ประวัติศาสตร์เทศกาลกินเจ

เมื่อย่างเข้าสู่ช่วงเดือนเก้าตามปฏิทินจันทรคติของจีน ชุมชนชาวไทยเชื้อสายจีนทั่วประเทศไทย โดยเฉพาะที่ภูเก็ต จะเต็มไปด้วยธงสีเหลืองและบรรยากาศอันเร่าร้อนของ เทศกาลกินเจ หรือ เทศกาลถือศีลกินผัก นี่คือช่วงเวลาแห่งการชำระล้างร่างกายและจิตวิญญาณเป็นเวลาเก้าวันเก้าคืน เพื่อถวายการต้อนรับและสักการบูชา ‘กิ้วอ๋องไต่เต่’  หรือเทพเจ้าจักรพรรดิทั้งเก้าพระองค์

เทศกาลกินเจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้นยิ่งใหญ่และเข้มข้นอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ แม้ว่าความนิยมของเทศกาลนี้จะลดลงในจีนแผ่นดินใหญ่แล้ว แต่สำหรับชาวจีนโพ้นทะเล โดยเฉพาะชาวเพอรานากันในไทย มาเลเซีย และสิงคโปร์ พิธีกรรมนี้กลับกลายเป็นจุดยึดเหนี่ยวทางวัฒนธรรมที่ทรงพลัง นี่คือความน่าสนใจแรกของเรื่องราว กิ้วอ๋องไต่เต่ ที่ถูกมองว่าเป็นทั้งเทพเจ้าแห่งดวงดาวและวีรบุรุษทางประวัติศาสตร์ ที่เชื่อมโยงกับเหตุการณ์สำคัญในยุคราชวงศ์ฮั่นและหมิง เทศกาลถือศีลนี้จึงไม่ใช่แค่การงดเนื้อสัตว์ แต่คือการประกาศอัตลักษณ์ของกลุ่มชนที่ซ่อนความลับทางการเมืองไว้ภายใต้พิธีกรรมทางศาสนา

กิ้วอ๋องไต่เต่
กิ้วอ๋องไต่เต่ ภาพจาก Wikipedia

เทพจากดวงดาว ตำนานแห่งจักรวาล

ในทางคติเต๋าอย่างเป็นทางการ กิ้วอ๋องไต่เต่มีต้นกำเนิดจากสรวงสวรรค์ พวกเขาคือ จิ่วหวงเสิน หรือเทพราชาทั้งเก้าที่กำเนิดจาก เต้าบ้อเต๋งกุน หรือพระแม่แห่งกลุ่มดาวจระเข้ ซึ่งเปรียบเสมือนพระมารดาแห่งดวงดาว และเป็นภาคสตรีของพระเจ้าแห่งสวรรค์ ซึ่งเทพเจ้าทั้งเก้าองค์นี้เป็นตัวแทนของดวงดาวทั้งเก้าในกลุ่มดาวจระเข้ ซึ่งประกอบด้วยดาวที่มองเห็นได้เจ็ดดวง และดาวที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าอีกสองดวง 

พระแม่เต้าบ้อเต๋งกุนยังถือเป็นวิญญาณแห่งสายน้ำอันยิ่งใหญ่ นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมพิธีกรรมสำคัญของการกินเจ ทั้งการต้อนรับและการส่งเสด็จเทพเจ้า จึงต้องกระทำโดยใช้สายน้ำเป็นเส้นทางเชื่อมโยงระหว่างสวรรค์กับโลกมนุษย์ โดยเฉพาะที่ริมชายฝั่งทะเลหรือแหล่งน้ำใหญ่ ในเชิงปรัชญา การเสด็จลงมายังโลกมนุษย์ของเทพเจ้าทั้งเก้าเป็นเวลาเก้าวัน ได้รับการตีความว่าเป็นกลไกในการ “ต่ออายุพลังจักรวาล” หรือการหมุนเวียนพลังหยิน-หยาง เพื่อชำระล้างโลกและเตรียมความพร้อมให้จิตวิญญาณของมนุษย์ (จุลจักรวาล) สอดคล้องกับการเริ่มต้นใหม่ของจักรวาล (มหาจักรวาล)

เจ้าแม่เต้าบ้อเต๋งกุน
เจ้าแม่เต้าบ้อเต๋งกุน ภาพจาก Wikipedia

เทพจากปฐพี รหัสการปฏิวัติยุคราชวงศ์ชิง

แม้ตำนานทางศาสนาจะยิ่งใหญ่เพียงใด แต่ในประวัติศาสตร์การอพยพของชาวจีนโพ้นทะเลสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เทศกาลนี้กลับมีความหมายแฝงที่ซับซ้อนยิ่งกว่านั้นมาก เทศกาลกิ้วอ๋องไต่เต่ถูกใช้เป็นรหัสในการรวมกลุ่มของขบวนการลับที่ต่อต้านราชวงศ์ชิง (แมนจู) และต้องการกอบกู้ราชวงศ์หมิง (ฮั่น) หรือที่เรียกว่า “ปึ่งเช็งฮู่หมิง”

กิ้วอ๋องไต่เต่ถูกเชื่อมโยงกับวีรบุรุษหลายคนในประวัติศาสตร์ หนึ่งในนั้นคือ เจิ้งเฉิงกง วีรบุรุษผู้ต่อต้านชิงและยึดครองไต้หวัน ซึ่งมีหลักฐานร่วมสมัยที่บ่งชี้ว่า “กิ้วอ๋องไต่เต่” อาจเป็นชื่อรหัสที่ใช้เรียกเขา ส่วนอีกตำนานหนึ่งกล่าวถึงการรำลึกถึง หวั่น หยุนหลง ผู้นำที่สำคัญของสมาคมหงเหมิน (อั้งยี่) ในยุคแรก ความเชื่อมโยงที่ชัดเจนที่สุด คือการบูชาของสมาคม เทียนตี้ฮุย หรือกลุ่มอั้งยี่ ซึ่งเป็นกลุ่มลับที่จำเป็นต้องใช้รหัสเฉพาะเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับ พิธีการบูชาในเทศกาลกิ้วอ๋องไต่เต่จึงมักเน้นการสักการะ กระถางธูป เท่านั้น แทนที่จะเป็นรูปปั้นของเทพเจ้า

ตำนานเล่าว่าบรรพบุรุษของสมาคมหงเหมินพบกระถางธูปหินที่มีรหัสลับจารึกไว้ที่ฐานว่า “ห้าสิบสองชั่ง สิบสามตำลึง” ตัวเลขนี้ไม่ใช่หน่วยน้ำหนัก แต่เป็นรหัสลับของ “ห้าทะเลสาบ สองเมืองหลวง (ปักกิ่ง/หนานจิง) และสิบสามมณฑล” ซึ่งหมายถึงขอบเขตอาณาจักรทั้งหมดที่ตั้งใจจะกอบกู้ การที่เทศกาลนี้กำหนดให้ผู้เข้าร่วมต้องถือศีลอย่างเคร่งครัด สวมชุดขาว และละเว้นสิ่งกระตุ้นทุกชนิด เป็นมากกว่าการชำระล้างทางจิตวิญญาณ ในบริบททางการเมืองลับ การยึดมั่นในวินัยอันเข้มงวดเหล่านี้เป็นเหมือน การสาบานแสดงความจงรักภักดี ต่ออุดมการณ์ 

การสวมชุดขาวและการปฏิบัติตามกฎที่ยากลำบาก คือเครื่องแบบที่แสดงถึงความไว้วางใจและความเป็นพวกเดียวกัน ทำให้เทศกาลนี้เป็นสถานที่ที่ปลอดภัยสำหรับการรวมตัวและการยืนยันพันธสัญญาในการต่อต้านการปกครองของราชวงศ์ชิง

เจิ้งเฉิงกง
เจิ้งเฉิงกง ภาพจาก Wikpedia

การกำเนิดของกินเจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ประเพณีที่เรารู้จักกันในปัจจุบันนี้ มีการพัฒนาและฝังรากลึกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ช่วงศตวรรษที่ 19 ศูนย์กลางแรกเริ่มที่เก่าแก่ที่สุดสองแห่งคือ ศาลเจ้ากะทู้ จังหวัดภูเก็ต ประเทศไทย และศาลเจ้า (Dou Mu Gong) ที่ปีนัง ประเทศมาเลเซีย

ตำนานภูเก็ตระบุว่า ในยุคการทำเหมืองดีบุกเมื่อประมาณ 200 ปีที่แล้ว คณะงิ้วชาวจีนได้ล้มป่วยด้วยโรคระบาดร้ายแรง พวกเขาจึงเริ่มถือศีลกินเจเป็นเวลาเก้าวันเก้าคืนเพื่อชำระร่างกายและจิตใจ พร้อมอ้อนวอนต่อกิ้วอ๋องไต่เต่ เมื่อโรคระบาดหายไปอย่างน่าอัศจรรย์ ชุมชนจึงเชื่อในอานุภาพศักดิ์สิทธิ์ และจัดการเทศกาลนี้สืบมาทุกปี

พิธีกรรมที่ขาดไม่ได้คือการยกเสา โกเต็ง ซึ่งเป็นเสาไม้ไผ่สูง ที่ด้านบนแขวนตะเกียงน้ำมันเก้าดวงเป็นสัญลักษณ์แทนเทพเจ้าทั้งเก้าองค์ เสาโกเต็งทำหน้าที่เป็นแกนกลางแห่งโลก ที่กำหนดขอบเขตอันศักดิ์สิทธิ์ให้กับชุมชน เพื่อให้เทพเจ้าสามารถเสด็จลงมาสู่พิธีการได้

เทศกาลกินเจในภูเก็ต
เทศกาลกินเจในภูเก็ต

วินัยแห่งความบริสุทธิ์และข้อปฏิบัติ 9 วัน

การกินเจ คือการเข้าสู่ช่วงเวลาแห่งความบริสุทธิ์ทางกายและใจ ผู้เข้าร่วมจะต้องสวมชุดขาวตลอดเก้าวันเก้าคืน อาหารเจที่แท้จริงไม่เพียงแต่งดเนื้อสัตว์ทุกชนิด (รวมถึงไข่ นม และผลิตภัณฑ์จากสัตว์) แต่ยังรวมถึงกฎการควบคุมรสชาติอย่างเคร่งครัด ผู้ถือศีลจะต้องงดอาหารที่มีรสจัด ไม่ว่าจะเป็น เผ็ดจัด หวานจัด เปรี้ยวจัด หรือเค็มจัด เนื่องจากอาหารรสจัดเชื่อว่าจะไปกระตุ้นต่อมต่าง ๆ ในร่างกาย ทำให้จิตใจไม่สงบ และว่อกแว่กในระหว่างการปฏิบัติธรรม

ที่สำคัญที่สุดคือการงด “ผักฉุนห้าชนิด” ซึ่งได้แก่ กระเทียม หัวหอม ต้นหอม ใบหอม กุ้ยช่าย และหลักเกียว (รวมถึงยาสูบและสิ่งมึนเมา) การละเว้นผักเหล่านี้มีเหตุผลว่ากลิ่นที่แรงจะทำลายพลังธาตุในร่างกาย และกระตุ้นให้เกิดความกำหนัดหรือความวุ่นวายทางอารมณ์ ซึ่งขัดต่อเป้าหมายสูงสุดของการชำระล้างจิตใจให้บริสุทธิ์

วินัยอันเข้มงวดเหล่านี้เป็นเครื่องยืนยันถึงความมุ่งมั่นของผู้ถือศีล การควบคุมการบริโภคที่ทำอย่างเคร่งครัดนี้ แสดงให้เห็นว่าผู้ศรัทธาสามารถควบคุมสภาวะภายในได้ ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่สำคัญยิ่งในการเป็นผู้ศรัทธาที่คู่ควรต่อการรับพรจากเทพเจ้า

คนทรง ผู้สื่อสารกับโลกทิพย์

แกนหลักของพิธีกรรมในประเทศไทยโดยเฉพาะที่ภูเก็ต คือการปรากฏตัวของ ม้าทรง หรือ ตั่งกี่ (Tang Ki) ซึ่งเป็นผู้ที่ถือศีลสัตย์ และทำหน้าที่เป็นคนกลางให้องค์เทพประทับร่าง ม้าทรงเป็นสื่อกลางที่เชื่อมโยงระหว่างโลกมนุษย์กับเทพเจ้าอย่างซับซ้อน 

พิธีกรรมอันน่าตื่นตาตื่นใจที่ม้าทรงแสดงออกมา เช่น การใช้ของมีคมทิ่มแทงร่างกาย การลุยไฟ หรือการไต่บันไดมีด ไม่ใช่เพียงการแสดงอิทธิฤทธิ์ แต่มีบทบาทหน้าที่สำคัญในการ ชำระล้างพื้นที่ชุมชน จากอิทธิพลชั่วร้ายและสิ่งอัปมงคลต่าง ๆ โดยม้าทรงเชื่อกันว่า ดูดซับความเจ็บปวดไว้แทนชุมชน แสดงให้เห็นถึงอำนาจ และความคงกระพันของเทพเจ้าที่เข้ามาประทับร่าง

ม้าทรงในเทศกาลกินเจ
ม้าทรงในเทศกาลกินเจ

การปรากฏตัวของม้าทรงที่พร้อมจะรับความเจ็บปวดในนามของชุมชน เป็นหลักฐานที่มองเห็นได้ว่า ความศรัทธาและการถือศีลของชุมชนได้ประสบความสำเร็จในการอัญเชิญพลังศักดิ์สิทธิ์มาปกปักรักษา ซึ่งสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างความมั่นคงทางจิตใจให้กับกลุ่มคนในฐานะชาวจีนโพ้นทะเล เทศกาลจะสิ้นสุดลงในช่วงเที่ยงคืนของคืนที่เก้าด้วยพิธีกรรมสำคัญ เช่น พิธีข้ามสะพาน โดยผู้ศรัทธาที่ต้องการไถ่บาปจะข้ามสะพานเพื่อชำระล้างสิ่งสกปรกในอดีต และรับการประทับตราสีแดงของกิ้วอ๋องไต่เต่ เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการเริ่มต้นชีวิตใหม่ ตามด้วยพิธี ส่งเสด็จเทพเจ้า กลับสู่สรวงสวรรค์ทางสายน้ำอย่างยิ่งใหญ่

เรื่องราวของกิ้วอ๋องไต่เต่จึงเป็นการผสมผสานของสองมิติ ตำนานจักรวาล (เทพแห่งดวงดาว) และ ประวัติศาสตร์ใต้ดิน (วีรบุรุษผู้กอบกู้ราชวงศ์หมิง) ความยิ่งใหญ่ของเทศกาลกินเจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยืนยันว่า ความศรัทธาไม่ได้มีเพียงมิติเดียว การถือศีลกินเจเก้าวันเก้าคืนไม่เพียงแต่เป็นไปตามคติของเต๋าเพื่อการชำระล้างกายและจิตให้สอดคล้องกับจักรวาลเท่านั้น แต่ยังเป็นการรำลึกถึงจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้และความภักดีของบรรพบุรุษ ที่เคยใช้ศาสนาเป็นเกราะกำบังในการต่อต้านการปกครอง

ทุกครั้งที่ชาวจีนโพ้นทะเลเข้าร่วมเทศกาล สวมชุดขาว และงดอาหารฉุน พวกเขากำลังทำหน้าที่สองอย่างพร้อมกัน นั่นคือการเป็นผู้ศรัทธาที่บริสุทธิ์ และการยืนยันความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ที่ซับซ้อน การที่เทศกาลยังคงอยู่และเข้มข้นขึ้นในปัจจุบัน จึงเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงพลังแห่งวินัยตนเอง และความศรัทธาที่ไม่ยอมแพ้ ซึ่งเชื่อมโยงผู้คนในยุคปัจจุบันเข้ากับความมุ่งมั่นอันเป็นตำนานของบรรพบุรุษอย่างไม่เสื่อมคลาย

อ้างอิง

AUTHOR

ชอบเล่าเรื่องการเมือง ชอบพบเจอผู้คน สนุกกับการพูดคุย ชอบดูการ์ตูน อ่านหนังสือ ที่สำคัญติดบ้าน ติดดิน แต่ไม่ติดลม