เขมสรณ์ หนูขาว, ไทยรัฐทีวี

เมื่อประมาณ 12 ปีก่อน ผมมีความฝันที่อยากจะเป็นผู้ประกาศข่าว อยากเป็นนักข่าวบนหน้าจอมากๆ อาจจะเพราะด้วยตัวเองนั้นดูโทรทัศน์บ่อย แล้วก็ชอบอ่านหนังสือพิมพ์มาตั้งแต่เด็กๆ เลย ความฝันในการเป็นนักข่าวจึงดูเท่และเหมาะสมสำหรับผมที่สุด และแน่นอนว่าในช่วงเวลานั้นที่การเมืองเริ่มร้อนแรง ข่าวจึงเป็นคอนเทนต์สำคัญที่ทำให้เราติดตามสถานการณ์ได้เป็นอย่างดี ในช่วงนั้นผมเลยทยอยเปิดดูทีวีเท่าที่มีอยู่จนครบทุกช่อง

หนึ่งในช่องที่ผมมักจะเปิดดูทุกเช้าบ่อยๆ คือรายการ “สยามเช้านี้” ที่กลุ่มเนชั่นได้ร่วมมือกับช่อง 5 ในการทำรายการข่าวเช้านี้ขึ้นมา แล้วผมก็บังเอิญไปเจอนักข่าวหญิงท่านหนึ่งที่รายงานข่าวโรงกำจัดขยะที่กองกันอยู่ข้างหลังเท่ากับตึก 10 ชั้น ก็คิดในใจว่าเขาคนนั้นนำเสนอบนพื้นที่อันตรายได้ยังไงกัน จนวันหนึ่งเขาก็ได้มาอ่านข่าวจริงจัง ผมเลยติดตามเขาเป็นต้นมา

หลังจากการเกิดขึ้นของทีวีดิจิตอล เขามาปรากฎอีกครั้งในฐานะ “ผู้ประกาศข่าวคู่แรก” บนหน้าจอสถานีโทรทัศน์น้องใหม่ที่ไม่ใหม่ในวงการสื่อ อย่าง “ไทยรัฐนิวส์โชว์” ที่ขอท้าชนกับละครหลังข่าวจนประสบความสำเร็จ และปีนี้ก็เป็นปีที่ 10 ของรายการนี้ด้วยเช่นกัน เขาคนนั้นยังคงอ่านข่าวทุกวันแบบไม่มีวันหยุด แต่เวลาอ่านอาจจะน้อยลงไปบ้างตามช่วงเวลา

วันที่ผมได้มาเป็นบรรณาธิการของสำนักข่าว SUM UP นั้นก็ไม่ลืมที่จะเริ่มต้นทำ News Documentary Series ของกอง และแน่นอนว่ามันเริ่มต้นจากการเก็บสัมภาษณ์นักข่าว ในระหว่างที่เราหาข้อมูลกันไป ผมจึงนึกถึงผู้หญิงคนนี้ แล้วรีบ DM ใน Instagram ว่าอยากจะขอสัมภาษณ์เธอ แน่นอนว่าเธอไม่อิดออดที่จะให้คิวเราทันที พร้อมนัดหมายสัมภาษณ์หลังจากนั้น

เขาคนนี้ชื่อ “ดร.เขมสรณ์ หนูขาว”
ผู้ที่ชื่อหมายถึง “ผู้มีความสุขเป็นที่พึ่ง”

ในวันที่ผมได้พูดคุยกับเขา ถึงแม้ว่าผมจะต้องออกไปก่อนกำหนดเวลา เนื่องจากมีอีกนัดหมายรอคอยผมอยู่ แต่ผมก็ได้คุยกับเธอ ซึ่งถ้าหากคนภายนอกมาเห็นผมคุยกับเขา ก็คงนึกไปว่าเหมือนคน Geek เรื่องสื่อมาคุยกัน เราและเธอต่างมีแววตาที่ดูเป็นคนมีไฟมากๆ และถึงแม้เธอจะบอกว่าวันนี้เธอเหนื่อยในวงการ รวมถึงเตรียมตัวเกษียนตัวเองแล้ว แต่ทุกครั้งที่เราคุยกัน สีหน้าและแววตาของเธอก็ไม่เคยเปลี่ยนไปจากวันแรกที่เธอรายงานข่าวเลย

ผมจึงอยากแบ่งปันเรื่องราวนี้ ผ่านบทสัมภาษณ์ของเธอคนนี้กัน…

เขมสรณ์ หนูขาว, ไทยรัฐทีวี

จากเด็กกิจกรรม สู่การเป็นนักแสดงวัยรุ่น

พี่มิลค์เริ่มต้นเล่าให้ฟังว่า “จริง ๆ แล้วเป็นคนชอบแสดงออก แบบกิจกรรมโรงเรียน ก็จะต้องมีส่วนร่วมตลอดเวลา แล้ววัยเด็กเราก็มีน้อย เพราะถ้าจําความได้คือทํางานเลย เราเริ่มทํางานตั้งแต่อายุ 12 ปี เริ่มจากการถ่ายโฆษณา ตอนนั้นก็จะเป็นยุคที่มีแมวมอง มาคอยดูนักเรียนตามโรงเรียน แล้วก็เอาเด็กไปถ่ายโฆษณา แล้วเราก็เป็นเด็กกิจกรรมของโรงเรียน เวลาทําการแสดงที่โรงเรียนก็จะมีแมวมองชวนเราไปแคสติ้งไปเทสต์หน้ากล้อง เพื่อจะถ่ายโฆษณา ตอนนั้นได้เงินก็ดีใจไง เด็ก ๆ อยากได้ตังค์ 5,000-10,000 บาท ในยุคนั้นก็เยอะนะ แล้วก็มาเริ่มเล่นละครตอนอายุ 13 ปี แล้วก็เล่นหนังตอนอายุ 14 ปี

แล้วด้วยความที่มันเด็กมากจนไม่รู้ตัวว่าเราชอบอะไร แต่เราแค่รู้สึกว่าสนุกดี ได้มีโอกาสได้ทําอะไรที่คนอื่นไม่ได้ทํา แล้วก็เราก็ไม่ได้ฐานะร่ํารวย พอเราได้ค่าตัวจากการไปเป็นนางแบบเด็กหรือการไปเล่นละคร เรารู้สึกดีใจว่าเราอยากซื้ออะไรที่เราอยากได้ด้วยเงินเราเองตั้งแต่ตอนนั้น ก็เลยรู้สึกว่าดีใจ ภูมิใจ

ก้าวสู่จอแก้วภายใต้ชายคา EXACT

พี่เล่นละครก่อน เรื่อง “เคหาสน์ดาว” ของเอ็กแซ็กท์ (ปี 2535) ยุคนั้นพี่แท่ง-ศักดิ์สิทธิ์ แท่งทอง และ พี่นุสบา ปุณณกันต์ เขาสองคนจะดังมาก แล้วในเรื่องเราก็เล่นเป็นน้องสาวพี่นุสบา ก็คือเป็นน้องจ๋าย รับบทครั้งแรกก็คือเป็นเด็กขาพิการ แล้วก็ยุคนั้นละครเรื่องนึงมันยาว แล้วคนจะติดและจะดูกันยาว ๆ จนแบบเหมือนเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจําวัน ตอนนั้นคนก็นึกว่าเราขาเป๋จริง เพราะว่าเล่นละครเรื่องแรกก็เล่นเป็นคนขาพิการข้างนึง

จําได้เลยว่าไปเล่นเกมโชว์ยุคนั้น มีรายการเวทีทอง แล้วตอนเล่นเกมก็จะต้องกระทืบไฟให้ไฟติด เพื่อที่จะได้ตอบคําถาม แล้วพอเราเล่นละครไปก็มีทีมงานติดต่อมาถามพี่ว่ากระทืบได้มั้ย เพราะเห็นพี่ขาเป๋ พี่เลยบอกว่าเป๋แค่ในละคร ไปออกรายการได้ค่ะ ก็เลยไปออกรายการเวทีทอง ก็ขํา ๆ สนุก ตอนนั้นก็แบบทันได้เล่นเกมโชว์ยุคก่อนเยอะนะ เพราะเราเข้าวงการเร็ว

เขมสรณ์ หนูขาว, ไทยรัฐทีวี

ก้าวต่อมาสู่จอหนังกับ “เสียดาย”

คือภาพยนตร์เรื่องเสียดายที่เราได้ไปเล่น จุดเริ่มต้นคือพี่มิลค์เล่นละครกับอาเอก (สรพงษ์ ชาตรี) แล้วอาเอกก็เป็นศิษย์โปรดของท่านมุ้ย (หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล) อาเอกก็มาบอกพี่มิลค์ว่า “ท่านมุ้ยกําลังจะทําหนังเป็นเกี่ยวกับเด็ก ๆ วัยรุ่น แต่เป็นเรื่องของยาเสพติด มิลค์เข้าไปแคสติ้งสิ เดี๋ยวอานัดให้” อาเอกน่ารักมาก อาเอกนัดให้จัดการอะไรให้หมดเลยค่ะ พี่มิลค์ก็เข้าไปแคสติ้ง ซึ่งตอนนั้นท่านมุ้ยก็ติดต่อนักแสดงเด็กที่มีชื่อเสียงอยู่แล้วด้วยหลายคนเหมือนกัน แต่อย่างที่บอกว่าบทมันแรงมาก แล้วยุคนั้นมันไม่มีบทแบบนี้ นักแสดงเด็กที่มีชื่อเสียงพ่อแม่ผู้ปกครองเค้าไม่ให้เล่น 

แต่เราด้วยความที่เราก็ไม่ได้คิดอะไร ก็ไปแคสติ้งหน้ากล้องแล้วเค้าก็บอกว่าได้ มาเล่นได้แต่จะต้องทุ่มเทนะ ต้องมาอยู่กับกองถ่ายแล้วต้องมาแบบมาฝึกซ้อม เราก็โอเคได้ ก็คือเรื่องเสียดายมันเลยทําให้เราสนิทกันมาก ในหมู่นักแสดงด้วยกันอย่างเงี้ยค่ะ ก็ต้องไปคลุกคลี ไปศึกษาเรื่องของยาเสพติด ถึงขั้นเชื่อว่าทีมงานพาเราไปเที่ยวกลางคืน ไปสีลมซอย 4 เพราะว่าในเรื่องจะเป็นเด็กใจแตกจะต้องไปเที่ยวผับแล้วต้องเต้น แล้วก็ดูวีดีโอเกี่ยวกับเรื่องของยาเสพติด แล้วก็ให้ไปคุยกับตัวละครจริง ๆ อย่างพี่มิลค์เล่นเล่นเป็นปูใช่ไหม เรื่องก็อิงมาจากคนที่ชื่อว่าปูจริง ๆ ซึ่งตอนนั้นที่ไปเจอเขา เขาก็ป่วยเพราะเป็นผลพวงมาจากการเสพยาเสพติดอย่างนี้ค่ะ ก็เราก็ต้องไปคลุกคลีกับเขา ไปคุยว่าชีวิตเป็นยังไง ก็ได้ไปเรียนรู้เยอะมาก เลยกลายเป็นว่าชีวิตในกองถ่ายตอนถ่ายเสียดายภาคหนึ่งก็จะคลุกคลีอยู่ในกองถ่าย ไม่มีคิวเราถ่ายเราก็ไปเพื่อที่จะไปเรียนรู้ไปดูว่าเป็นยังไงบ้าง

เขมสรณ์ หนูขาว, ไทยรัฐทีวี

ถึงเวลาตัดสินใจ จะเป็นนักแสดง หรือจะเปลี่ยนทาง?

ด้วยความที่เราเป็นนักแสดง แล้วเราไม่ได้โด่งดังอะไร เพราะว่าเราคิดแค่ว่ามันเป็นแค่อาชีพหนึ่งที่เรามีโอกาสหาเงินใช้เอง ไม่ต้องพึ่งพาพ่อแม่ให้เดือดร้อนให้เป็นภาระ แล้วเราก็ช่วยเหลือทุกคนในครอบครัวได้ ดังนั้นบทที่เราได้รับมันก็จะกระจัดกระจาย แล้วบวกกับเราไม่ได้สวย แค่คิดในใจเลยว่าถ้าฉันเกิดมายุคนี้ ฉันไม่ได้เข้าวงการบันเทิงแน่เลย ยุคนี้มีแต่เด็กหน้าตาสวย ๆ แล้วเราก็ได้เล่นละครในบทบาทที่มันหลากหลาย เราก็เลยมาคิดว่าเราจะต้องเล่นละครไปเรื่อย ๆ เหรอ? แล้วถ้าไม่มีใครจ้างจะทํายังไง แล้วถ้าเราเล่นไปเรื่อย ๆ เราต้องเล่นเป็นน้า เป็นอา เป็นแม่ เป็นป้า เป็นยาย แล้วก็จากไปกับโลกใบนี้แค่นี้เลยเหรอ ก็เลยรู้สึกว่าฉันน่าจะทําอะไรได้มากกว่านี้ แล้วก็คืออยากจะพูดภาษาอังกฤษเก่ง อยากไปเรียนเมืองนอก ก็เลยตัดสินใจว่าไปเรียนดีกว่า เพราะเรารู้สึกว่าความรู้มันเป็นไปเบิกทางที่ทําให้เรามีโอกาสในการทําอาชีพหลาย ๆ อย่าง

ก็เลยทํางานเก็บเงินส่งตัวเองไปเรียนปริญญาโทที่ประเทศอังกฤษ พอไปเรียนแล้วเราไปเรียนกฎหมายระหว่างประเทศ  เพราะว่าตอนปริญญาตรีเราเรียนนิติศาสตร์แล้วพอไปเรียนกฎหมายระหว่างประเทศปุ๊บ ในคลาสเรียนเราก็จะต้องคุยกันในห้องเกี่ยวกับปัญหาระหว่างประเทศ เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศต่าง ๆ อาจารย์ก็เลยให้โจทย์ทุก ๆ วันว่าเราต้องกลับไปดูข่าวว่าโลกใบนี้มันมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง เพื่อที่จะมาคุยกันในคลาสเรียน ก็เลยดูข่าวทุกวัน และรู้สึกว่าอาชีพนี้มันเท่มากเลย เลยคิดตั้งแต่ตอนนั้นว่าถ้ากลับมาจากการเรียนจบปริญญาโท จะไม่เป็นดาราแล้ว ฉันจะเป็นนักข่าว แล้วก็ไม่ได้รู้จักใครนะคะ ก็สมัครออนไลน์ตั้งแต่ตอนอยู่อังกฤษนะคะแต่สุดท้ายก็คือไม่มีใครเรียกเลย 

จนถึงวันที่เราเรียนจบและกลับเมืองไทย ก็ยังตั้งใจว่าฉันจะต้องเป็นนักข่าว อยากลงพื้นที่ รายงาน ก็เลยเดินทางไปสมัคร ไปถามที่ตึกเค้าว่าสมัครงานต้องไปตรงไหนคะ เราก็ไปทิ้งใบสมัครไว้ทุกช่อง ก็ไม่มีใครเรียกเลย ก็ตกงานอยู่เป็นปี จนสุดท้ายก็คิดว่างานนักข่าวไม่เหมาะกับเรา ก็เลยไปสมัครงานเป็นนิติกร กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ก็กำลังจะได้ทํางานแล้ว แต่สุดท้ายเนี่ยทางสถานีโทรทัศน์ที่เราสมัครไว้เขาเรียก ก็เลยชั่งใจว่าเราจะไปเป็นนิติกรหรือเราอยากจะไปตามฝันเป็นผู้ประกาศข่าว ก็เลยลุยไปเป็นผู้ประกาศข่าวดีกว่า

เขมสรณ์ หนูขาว, ไทยรัฐทีวี

จากนิติกร สู่นักข่าวหน้าจอทีวี

ตอนนั้นช่องที่เรียกช่องแรกก็คือ TNN24 เพราะว่าพอเขามีผู้บริหารเป็นมาจาก BBC แล้วเขาก็เห็นว่าเราจบมาจากต่างประเทศ เขาก็เลยชวนไปทํา แต่เขาบอกว่าต้องมาอ่านข่าวกีฬานะ เค้าก็นึกว่าเราจบอังกฤษ คงจะรู้เรื่องกีฬา ซึ่งไม่รู้เลย (หัวเราะ) แต่ด้วยความอยากทํางาน ก็บอกว่าได้ไว้ก่อน แล้วก็ไปอ่านข่าวกีฬาจริง ๆ อ่านผิดหมดเลย อ่านไม่รู้เรื่องเลย อ่านจนเจ้านายก็ต้องบอกไปอ่านอย่างอื่นเถอะ ก็เลยได้ไปอ่านข่าวต่างประเทศ แต่ตอนนั้นความฝันมันยังไม่เติมเต็ม เพราะว่ามันไม่ได้เป็นผู้สื่อข่าว คือยุคนั้นเนี่ย TNN24 เค้าไม่ได้ให้ผู้ประกาศข่าวเป็นผู้สื่อข่าวด้วย 

ทีนี้ ททบ.5 ก็เรียกให้ไปสอบ ก็เลยขอลองไปสอบดู แล้วสอบแบบยากมาก เปิดข่าวภาษาอังกฤษให้เราแปลสดเดี๋ยวนั้น รายงานสดเดี๋ยวนั้น แล้วก็สัมภาษณ์โดยมีคณะกรรมการสัมภาษณ์เรา แล้วก็เทสต์หน้ากล้องและเขียนข่าว ซึ่งเราก็เขียนข่าวไม่เป็นแต่เราก็สู้ แล้วเค้ารับก็เลยออกจาก TNN24 เพื่อมาอยู่ช่อง 5 แล้วพอมาอยู่ช่อง 5 ก็คือเป็นราชการเนอะ ก็คือเอาวุฒิปริญญาโทเข้าไปทํางาน เงินเดือนฐานปริญญาโทตอนนั้น 9,000 บาท แล้วก็อ่านข่าวได้เบรกละ 400-800 บาท แล้วยังต้องเป็นผู้สื่อข่าวภาคสนามด้วย ประจำอยู่โต๊ะการเมือง จริงๆ ช่อง 5 มีแต่ตําแหน่งผู้สื่อข่าว ซึ่งอ่านข่าวเป็นงานเสริม แต่ถ้างานหมายข่าวกับงานอ่านข่าวตรงกันก็ต้องเลือกงานผู้สื่อข่าว แล้วให้คนอื่นอ่านแทน ก็เลยตัดสินใจไปช่อง 5 ยอมลดเงินเดือน ก็ตอนนั้นไฟแรง สู้ตายมาก

ท้าทาย ลุยเต็มที่กับตำแหน่ง “ผู้สื่อข่าว-โต๊ะการเมือง”

ตอนนั้นสนุกมาก เหนื่อยมากแต่ชอบมาก แล้วช่อง 5 ก็น่ารักนะ โยนเราลงทะเลเลย คือจมน้ําก็คือตายไปเลย (หัวเราะ) วันแรกก็คือส่งไปกกต. (สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง) ผลเลือกตั้ง ทุกคนก็จะให้เราส่งข่าวโทรทัศน์และส่งข่าววิทยุด้วย ก็ไปขอลอกพี่ ๆ ช่องอื่น แล้วก็ค่อย ๆ ฝึกไปเรื่อย ๆ เรารู้สึกว่าความพยายามมันสําคัญเหมือนกันเนอะ มันทําให้เราใจสู้ไง แล้วทําให้เราต้องทําให้ได้อะ เพราะว่าตอนไปอยู่ช่อง 5 ก็เคยร้องไห้เหมือนกัน เพราะนอกจากทําข่าวแล้วเราก็ต้องเป็นผู้ประกาศข่าวควบคู่ไปด้วย แล้วต้องเล่าข่าวซึ่งมันยากกว่าอ่านข่าวอีก แล้วตอนนั้นทําแทนคุณจอมขวัญ หลาวเพ็ชร์ เพราะเค้าขยับไปอยู่ช่องอื่น เราก็ต้องไปแทนเค้า แล้วก็อ่านกับพี่มนัส ตั้งสุข และพี่หนิง-สายสวรรค์ ขยันยิ่ง 

วันแรก ๆ เราอ่านไม่ได้เลย เราก็ไปบอกผู้อำนวยการสถานีว่าขอทําข่าวก่อนอย่างเดียว ขอยังไม่อ่านข่าวเพราะยังทําไม่ได้จริง ๆ ผอ.ท่านก็เมตตามาก ก็บอกว่าต้องทําให้ได้ เพราะทุกคนอยากทํา ทุกคนอยากนั่งเก้าอี้ตัวเนี้ย เป็นรายการที่ทุกคนอยากอ่าน คุณได้อ่าน คุณต้องทําให้ได้ ก็เลยก็เลยฮึดสู้อีกรอบก็เลยพยายามทําให้ได้ แล้วตอนนั้นก็ตื่นเต้นนะคะ เพราะว่ามันเป็นรายการสด มันต้องมีสติตลอดเวลา แล้วเราก็ต้องระมัดระวังทุกคําพูด คือมันผิดมันพลาดเมื่อไหร่เนี่ย ความหมายมันจะผิดเพี้ยน ดังนั้นมันต้องมีสติมาก ๆ เราส่วนตัวก็ฝึกอ่านหนังสือพิมพ์ มองหน้ากระจก ฝึกพูดคนเดียว คือฝึกตลอดเวลาและอ่านหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ ทุกวัน แต่ว่าด้วยการที่เราเป็นผู้สื่อข่าวด้วยแล้วต้องอ่านข่าวด้วย มันทําให้เราเห็นภาพข่าวมากขึ้น แล้วก็เรามีประสบการณ์จริง รู้จริง แล้วก็มาเล่าได้ มันก็ได้เปรียบกว่า ตอนนั้นยังอายุน้อยก็ยังไหวอยู่ก็ก็ทําแบบนั้นมาเรื่อยเรื่อย

เขมสรณ์ หนูขาว, ไทยรัฐทีวี

จากสนามเป้า ลัดถนนสู่ “หัวเขียววิภาวดี”

ตอนนั้นด้วยความที่เราอยู่ช่อง 5 มา 8 ปี แล้วรู้สึกว่าเราได้ทําทุกอย่างแล้ว เราเป็นทั้งผู้สื่อข่าว เราเป็นผู้ประกาศข่าวกับทุกรายการแล้ว แล้วเราก็เป็นโปรดิวเซอร์ด้วย คือเราทําทุกอย่างจริง ๆ เราก็เลยรู้สึกว่าพอมันถึงยุคดิจิตอลที่มันเปลี่ยนผ่าน เราก็อยากจะลองเปลี่ยนตัวเองดูบ้างว่าเราจะไปได้ถึงขั้นไหน ยุคทีวีดิจิตอลทีวีมันมีหลายช่องมาก ซึ่งบางช่องก็จะเป็นช่องเดิมที่ขยับมาเป็นดิจิตอล เราก็จะเห็นภาพว่าถ้าเป็นทีวีดิจิตอลก็จะประมาณไหน แต่กับไทยรัฐเองเป็นช่องที่ไม่เคยทําทีวีมาก่อนเลย ไม่รู้ด้วยซ้ําว่าพอเป็นทีวีแล้วจะออกมาในรูปแบบไหน แต่สิ่งแรกที่เลือกก็คือ ความชื่อไทยรัฐมันคือข่าว แต่จริง ๆ แล้วไทยรัฐคือเราประมูลมาเป็นช่องวาไรตี้นะ (หัวเราะ) แต่ไทยรัฐมันคือข่าว แล้วพอได้มาคุย เขาบอกเลยว่าต่อให้เป็นช่องวาไรตี้ แต่ด้วยหัวไทยรัฐเราก็ยังจะเน้นข่าว ก็เลยรู้สึกว่าอยากทําข่าวในพื้นที่ที่เค้าเน้นข่าว แล้วเราอยากปรับตัวเองให้เราทันยุคทันสมัยด้วย ก็เลยรู้สึกว่าน่าสนใจ ก็เข้ามาคุยเองไม่ได้ซื้อตัวไป ก็เข้ามาคุยว่าอยากมาทําที่ไทยรัฐ เค้ามีนโยบายอะไรบ้าง

แล้วพอเข้ามามันก็มี Culture Shock ด้วยเหมือนกัน เพราะจากองค์กรเดิมที่เป็นราชการ มาเป็นองค์กรที่เป็นเอกชนและการแข่งขันสูงมาก แล้วในอดีตเราอ่านข่าวก็ไม่ได้คํานึงถึงเรตติ้งอะไรเยอะนะ ตอนอยู่ช่อง 5 แทบไม่เคยมานั่งดูเรตติ้งด้วยซ้ํา ก็พอมาถึงที่ไทยรัฐเนี่ย การแข่งขันสูงมากและเราก็ต้องสู้เพื่อความอยู่รอดขององค์กรด้วย คือปฏิเสธไม่ได้ว่าเรตติ้งมันก็ต้องมา โฆษณาถึงจะมา เพราะว่าเค้กก้อนเดียวก็แบ่งเยอะขึ้น การที่จะดึงสปอนเซอร์ให้มาอยู่กับเรา เราก็ต้องเป็นที่จดจําและมีคนดู แล้วมันมีความทันสมัย ทั้งเรื่องของการแต่งหน้า ผม แต่งตัว วิธีการเล่า คือเปลี่ยนใหม่หมดทุกอย่าง เราก็ต้องพยายามเพื่อให้เข้ากับยุคสมัยที่มันเปลี่ยนไป

อ่านข่าวคู่แรกบน “ไทยรัฐนิวส์โชว์” ที่กล้าชนละครหลังข่าว!

ตอนที่ผู้บริหารจะทำรายการข่าวภาคค่ำชนละคร เราก็ถามผู้ใหญ่เหมือนกัน ทางผู้ใหญ่เค้าเชื่อว่ามีคนกลุ่มหนึ่งที่ถ้าเขามีทางเลือกจะไม่ดูละคร เพราะในอดีตทางเลือกอาจจะไม่มากนัก ช่องแอนะล็อกทั้งหลายมันจะเป็นเวลาละครหมดเลย เราก็เลยอยากจะเป็นทางเลือกช่วงไพรม์ไทม์ ถ้าไพรม์ไทม์ของเราลองเป็นข่าว อยากรู้ว่าจะมีคนมาดูเรามั้ย สุดท้ายเราก็ประสบความสําเร็จตั้งแต่เริ่มต้นเลย รายการไทยรัฐนิวโชว์ มันก็เป็นรายการที่เรทติ้งดีที่สุดในไทยรัฐทีวี แต่ยังไม่ชนะที่อื่นนะ เราก็รู้สึกว่ามันมีกลุ่มคนที่พอเค้าเลือกได้แล้ว เค้าก็เลือกที่จะมาดูข่าวไง ก็เลยรู้สึกเราก็สู้ตรงพื้นที่ตรงนี้ให้มันดีที่สุด พี่ก็เลยอ่านมาจนถึงวันนี้ 10 ปีพอดี

เขมสรณ์ หนูขาว, ไทยรัฐทีวี

จากยุคที่เล่าทุกข่าว สู่วันเล่าข่าวอาชญากรรม

ตอนไทยรัฐทีวียุคแรกแรก เราก็ไม่ได้เน้นอาชญากรรมมากขนาดนั้นนะคะ แล้วก็จะค่อนข้างจะหลากหลาย แต่พอมามีอยู่ยุคนึงที่อาชญากรรมมันขายได้จริงๆ คือคนสนใจมาก เรตติ้งมันมาจริงๆ เพราะว่าเราดูเรตติ้งตลอดเวลาว่าคนสนใจเรื่องอะไร เราก็ต้องทําตอบโจทย์ผู้บริโภค เพื่อเค้าจะได้ดูเราเนาะ ก็เลยทําข่าวอาชญากรรม แล้วด้วยความที่ไทยรัฐตอนที่เป็นยุคหนังสือพิมพ์ เราก็เน้นข่าวอาชญากรรมอยู่แล้ว หน้าหนึ่งไทยรัฐก็จะรู้อยู่แล้วว่าจะมีข่าวอาชญากรรมเป็นหลัก พอมาเป็นทีวีก็ไม่ได้ยากนักที่เราจะเน้นอาชญากรรม เพราะเราก็มีแหล่งข้อมูลที่ค่อนข้างเยอะ พอมาเน้นเรื่องอาชญากรรม มันก็ต้องลองผิดลองถูกระดับหนึ่ง มันมีอยู่ช่วงหนึ่งที่เราเน้นอาชญากรรมมากจนบางทีมันล้ําเส้น แล้วก็แทนที่จะมีคนดูพร้อมคําชม กลับมีคนดูพร้อมคําตําหนิ เราก็ต้องนํากลับมาพิจารณาตัวเองว่าจุดไหนของการนําเสนอข่าวอาชญากรรมที่มันล้ําเส้นจนเกินไป ก็ต้องถอยมาให้มันอยู่ในพื้นที่ที่มันเหมาะสม

ในช่วงที่เราเล่าข่าวอาชญากรรมบางข่าวยาวเป็นเดือนๆ เราแค่รู้สึกว่าบางประเด็นคนดูไม่จําเป็นต้องรู้ก็ได้ คนดูควรจะรู้เฉพาะประเด็นที่สําคัญ และความคืบหน้าจริงๆ เท่านั้น แต่มันก็เป็นบทเรียนสําคัญเหมือนกันนะ มันทําให้การนําเสนอข่าวที่เป็นข่าวลุงพล หรือข่าวการเสียชีวิตของคุณแตงโม กลายเป็นประเด็นที่สมาคมสื่อมวลชน หยิบขึ้นมาเป็นประเด็นในการหารือกันมาเป็นอุทาหรณ์ เพื่อให้เกิดการปรับเปลี่ยนให้อยู่ในขอบเขตที่มันเหมาะสม เพราะตอนนั้นคนนําเสนอเองก็เครียดมาก แล้วก็มีความกดดันสูงมาก แต่เราก็ต้องขับเคลื่อนต่อไปตามนโยบายขององค์กร ผู้ประกาศข่าวก็เป็นแค่ฟันเฟืองนึงที่องค์กรขับเคลื่อนไปด้วยกัน แต่เราก็มีส่วนในการแสดงความคิดเห็นเสนอแนะในการขับเคลื่อนนั้น ๆ แต่ในเมื่อภาพใหญ่เค้าบอกว่า เราต้องทําเพราะคนยังสนใจ มันก็ต้องขับเคลื่อนไป มันก็เลยต้องเป็นไปตามกลไกในการขับเคลื่อนขององค์กรระดับใหญ่แบบนี้

มันก็เกิดความกดดัน ทั้งในตัวทีมงานด้วยและผู้สื่อข่าวที่ลงพื้นที่ด้วย เพราะต้องหาประเด็นทุกวัน วันละ 3-4 ชั่วโมง ผู้สื่อข่าวเองก็ลําบาก ผู้ประกาศข่าวเองก็ถูกตําหนิเยอะมาก จนเราเครียดจนแบบกดดันสูงมาก  จนมันถึงจุดที่เราเองต้องมาคุยกันว่าเราจะเป็นแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน สุดท้ายเราก็บอกว่าคดีลุงพลขออีกหนึ่งเดือน ถ้าไม่มีความคืบอะไรจะหยุดแล้ว พอมันเล่าไปเรื่อยๆ แล้วมันไม่เกิดประโยชน์กับคนดู แต่สิ่งที่มันผ่านไปแล้ว เราไม่ได้รู้สึกแย่กับชีวิตว่าทําไมเราต้องทําอะไรแบบนั้น แต่เราแค่รู้สึกว่ามันเป็นบทเรียนของสังคม มันเป็นบทเรียนของการทํางานสื่อมวลชน เราจะได้รู้ว่าอะไรควรทําในอนาคต

เขมสรณ์ หนูขาว, ไทยรัฐทีวี

เล่าข่าวลุงพลจนเครียด เป็นแพนิค และอยากลาออก!

ตอนนั้นที่ต้องนําเสนอข่าวที่เราไม่ค่อยอยากทํา กลับบ้านก็เครียดนะคะ ร้องไห้เนี่ยประจํา แล้วก็โดยเฉพาะเวลาที่เราอ่านข่าวไปด้วย เรามีไลฟ์ทางออนไลน์ไปด้วย แล้วเราก็อ่านคอมเมนต์ควบคู่กันไป มีแต่คนด่าเราทั้งนั้นเลย เราก็พยายามที่จะเป็นคนจิตแข็ง แต่ต่อให้จิตแข็งขนาดไหน ถ้าเราถูกตําหนิทุกวัน วันละ 4 ชั่วโมง รายการสดทุกวันมาหลายเดือน มันก็พังทลายได้เหมือนกัน เราก็เครียดและกดดันมาก จนเราก็ต้องพยายามหาทางออกให้ตัวเองว่าเราจะทํายังไงดี คือต้องเข้าใจว่าเราเป็นองค์กรใหญ่ แล้วเราก็ไม่ใช่ผู้ประกาศตัวใหญ่ที่จะไปบอกว่าฉันจะไม่อ่านข่าวนี้แล้ว เราก็ได้เสนอแล้วว่าคนละครึ่งทางมั้ย แล้วก็พยายามที่จะแบบให้มันไปได้ 

สุดท้ายเราก็แก้ปัญหาด้วยตัวเอง ด้วยการพยายามกลับไปนั่งสมาธิ แล้วก็พยายามไม่อ่านคอมเมนต์ แล้วก็ถามตัวเองว่าถ้าฉันเป็นผู้ประกาศข่าวแล้วฉันยังต้องทําแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ฉันเริ่มรู้สึกไม่ภูมิใจกับงานของตัวเอง ฉันควรจะทําต่อไหม แล้วถ้าฉันไม่ทํางานนี้ต่อ จะทํางานอะไรดี ก็เลยตัดสินใจว่าไปเรียนปริญญาเอก เพื่อที่จะเปิดโอกาสให้ตัวเองเห็นช่องทางใหม่ๆ ในการประกอบอาชีพ และก็ใช้ชีวิตในอนาคต ซึ่งตอนนั้นก็คิดถึงขั้นลาออก ก็เดินมาคุยกับทางฝ่ายบุคคลเลยว่าจะเล่าข่าวนี้อีกนานแค่ไหน เพราะไม่ไหว อยากลาออกแล้ว

แล้วด้วยความที่ว่าอ่านข่าวไทยรัฐนิวส์โชว์ มาตลอด 10 ปี มันก็จะมีข่าวที่เครียดสัก 99.99% ดังนั้นพอพี่อ่าน 7 วันไม่มีวันหยุดเลย หลายครั้งเคยพยายามที่จะขอหยุด แล้ววันไหนที่หยุดก็จะเริ่มมีอาการแปลก ๆ ก็คือช่วงเวลาที่เป็นเวลาข่าวที่พี่อ่าน (19:00 น.) พี่จะรู้สึกเศร้าแล้วร้องไห้แบบไม่มีเหตุผล ก็เลยรู้สึกว่าฉันเป็นอะไร แล้วรู้สึกกระวนกระวายแปลก ๆ แต่ตอนนั้นก็ไม่ได้เอะใจ ก็สะสมไปเรื่อย ๆ ซึ่งช่วงหลัง ๆ กลายเป็นคนกลัว หวาดระแวง จนขับรถไม่ได้ เคยขับรถแล้วขึ้นสะพานแล้วรถติด รู้สึกหายใจไม่ออก จะเป็นลม เหงื่อแตกทั้งตัว แล้วมีอยู่ช็อตนึงก็คืออยู่ในรถคนเดียว ขับรถรถติดบนทางด่วนอีกครั้ง เราก็เริ่มถามตัวเองว่าจะเป็นอีกหรือเปล่า จะดื่มน้ําในรถแต่ไม่มีน้ํา เท่านั้นแหละ เหมือนมันเป็นแบบมันมากระตุ้น เราก็ลงจากรถไปเคาะรถใครก็ไม่รู้ที่อยู่บนทางด่วน แล้วไปยกมือไหว้เค้าขอน้ําเพราะจะเป็นลม ก็เลยรู้สึกว่าไม่ได้แล้ว แล้วตอนก่อนจะอ่านข่าวก็จะเป็นลม

เราก็เลยเรียกคนดูแลที่มาด้วยกันช่วยมานั่งหน้าหน้าสตูดิโอหน่อย เหมือนให้เรารู้ว่ามีคนช่วยถ้าเราเป็นลม สุดท้ายก็เลยตัดสินใจไปพบจิตแพทย์ หมอก็บอกว่าเราเป็นโรคตื่นตระหนก (Panic Disorder) จนอยู่ในระดับที่ต้องกินยา เพราะถ้าไม่กินยาก็จะเป็นเรื่อย ๆ แล้วจะหนักขึ้น ก็เลยต้องเข้าสู่กระบวนการรักษาเรื่องสุขภาพจิต เอาเข้าจริง ๆ แล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าอายอะไรนะคะ เพราะว่าเรารู้สึกว่าหลาย ๆ คนก็เป็น แล้วก็ควรจะพบแพทย์ แล้วคุณหมอบอกว่าสมองของคนเรามันอัตโนมัติ อย่างพี่มิลค์ทํางานทุกวันและในช่วงเวลาที่อ่านข่าว มันเป็นช่วงเวลาที่เราไม่มีความสุข สมองมันเลยไม่หลั่งสารความสุขออกมา 

คือถ้าอย่างเป็นกรณีพี่มิลค์ คุณหมอบอกเลยว่ามันคือความเครียดที่เป็นตัวกระตุ้นทําให้เรามีอาการ แล้วคนในยุคปัจจุบันก็คือจะพยายามกดความเครียดเอาไว้ พยายามที่จะไม่หาทางออกให้มัน คิดว่าเป็นเรื่องเครียดธรรมดาที่ทุกคนจะต้องเครียด แต่ความเครียดบางทีมันไม่ธรรมดา ถ้าเครียดสะสมต่อเนื่องและยาวนาน มันกลายเป็นปัญหาเรื่องสุขภาพจิต และปัญหาเรื่องสุขภาพจิตสําคัญ ถ้าคนไม่ตระหนักและไม่ไปหาหมอมันจะทําให้เราเป็นหนักขึ้นและไม่มีทางหาย แต่อย่างที่พี่มิลค์เป็นแพนิค คุณหมอบอกว่าหายได้ มันจะไม่เหมือนกับการเป็นซึมเศร้าที่อาจจะต้องใช้เวลานานหน่อย แต่พี่ก็ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมทั้งหมดในการใช้ชีวิต เลยต้องกินยาเพื่อปรับเคมีในสมองให้มันบาลานซ์ให้มันใช้ชีวิตได้ 

แล้วพี่ก็อ่านข่าวน้อยลงเหลือวันละ 1 ชั่วโมงเท่านั้น แต่ก็ยังอ่าน 7 วันนะ ซึ่งมันก็เบาลงมากเพราะว่าไทยรัฐนิวโชว์ช่วงที่ 1 มันจะไม่ได้เป็นข่าวอาชญากรรมหนักหน่วงรุนแรงเท่าไหร่ มันก็จะเป็นข่าวเบาหน่อย แล้วก็พยายามที่จะออกกําลังกายมากขึ้น ใช้ชีวิตให้มันมีความสุขมากขึ้น พี่ก็เล่นโยคะ แล้วก็ต้องพบนักกายภาพบําบัดด้วย เพราะพี่มิลค์ต้องอ่านไทยรัฐนิวส์โชว์รายการเดียวมาตลอด 10 ปี แล้วนั่งเก้าอี้ตัวเดิมมา 10 ปี ทำให้ร่างกายซีกซ้ายมีปัญหา เพราะว่าเวลาเราอ่านข่าวเราก็หันมองพี่อุ๋ย หันมองจอเพื่อที่จะเล่าตามภาพ ก็ต้องพบกายภาพนักกายภาพบําบัด แล้วก็ก็ต้องปรับเปลี่ยนทั้งเรื่องสุขภาพกาย สุขภาพใจ แล้วก็มีสัตว์เลี้ยงบําบัด ตอนนี้มีรับแมวจรมาเลี้ยงหลายตัวอยู่ ก็พยามที่จะปรับเปลี่ยน บวกกับวัยเราที่อายุมากขึ้น เราก็ต้องถามตัวเองว่าเราต้องการอะไรกับชีวิต เราก็เลยกลับมาทบทวนชีวิตของเรา ในอีกรูปแบบหนึ่งว่าเราควรจะทํายังไงดี 

เขมสรณ์ หนูขาว, ไทยรัฐทีวี

เปลี่ยนตัวเองด้วยการเปิดประตูบานใหม่ผ่านการเรียน “อาชญาวิทยา”

จริงๆ เป็นเพราะคดีลุงพลที่ตัวเองเล่าอยู่นานมาก ก็เลยตัดสินใจไปเรียนค่ะ แล้วเราก็รู้สึกว่าอยากจะเข้าใจปัญหาอาชญากรรมที่เกิดขึ้นในสังคมมากกว่านี้ มากกว่าการเล่าข่าวด้วยอารมณ์ เราอยากเล่าด้วยความเข้าใจกับมันในเชิงวิชาการก็เลยรู้สึกว่ามันเป็นเป็นศาสตร์ที่น่าสนใจมาก แล้วมันเป็นศาสตร์ที่ไม่ว่าคุณจะจบคณะอะไรมาก็ตามก็สามารถไปเรียนได้ ตัวสาขานี้ก็อยู่ภายใต้คณะรัฐศาสตร์ ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็เลยรู้สึกว่าวิชานี้สามารถเอามาช่วยในการทํางานของเรามากยิ่งขึ้น ทําให้เรามองสังคมและมองเหตุอาชญากรรมแบบมีเหตุผล มีตรรกะที่ไม่ใช่มองแค่ด้านเดียว

แล้วพอเรียนไปก็ถึงได้รู้ว่ามนุษย์ก็จะชอบดูอะไรที่มันเร้าอารมณ์และเกิดอารมณ์ร่วม คดีอาชญากรรมมันเป็นคดีที่มันเป็นเรื่องใกล้ตัว เป็นเรื่องมิติเชิงสังคมที่มันเร้าอารมณ์ ทําให้คนติดตามรู้สึกมีอารมณ์ร่วม แล้วยิ่งโหดร้ายเท่าไหร่ก็ยิ่งมีคนดู และทุกครั้งที่มีคดีไหนโหดร้ายและได้เล่าไป เรตติ้งก็จะพุ่งแบบคนดูเยอะมากจริงๆ ก็เลยอาจจะเป็นเพราะว่าสัญชาตญาณของมนุษย์ลึก ๆ ก็อยากจะกระตุ้นเร้าอารมณ์ตัวเอง 

แต่จริง ๆ แล้วข่าวอาชญากรรมที่นําเสนอเยอะเกินไป มันก็ไม่ดี เพราะมันจะมีทฤษฎีแห่งการลอกเลียนแบบที่จะเกิดขึ้น สังเกตมั้ยว่าคดีอาชญากรรมหลายคดีมีพฤติกรรมการก่อเหตุเหมือนกันเลย เปลี่ยนแค่ชื่อคนก่อเหตุ ชื่อผู้เสียหาย กับสถานที่เกิดเหตุ หลายหลายครั้งที่มันเป็นเหตุการณ์ที่มันเหมือนเดิม คนจดจําแล้วก็จะรู้สึกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในข่าวอาชญากรรมเป็นเรื่องปกติ เพราะมันเกิดขึ้นแล้วเกิดขึ้นอีก บางคนจดจําแล้วก็ลอกเลียนแบบไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง หรือบางครั้งมันทําให้คนมีความก้าวร้าวมากขึ้น อารมณ์ร้อนมากขึ้นด้วยซ้ํา มันเลยต้องบาลานซ์ให้ดี โดยเฉพาะข่าวทีวีที่เราเน้นภาพ ไม่เหมือนข่าวหนังสือพิมพ์ที่เน้นเนื้อหา ดังนั้นเวลาเราเล่าข่าวอาชญากรรม เราก็จะขยายภาพให้เห็นว่าเป็นอาชญากรรม ซึ่งจริง ๆ แล้วมันไม่ควร หรือแม้กระทั่งภาพกองเลือดที่ต่อให้เรากลับสีเป็นสีขาวดําในช่วงเวลาที่เรานําเสนอก็ตาม  มันเลยต้องมีสติในการนําเสนอให้มากๆ 

เขมสรณ์ หนูขาว, ไทยรัฐทีวี

ทีวีดิจิตอลหมดสัญญา = เกษียนในวงการข่าว?

ถ้าพูดตรงๆ เลย คือพี่มิลค์วางแผนเกษียณตัวเองด้วยซ้ํา ด้วยความที่ว่าเราทํางานมานาน แล้วก็จะถามตัวเองอยู่ตลอดว่าเราจะต้องทํางานไปจนตายเลยรึเปล่า จริงๆ รักงานตัวเองนะ แต่ตอนนี้รักตัวเองมากกว่า เลยวางแผนเกษียณจริงๆ คือถ้าหมดสัญญากับไทยรัฐซึ่งก็จะเป็นช่วงหมดสัมปทานทีวีดิจิตอลพอดี ตอนนั้นพี่ก็ 50 ปีแล้ว จะให้พี่มานั่งอ่านข่าวเหรอ ฉีดโบท็อกซ์ก็เอาไม่อยู่ (หัวเราะ) ก็เลยอยากจะทําอย่างอื่น เช่น ไปเป็นอาจารย์ เพราะเราจบปริญญาเอกแล้ว อยากจะสร้างประโยชน์ให้กับสังคมในมิติอื่นๆ คือสื่อก็เป็นประโยชน์แหละ แต่มันมีประโยชน์ในด้านอื่นๆ ที่เราสามารถทําได้ ก็เลยอยากจะลองทําดู 

แล้วก็อยากจะมีเวลาให้ตัวเองมากขึ้น เพราะการเป็นผู้ประกาศข่าวแล้วมันเป็นรายการสด ดังนั้นถ้ามันมีอะไรฉุกเฉินเกิดขึ้นในชีวิตเรา ในช่วงที่เราทํารายการสด เราไม่สามารถขยับตัวไปไหนได้เลย คือเคยมีเพื่อนเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุในช่วงที่เราอ่านข่าวรายการสด แล้วเราก็ได้แต่อ่านไปด้วย น้ําตาตกไปด้วย อันนี้คือเรื่องที่เกิดเกิดขึ้นจริงๆ หรือถ้าเกิดแบบคนในบ้านเกิดอะไรฉุกเฉิน คือเราทําอะไรไม่ได้เลยนะ เคยแบบคุณพ่อติดโควิด-19 แล้วต้องพาไปส่งโรงพยาบาล พอถึงโรงพยาบาลแล้วพ่อก็หนีออกจากโรงพยาบาล พยาบาลโทรตามแล้วจะเข้าข่าวอยู่แล้ว เลยโทรให้มิ้นท์-อรชพร ชลาดล มาช่วยพี่อ่านข่าวหน่อย แล้วพี่ก็วิ่งไปดูคุณพ่อ คือเวลามันกําหนดชีวิตเรา เราเลยอยากกําหนดชีวิตตัวเอง ก็เลยรู้สึกว่าเราอยากจะเป็นคนเลือกแล้ว ไม่อยากจะเป็นคนถูกเลือกว่าแบบได้โปรดดูฉันเถอะ ฉันจะมีเรตติ้ง ฉันได้มีคนจ้าง จะได้มีเงินใช้ เราเป็นคนถูกเลือกมาทั้งชีวิตแล้วไง เลยรู้สึกว่ามันถึงวัยแล้วที่เราควรได้เป็นคนเลือกบ้าง”


สามารถรับชม SUM UP x JOURNALIST ตอนนี้ได้ที่นี่