หากใครชอบดูข่าวคงไม่มีใครไม่รู้จักกับ ‘ลักขณา ปันวิชัย’ หรือ ‘แขก คำผกา’ ผู้หญิงที่นั่งอยู่ในแวดวงสื่อมาอย่างยาวนาน ซึ่งตัวเราเองก็เป็นหนึ่งในคนดูที่ได้ติดตามชมผลงานมาเรื่อย ๆ โดยเฉพาะรายการ ‘คิดเล่นเห็นต่าง’ ที่รูปแบบรายการจะยกหนึ่งประเด็นชูขึ้นมาและให้พิธีกรสองคนร่วมวิเคราะห์และแสดงความคิดเห็นได้อย่างตรงไปตรงมา และการวิเคราะห์ประเด็นสังคมต่าง ๆ ของ ‘แขก คำผกา’ ก็ทำให้เราได้ค้นพบกับความคิดและมุมมองใหม่ ๆ ที่ตัวเราเองไม่เคยมองเห็นมาก่อน

และแม้ว่าแขก คำผกา จะนั่งอยู่ในแวดวงสื่อมาอย่างยาวนาน แต่ก็ไม่เคยมองว่าตัวเองเป็นคนข่าวเลยและมองตัวเองเป็น ‘Commentator’ หรือผู้ให้ความคิดเห็นกับประเด็นข่าวต่าง ๆ ซึ่งในต่างประเทศจะเรียกอาชีพนี้ว่า ‘TV Personality’ วันนี้ SUM UP จึงอยากชวนทุกคนมานั่งพูดคุยกับ ‘แขก คำผกา’ ถึงอาชีพ Commentator, มุมมองต่อเสรีภาพสื่อ, และความทรงจำกับวอยซ์ทีวีในวันที่ปิดตัวลงไป หลังจากนำเสนอข่าวและคอนเทนต์มาตลอด 15 ปี ว่าเป็นอย่างไรกันบ้าง

ทำความรู้จักกับ ‘แขก คำผกา’ และที่มาของทั้ง 2 นามปากกา

สำหรับคนที่ยังไม่รู้จักพี่นะคะ พี่ชื่อว่า ลักขณา ปันวิชัย ชื่อเล่นชื่อแขก และก็มีนามปากกา 2 นามปากกา อันแรกคนอาจจะไม่ค่อยคุ้นหูแล้วล่ะ ชื่อ ฮิมิโตะ ณ เกียวโต นามปากกาอันนี้ใช้เขียนหนังสือ ตอนแรกพี่แขกเขียนจดหมายจากเกียวโต เขียนเรื่องตะมุตะมิน่ารักอะไรแบบนี้ นามปากกาอันที่สองคือ คำ ผกา ระหว่าง 2 นามปากกานี้ อยากจะให้หมอดูลองเอาไปผูกดวงดูว่าทำไมคำผกาถึงดังกว่า อาจจะเป็นเรื่องศาสตร์ตัวเลขของการตั้งชื่อ (หัวเราะ)

ตอนที่เขียนหนังสือครั้งแรกไม่ได้ตั้งใจว่าจะมีนามปากกา เพราะไม่ได้คิดว่าตัวเองจะเป็นนักเขียนมายาวนานมาขนาดนี้ ตอนนั้นพี่แขกยังอยู่ที่ญี่ปุ่นและได้คุยกับบรรณาธิการของสยามรัฐ สัปดาห์วิจารณ์ เขาก็บอกว่าพี่แขกคุยสนุกจัง ลองเขียนเป็นคอลัมน์เหมือนที่นั่งเล่าให้คนอื่นฟังไหม พี่แขกก็เลยเขียนคอลัมน์ชื่อ ‘จดหมายจากเกียวโต’ ตอนนั้นก็คิดว่าใช้นามปากกาอะไรดี เพราะมันเป็นเรื่องเกียวโตก็เลยตั้งอะไรบ๊อง ๆ ไม่ได้คิดว่าจะมีความหมายอะไรเหมือน ‘เซมากูเตะ’ อะไรแบบนี้ ทีนี้พอเขียนออกไปปรากฎว่า คนชอบอ่านมาก กลายเป็นคอลัมน์ที่คนติดมาก ก็เลยเป็นฮิมิโตะ ณ เกียวโต ไปเรื่อย ๆ ทีนี้มันกลับตัวไม่ได้ เป็นเช่นนั้นอยู่ประมาณ 2 ปี

ต่อมาพี่แขกเปิดคอลัมน์ใหม่เกี่ยวกับการวิจารณ์วรรณกรรม แต่จะวิจารณ์สวนกระแสนิดนึง ลองคิดดูตอนนั้นมันประมาณปี 2001 การวิจารณ์วรรณกรรมของพี่คือเอานิยายน้ำเน่าของไทยทั้งหมดมาอ่าน และก็ตั้งคำถามว่า ทำไมผู้หญิงคนนี้ต้องถูกทำให้เป็นคนไม่ดีในสายตาของสังคม คำว่าผู้หญิงที่ดีและไม่ดีมันมีคุณลักษณะอย่างไร

เรื่องแรกที่เอามาวิจารณ์คือ ‘ข้างหลังภาพ’ พี่พูดถึงคุณหญิงกีรติว่าตายเพราะจิ๋มแห้ง อยากได้นพพรแต่ไม่กล้าพูดออกมาตรง ๆ อ้อมไปอ้อมมาเลยไม่ได้กินเด็ก อกหัก จิ๋มแห้งตาย และเชื่อไหมว่าแบบแผ่นดินถล่มทลาย ณ เวลานั้นในสังคมไทย ครูบาอาจารย์ที่สอนวรรณกรรมตั้งคำถามว่าทำไมถึงวิจารณ์แบบนี้ ซึ่งนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการใช้นามปากกา ‘คำผกา’ เพราะว่าพี่ตั้งชื่อคอลัมน์ว่ากระทู้ดอกทอง ซึ่งกระทู้คือล้อพวกกระทู้พันทิปเพราะยุคนั้นเป็นยุคพันทิป และพี่ก็จะเป็นตัวแทนของตัวอิจฉาในนวนิยาย เป็นปากเป็นเสียงให้กับผู้หญิงที่ถูกมองว่าเป็นผู้หญิงชั่ว เป็นผู้หญิงเลว ทำไมสังคมต้องลงโทษผู้หญิงพวกนี้ด้วย ชื่อคอลัมน์ก็เลยชื่อกระทู้ดอกทอง คําผกาก็คือดอกทอง คําคือทองคํา ผกาก็คือดอกไม้

ไม่ได้เป็นนักข่าวเป็น ‘TV Personality’

พี่ก็เขียนหนังสือมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งมาที่ Voice TV เนี่ยแหละค่ะ เขาติดต่อให้พี่มาจัดรายการ ใช้เวลาคุยอยู่นานเหมือนกันเพราะพี่ไม่ค่อยอยากมาอยู่กรุงเทพฯ จนสุดท้ายก็ลองดู ซึ่งพี่ไม่ได้เป็นคนข่าว พี่เป็นเซเลบต้องแยกกันนะ พี่ไม่เคยเป็นนักข่าว อ่อ พี่เคยเป็นนักข่าวอยู่ประมาณ 3 เดือนหลังจากเรียนจบปริญญาตรี พี่ไปสมัครงานเป็นนักข่าววิทยุ อสมท. ที่เชียงใหม่ อันนั้นเป็นชีวิตนักข่าวประมาณ 3 เดือน

ถ้าคุณเป็นนักข่าวคุณต้องไปทำข่าว แต่พี่ไม่เคยออกภาคสนาม ไม่เคยเขียนข่าว ถ้าเป็นนักข่าวคุณต้องไปสัมภาษณ์คน กลับมาต้องเขียนรายงานข่าว นักข่าวสำหรับพี่คือ Reporter มี Reporter มี Journalist Journalist เป็นคนพัฒนาประเด็นจากนักข่าว จากผู้รายงานข่าว และก็มีผู้ประกาศข่าวก็จะแบบ คุณสายสวรรค์ ขยันยิ่ง คุณนารากร ติยายน อันนี้คือผู้ประกาศข่าว แต่พี่เป็นคนให้ความคิดเห็น ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า TV Personality ในญี่ปุ่นมันจะมีอาชีพที่เรียกว่า TV Personality เป็นคาแรคเตอร์ที่จะไปอยู่ในทุกรายการทีวีเพื่อให้คอมเมนต์ในประเด็นต่าง ๆ ซึ่งในไทยไม่มีคำนี้

ซึ่งการเป็นเซเลบพี่พูดประชดและในวอยซ์ทีวีเขาเรียกว่า Commentator เวลานั่ง 3 คน คนที่นั่งตรงกลางอย่าง จิ๊บ วีรนันท์ หรือ พี่เก๋ ธีรัตน์ หรือ พัชญา เขาจะทำหน้าที่กึ่งผู้ประกาศข่าว คือ Moderator Moderate เขาจะมีสคริปต์ข่าว เขาก็อ่านข่าว เสร็จแล้วเขาก็จะถามความคิดเห็นพี่แขกว่าคิดเห็นอย่างไร อาจารย์วิโรจน์มีความคิดเห็นอย่างไร อันนี้เรียกว่า Commentator ซึ่ง Commentator จะเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องการต่างประเทศไหม เรื่องการเงินไหม เศรษฐกิจไหม สังคมไหม อะไรแบบนี้

สื่อไม่จำเป็นต้องเป็นกลางแต่รัฐต้องไม่เซ็นเซอร์

สื่อไม่จำเป็นต้องเป็นกลาง ความเป็นกลางของสื่อคือไม่มีสื่อไหนโดนปิดปาก มีความหลากหลายของสื่อ มีสื่อขวาจัด มีสื่อซ้ายจัด มีสื่อรอยัลลิสต์ หรือมีสื่อแอนไทรอยัลลิสต์ และทุกสื่อมีเสรีภาพที่จะพูดทุกอย่างที่ตัวเองอยากจะพูด ประชาชนอ่านทุกอย่าง และหาสมดุลของความหลากหลายนั้น สิ่งนี้เรียกว่า ‘ความเป็นกลาง’ อันนี้พี่จะพูดช้า ๆ นะคะว่า ความเป็นกลางของสื่อคือการหาจุดสมดุล ท่ามกลางความหลากหลายของความคิดเห็นที่แตกต่างกันของสื่อแต่ละสื่อ ความเป็นกลางของสื่อ ไม่ได้วัดกันที่ว่าสื่อสํานักไหนมีจุดยืนที่เป็นกลาง

เราไม่ต้องมาพูดเรื่องสื่อสำนักไหนมีความเป็นกลางหรือเปล่า เข้าใจไหม สื่อมีจุดยืนของตัวเองและไม่มีสื่อไหนโดนปิดปาก สื่อมีจุดยืน ขวา ซ้าย ซ้ายขวา ซ้ายซ้าย เหลือง แดง ส้ม ทุกสิ่งพอมันมาอยู่รวมกันหลาย ๆ สี และเราได้ฟังทุก ๆ หัว มันจะเกิดความสมดุล เกิดการบาลานซ์กันของความคิดเห็นท่ามกลางความหลากหลายนี้ เราต้องใช้คำว่า ‘บาลานซ์’ ไม่ใช่คำว่า ‘เป็นกลาง’ ทีนี้สื่อสามารถ Take Stance ได้ ฉันเป็นสื่อเชียร์ก้าวไกลเพราะฉันชอบแนวทางนี้ พูดค่ะ พูดออกมาดัง ๆ อย่ามาสวมหน้ากากความเป็นกลางและความถูกต้อง

ฉันไม่รู้ว่าฉันถูกหรือเปล่าแต่ฉันเป็นสื่อเชียร์เพื่อไทย ฉันชอบแนวทางนี้ ฉันชอบทุนนิยมที่มีหัวใจ ฉันเป็นสื่อเอียงข้างนี้ ฉันเป็นสื่อเชียร์พลังประชารัฐ ฉันเป็นสื่อเชียร์กัญชา ดังนั้นฉันจึงเชียร์ภูมิใจไทย คือมันมีจุดยืนแบบนี้ของสื่อได้ไม่ต้องอาย และไม่ต้องมาเคลมว่าฉันเป็นกลางเพราะทุกคนมี Bias (อคติ) แต่สิ่งที่จะสร้างความสมดุลของสื่อได้คือ เสรีภาพของสื่อ รัฐต้องไม่เซ็นเซอร์ ฉะนั้นถามตัวเองว่าเกิดมาไม่มีหรอ Bias ถ้าเกิดมาแล้วไม่มี Bias ค่อยมาเคลมความเป็นกลาง ซึ่งพี่ไม่เชื่อ!

แต่สิ่งที่จะต้องจับให้มั่นคั้นให้ตายคือ คุณต้องไม่นำเสนอข่าวปลอม คุณต้องไม่บิดเบือน คุณต้องไม่พาดหัว clickbait ความเหี้ยคือ Clickbait ความเหี้ยคือ Mislead อันนี้ไม่เกี่ยวกับเป็นกลางหรือไม่เป็นกลาง ซึ่งส่วนใหญ่มาจากความไม่เป็นกลาง พี่บอกเลยว่าวอยซ์ไม่เคยเป็นกลาง แต่วอยซ์ไม่เคยมี Clickbait ถ้าเป็นงานกองบรรณาธิการ ไม่นับรายการย่อยของ Commentator แต่ละคนบางคนชอบ clickbait มากแต่ออกไปแล้ว

เปิดที่มาของคำว่า ‘นางแบก’

พี่จำไม่ได้เป๊ะ ๆ นะคะ แต่เข้าใจว่าตอนนั้นมีประเด็นอภิปรายในสภาและมีประเด็นที่ว่าทำไมโรมไม่ได้อภิปรายเรื่องตั๋วช้างและต้องมาอภิปรายข้างนอก เพราะว่ามีการสั่งปิดสภา และก็มีการเอาไปเขียนกันในทวิตเตอร์ บอกว่าเป็นแผนของพรรคเพื่อไทยที่ปล่อยให้ สส. คนที่เหมือนเอลวิสอภิปรายเยิ่นเย้อ จนทำให้หมดเวลาอภิปราย และทำให้โรมซึ่งเป็นคนสุดท้ายที่จะอภิปรายเรื่องนี้ ไม่สามารถอภิปรายได้ เขาเลยบอกว่าอันนี้เป็นแผนเพื่อไทยเพราะเพื่อไทยไปดีลมา

พี่ก็เลยไปอธิบายใน X หรือทวิตเตอร์ ว่าปกติสภามันอภิปรายได้จนถึงเช้า มันไม่มีการสั่งปิดสภา ซึ่งฝ่ายวิปประธานฝ่ายค้านคือคุณสุทิน เขาก็พยายามส่งโน๊ตให้ สส. เอลวิสหยุดหรือจบ ซึ่งเขาไม่ฟัง แต่คุณสุทินมองว่าไม่เป็นอะไรเพราะน่าจะขยายเวลาต่อไปจนถึงโรมได้ แต่มันเกิดอะไรจึ้นก็ไม่รู้ ทำให้สภาประธานสภาสั่งปิด เพราะฉะนั้นที่บอกว่าเพื่อไทยมีดีลอ่ะ ไม่จริง และตอนนั้นคุณหญิงสุดารัตน์ยังอยู่เพื่อไทย และคนที่บอกว่าเพื่อไทยไปดีลกับประวิทย์มาไม่ให้อภิปรายเรื่องตั๋วช้างก็คือ ‘ปิยบุตร’ โห ทวิตรัว ๆ เลย พี่ก็เลยไปเถียงเยอะมาก และก็มีกลุ่ม Supporter ของปิยบุตรหรือพรรคอนาคตใหม่ ณ เวลานั้น มาเรียกพี่ว่าเป็นนางแบก ที่มาแก้ตัวเรื่องนี้ให้เพื่อไทย

วันรุ่งขึ้นก็ยังมีรูปปิยบุตรไปกราบขอโทษคุณหญิงสุดารัตน์ รูปนั้นยังมีถึงทุกวันนี้เลย ฉายา ‘นางแบก’ ก็เลยเกิดขึ้น คือมาบอกพี่ว่าคือนางแบก ตั้งใจจะด่า คิดว่าพี่จะเจ็บมากที่มาเรียกพี่ว่านางแบก พี่ก็เลยบอกว่าก็แบกแล้วไง? หลังจากนั้นพี่ก็เรียกตัวเองว่า ‘นางแบก’ ทีนี้คนอื่น ๆ ที่เชียร์พรรคเพื่อไทยเขาก็เลยเรียกตัวเองว่านางแบกตาม หลังจากนั้นคำว่านางแบกมันเลยแมสขึ้นมา กลุ่ม Supporter ของเพื่อไทยที่เป็นคนรุ่นใหม่ เขาก็เลยเอาคําว่านางแบกมาเรียกกลุ่มของเขา เวลามีปราศรัยของพรรคเพื่อไทย เขาก็จะติดชูป้ายนางแบก แล้วมันก็เกิดคอมมูนิตี้นางแบกขึ้นใน X อะไรแบบนี้ค่ะ

แบกจนยุบวอยซ์ทีวี?

ถ้าวอยซ์ทีวีเจ๊งเพราะมีคำผกา เอาที่มันสมเหตุสมผลกว่านี้นะคะ สมมุติคำผกาเข้าข้างเพื่อไทย จนทำให้ชื่อเสียงของวอยซ์ทีวีเสีย และทำให้วอยซ์ทีวีไม่มีคนดู ก็เลยเจ๊ง สมมุติเราคิดตามตรรกะนี้ก่อนนะ วิธีแก้ไขต้องทำอย่างไรคะ จะปิดวอยซ์หรือไล่คำผกาออก? และทำไมเขาไม่ไล่คำผกาออกคะ? ถ้าเขาจะไล่คำผกา ไล่หนูตัวเดียวเขาเผาบ้านทั้งหลังเลยหรอ แปลว่าคำผกาสำคัญมากเลยนะ ฉันกลัวที่จะไล่คำผกาออก ฉันเลยตัดสินใจปิดบริษัท เพราะ “คำผกา is so very important”

ความทรงจำกับวอยซ์ทีวีในวันที่กำลังจะปิดตัวลง

ที่นี่เป็นที่ที่น่าสนใจมากเลยนะ ที่น่าสนใจก็เพราะว่าเป็นที่ที่ผู้บริหารไม่ก้าวก่ายการทำงานเลย เขาใช้วิธีเลือกบรรณาธิการมา และให้บรรณาธิการคุมทุกอย่าง และปล่อยให้ Explore Content ตามรสนิยมของบรรณาธิการ เราจะเห็นว่าบรรณาธิการมี 3 คน วรรณโชค ไชยสะอาด จะมีความการเมืองแบบเก๋า ๆ มุทิตา เชื้อชั่ง จะมีความเนิร์ด เราจะเห็นคอนเทนต์ล่าสุดที่เขาสำรวจพาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ในช่วง 6 เดือนก่อนเกิดรัฐประการ 22 พฤษภาคม 2557 ไปดูเลยมี 70 กว่าภาพ สำรวจพาดหัวข่าวตอนนั้นว่ามันสะท้อนให้เห็นถึงอารมณ์ของสังคมอย่างไรก่อนเกิดรัฐประหาร ส่วนการทำงานแบบ ธิติ มีแต้ม จะเป็นศิลปิน เป็นเรื่องในเชิงสังคม ทำงานเป็นมานุษยวิทยาของเสียง ดนตรี คอนเทนต์เก๋มาก ๆ สำหรับพี่มันเป็นที่ที่รวมคนเก๋ ๆ เข้าเอาไว้ด้วยกัน

กิจกรรมช่วงนี้ของ ‘คำผกา’

ไปเรียน Pole Dance มาเห็นป่ะ คือช้ำหนักมาก (ชี้ให้ดูรอยช้ำที่ขา) และก็มีฝึกโยคะ ออกกำลังกาย เรียนกายกรรม เรียน Handstand ใช้เวลาประมาณครึ่งหนึ่งของชีวิตไปกับการออกกำลังกาย หลังจากนั้นก็เสริมสวย บำรุงผม บำรุงเล็บ และก็ใช้เวลาไปกับการทำอาหาร แสวงหาวัตุดิบดี ๆ ในการกิน ทำสวน และอีกหนึ่งกิจกรรมคือชอบสร้างบ้าน พี่ชอบการก่อสร้าง หมายความว่าพี่ชอบการปรับปรุงดูแลบ้าน จัดแต่งสวน ตัดต้นไม้ เป็นคนชอบการก่อสร้าง จะต้องมีโปรเจกต์อยากจะทำนั่นนี่ตลอดเวลา

ฝากอะไรถึงคนดูที่ติดตาม ‘คำผกา’ มาอย่างยาวนาน

ขอบคุณที่ติดตามกัน แล้วก็อย่างที่พี่แขกบอกค่ะว่า ความรู้สึกเดียวที่พี่มีต่อคนดูนะ คือรู้สึกเสียมารยาทที่จะต้องจากกันไปเหมือนเราทําให้เขาติดอะ ทําให้เขาชินที่มีเราอยู่ในชีวิต แล้ววันหนึ่งไม่มีอ่ะ อันนี้เป็นความรู้สึกที่พี่จะรู้สึกผิดค่ะ

อยากฝากอะไรถึงสื่อมวลชนด้วยกัน

ไม่ฝากค่ะ พี่ไม่มีอํานาจเหนือความคิดและเสรีภาพของใคร พี่ไม่ได้คิดว่าพี่มีความชอบธรรมที่จะฝากอะไรใคร

สามารถรับชมเนื้อหาบทสัมภาษณ์นี้แบบกะทัดรัด ได้ผ่านรายการ ‘SUM UP X JOURNALIST’ บทสัมภาษณ์ซีรีส์พิเศษที่จะพาคุณไปพูดคุยกับ ‘คนข่าว’ ในหลากหลายแง่มุมที่่น่าสนใจ โดยสามารถรับชมได้ด้านล่างนี้เลย