หลังจากที่เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2567 ทาง Voice TV ได้มีแถลงการณ์ประกาศเรื่องยุติการผลิตสื่อทุกช่องทาง โดยจะเผยแพร่เป็นวันสุดท้ายคือวันที่ 31 พฤษภาคม 2567 ถือเป็นการยุติการทำสื่อมีอายุกว่า 15 ปีเต็ม โดยรายได้ของ Voice TV ในช่วง 3 ปีหลัง มีรายละเอียดดังนี้

ปี 2563
รายได้หลัก 38,248,615.33 บาท
รายได้รวม 44,129,774.70 บาท
ขาดทุนสุทธิ -110,360,808.79 บาท

ปี 2564
รายได้หลัก 69,677,018.58 บาท
รายได้รวม 71,385,403.19 บาท
ขาดทุนสุทธิ -92,809,646.94 บาท

ปี 2565
รายได้หลัก 96,332,339.81 บาท
รายได้รวม 97,584,918.91 บาท
ขาดทุนสุทธิ -106,353,986.67 บาท

จากตัวเลขพอจะทำให้เห็นภาพว่า Voice TV มีตัวเลขที่ติดลบอยู่พอสมควร แต่บทความนี้ไม่ได้จะพูดถึงการปิดตัวของช่อง Voice TV แต่อย่างใด แต่อยากชวนทุกคนมาย้อนความทรงจำกับรายการเก่าของช่อง Voice TV  ซึ่งในภาพจำของหลาย ๆ คนจะรู้ดีว่าคอนเทนต์ของช่องนี้จะหนักไปทางข่าวสังคมการเมืองเป็นหลัก และมีอีกสารพัดรายการที่หยิบหลาย ๆ ประเด็นมานั่งวิเคราะห์กันเป็นจริงเป็นจัง และอีกหนึ่งรายการที่ชอบหยิบประเด็นสังคม, การเมือง, วัฒนธรรม มานั่งวิเคราะห์ไปพร้อม ๆ กับคนดูก็คือรายการ ‘คิดเล่น-เห็นต่าง’ โดยประเด็นที่หยิบมามักเป็นประเด็นที่กำลังอยู่ในกระแสตอนนั้น หรือเป็นการเปิดประเด็นสังคมใหม่ ๆ ขึ้นมาโดยให้พิธีกรรายการ 2 คนถกเถียงกันซึ่งอาจจะมีมุมมองที่เห็นตรงกันบ้าง เห็นไม่ตรงกันบ้าง และการถกเถียงกันด้วยข้อมูลและหลักคิดใต้คอนเซ็ปต์รายการ ‘คิดเล่น-เห็นต่าง’ ทำให้ประเด็นสังคมที่ดูเหมือนจะหนักก็กลายเป็นสนุกและย่อยง่ายขึ้นมาดื้อ ๆ 

‘คิดเล่น-เห็นต่าง’ ออกอากาศตั้งแต่ช่วงปี 2554 – 2559 เผยแพร่ไปทั้งหมด 112 ตอน โดยในช่วงแรกพิธีกรจะเป็น ‘ลักขณา ปันวิชัย’ และ ‘อรรถ บุญนาค’ ต่อมาภายหลังได้เปลี่ยนเป็น ‘ลักขณา ปันวิชัย’ กับ ‘นครินทร์ วนกิจไพบูลย์’ ซึ่งปัจจุบัน ‘เคน นครินทร์’ ทำหน้าที่เป็น CEO ของสำนักข่าวออนไลน์อย่าง THE STANDARD และหลังจากที่ Voice TV ประกาศปิดตัว ‘เคน นครินทร์’ ก็ได้มีการออกมาโพสต์ผ่านเพจเฟซบุ๊คตัวเองถึงความทรงจำที่ตนเองเป็นพิธีกรในรายการคิดเล่น-เห็นต่างว่า Voice เป็นสื่อที่เป็นเสียงแห่งความสดใหม่ กล้าคิดต่าง ชวนตั้งคำถาม และเปิดประเด็นสังคมมากมาย รวมถึง ‘คิดเล่น-เห็นต่าง’ ทำให้ผมรู้ตัวว่าเราไม่ได้แค่มีทักษะการเขียน แต่เริ่มที่จะมีทักษะการพูดหน้ากล้องได้ ซึ่งนับว่าเป็นรากฐานที่สำคัญของงาน THE STANDARD และ The Secret Sauce ในวันนี้”

วกกลับมาที่ประเด็นของตัวเนื้อหาของรายการ ‘คิดเล่น-เห็นต่าง’ หากใครสังเกตจะเห็นว่า Head line ที่พาดผ่านปกคลิปจะเป็นประโยคสั้น ๆ สื่อสารง่าย ๆ และโยนคำถามกลับมาที่ผู้ชม เช่น Right to Die สิทธิที่จะตาย เหมาะสมหรือไม่? ตั้งคำถามกับความรุนแรงของพ่อแม่ได้หรือไม่? เป็นต้น ทุกคนจะเห็นว่าประเด็นค่อนข้างสดใหม่ และชวนทุกคนมาล้อมวงคุยถึงประเด็นที่บางทีใกล้ตัวจนเราเองก็อาจจะคาดไม่ถึง ซึ่งบางประเด็นที่ คิดเล่น-เห็นต่าง เปิดไว้ตั้งแต่เมื่อ 12 ปีที่แล้ว บางประเด็นยังคงเป็นข้อถกเถียงในสังคมปัจจุบัน เช่น ประเด็นเครื่องแบบนักเรียนควรมีอยู่หรือยกเลิก เป็นต้น 

หากจะยกตัวอย่างเรื่องประเด็นของรายการให้เห็นภาพขึ้นมาอีกสักนิด เคยมีประเด็นที่ ‘คิดเล่น-เห็นต่าง’ ยกขึ้นมาว่า ความจนหรือใครไม่พร้อมมีลูก? ประเด็นนี้เจาะลงไปได้อีก 2 ประเด็นเพื่อการถกเถียง คือ ลูกไม่มีสิทธิ์ในการเลือกพ่อแม่, ไม่มีสิทธิ์ในการเลือกเกิด และอีกประเด็นคือเรื่อง เราควรมีลูกเมื่อพร้อมจริงหรือ? การมีลูกเมื่อไม่พร้อมคือการผลิตพลเมืองห่วย ๆ ให้ประเทศจริงหรือ? ซึ่งการถกเถียงในรายการทำให้เห็นมิติอื่น ๆ ในรายละเอียดของปัญหามากกว่าการทำให้ทุกเรื่องกลายเป็นแค่ขาวเป็นดำ หรือมีแค่ผิดหรือถูก 

อย่างไรก็ดี การถกเถียงปรากฏการณ์ทางสังคมมักจะไปแตะเรื่องละเอียดอ่อนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทำให้ครั้งหนึ่ง ‘คิดเล่น-เห็นต่าง’ เคยงดออกอากาศ 1 เดือนเต็ม ในเดือนเมษายน-พฤษภาคม ในปี 2555 สาเหตุมาจากการพาดพิงถึงพุทธศาสนาในประเด็น ‘สวดมนต์ข้ามปี’ ทั้งนี้รายการ ‘คิดเล่น-เห็นต่าง’ เป็นหนึ่งในรายการที่อาจจะอยู่ในความทรงจำของใครหลาย ๆ คน โดยหากลองกลับไปเปิดดูย้อนหลังก็จะเห็นว่าบางประเด็นก็ยังคงร่วมสมัยอยู่ และสโลแกนของรายการที่ว่า “คิดเล่นเห็นต่าง รายการที่จะทำให้คุณได้ขบคิด ตั้งคำถาม กับทุก ๆ ปรากฏการณ์ในสังคม” ก็ถือว่าตอบโจทย์คอนเซ็ปต์รายการที่ถูกวางและออกแบบมาตั้งแต่ต้นนั่นเอง 

อ้างอิง