างที่คิดไว้ตั้งแต่แรก หรือเขาอาจจะทําได้ดีกว่าก็ได้ แต่นั้นล่ะคือสิ่งสําคัญ คือการปล่อยให้ผู้ร่วมงานมีอิสระทางความคิด ดังนั้นสิ่งที่ควรทําไม่ใช่ว่าการลงไปทําในทุกงาน แต่ควรทําบรีฟให้มันชัดเจนแต่แรก ไม่ใช่บอกว่าผมอยากได้งานดี ๆ แล้วตอนจบจะไปวัดผลได้ยังไงว่างานนี้ดีแล้วหรือยัง
อะไรทําให้ Creative Talk แตกต่างและน่าสนใจจากเวที Talk Conference อื่นในไทย
น่าจะความครีเอทีฟและความเป็นกันเอง เรามักชอบบอก Speaker ทุกคนว่านี่คืองานของเราเอง อยากทําอะไรก็ได้ อันนี้คือคีย์เวิร์ดเลย คนตัดสินใจก็อยู่ตรงนี้ ก็คือคนที่คุยด้วยกันเนี่ย เขาเลยมีอิสระ อย่างกตัญญู สว่างศรี ปีนี้ก็ถามเราเอาโต๊ะของเขามาตั้งบนเวทีได้ไหม ผมบอกได้เลยอยากทําอะไรก็ทํา เอาที่มันเป็นเรา
มองเห็นอะไร จากการจัดงาน Talk Conference ในเมืองไทยบ้าง
ผมว่าคนไทยสนใจในเรื่องของความรู้มาก ๆ ใฝ่รู้ใฝ่เรียนมาก ๆ ถ้าเทียบกับในประเทศอื่น ๆ นะ อย่างผมเนี่ย อยู่อเมริกามาก็หลายปี ผมคิดว่าคนอเมริกาเขาก็สนใจความรู้แหละ แต่ว่าคนไทยก็ไม่น้อยหน้านะ แล้วโดยเฉพาะเทคโนโลยีอะไรมาใหม่ ๆ เราตามทันอยู่เสมอ ผมคิดว่าเนี่ยมันคือโอกาส แล้วก็เป็นเรื่องดีกับประเทศด้วย


ทุกวันนี้คนจัดเวที Talk กันเยอะมาก มีกลเม็ดอะไรที่ทําให้สําเร็จได้บ้าง
เราว่าต้องเห็นกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนก่อน ว่าใครจะเป็นคนมาฟัง ถ้าเห็นตรงนี้ชัดมันก็จะสะท้อนกลับไปที่การออกแบบคอนเทนต์ เรามองว่าถ้าเกิดว่าเรายังเห็นคนที่มาฟังไม่ชัดนะครับ แม้เราจะจัดงานอะไรขึ้นมาก็ตาม บางทีมันก็อาจจะไม่ Success ก็ได้
การจัด Talk Stage มันคืออุตสาหกรรม MICE (Meetings, Incentive Travel, Conventions, Exhibitions) อยากให้ภาครัฐสนับสนุนอะไรกับเราเพิ่มเติมมั้ย
อยากให้เค้ามาช่วยผลักดัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการให้เม็ดเงินช่วยลงทุนละ เรื่องทรัพยากรเงิน ผมว่าอันนี้สําคัญมาก ถ้ามาช่วยเราได้มันก็จะแบบทําให้งานเรามันโตขึ้น แล้วก็ดีขึ้นได้ สองคืออาจจะช่วยเรื่องของการ Promote หรือการนำเครือข่ายต่าง ๆ ที่ภาครัฐมีมาช่วย ผมว่าก็อาจจะทำได้ แล้วมันจะทําให้อุตสาหกรรมนี้โตขึ้นได้อีกเยอะเลย
การทำเวที Creative Talk Conference ทําให้เรียนรู้อะไรบ้าง
ได้เรียนรู้เยอะเลยครับ ทั้งเรื่องของการบริหารการจัดการคนทำงานของเรา ต้องบริหารจัดการยังไง คุยกับเขายังไง ได้เรียนรู้เกี่ยวกับผู้คนในระดับ Mass แต่เดิมเราทําเอเจนซี่ก็คุยกับแค่องค์กร ตอนนี้ก็ได้มาคุยกับคนทั่วไปเต็มไปหมดเลย แล้วก็ได้รู้ว่าความคาดหวังของคนมันค่อนข้างแตกต่างกัน เราว่าเรื่องนี้มันก็ค่อนข้างสําคัญ
ความสําเร็จของ Creative Talk เกิดขึ้นจากอะไร
ผมว่าเกิดขึ้นจากการ Match เกิดจากการที่ทําให้ทุกกลุ่มก้อนที่มีส่วนร่วมได้ประโยชน์ร่วมกัน อันนี้คือสิ่งสําคัญ เวลาเราทําธุรกิจ เราก็ต้องคิดก่อนว่าคนที่ทํางานกับเราเขาได้ประโยชน์อะไร สมมุติว่าคนที่มาดูเขาอยากได้ความรู้ เราสามารถให้ความรู้เขาได้ไหม ถ้าได้ก็คือ Success ในกลุ่มของ Speaker ที่มาพูด หากเขาอยากแบ่งปันความรู้ให้คนอื่น เขาได้กระจายสิ่งนั้นไปอย่างเต็มที่หรือเปล่า เราก็ต้องช่วยผลักดันตรงนั้น
หากเราเข้าใจว่าในแต่ละกลุ่มก้อน แต่ละชิ้นส่วนจิ๊กซอว์มีความต้องการอะไรบ้าง แล้วเราสามารถที่จะมอบสิ่งเหล่านั้นได้อย่างตรงจุดได้ ผมว่านี่คือ Key ของความสำเร็จในการทําธุรกิจเลยนะ
หมุดหมายของ Creative Talk ในอนาคตคืออะไร
เราอยากเป็นแพลตฟอร์มที่รวมทุกคน ทุกวงการที่มีความรู้มาให้ได้มากที่สุด แล้วก็กระจายความรู้ไปให้คนที่ต้องการได้มากที่สุด มันก็ฟังดูกว้าง ๆ แต่ก็คือหมายความที่ว่า เราอยากจะเป็นพื้นที่ให้เปิดโอกาสให้กับทุกคน เพื่อให้มีพื้นที่ในการบอกเล่นเรื่องราวของตัวเอง คุณทำสื่อ SUM UP ผมก็มีพื้นที่ให้คุณ 1 Session คุณก็ไปนั่งคิด ทําการบ้านมา แล้วก็ขึ้นมาอยู่บนนี้ได้เลยนะ เราอยากเป็นแพลตฟอร์มที่ทุกคนสามารถมาร่วมแบ่งปันความรู้ได้อย่างเต็มที่
