หากใครที่ได้เดินทางไปยัง ‘เดอะมอลล์ บางกะปิ’ เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา อาจจะพบกับร้านค้าใหม่ที่ไม่คุ้นตา ขนาดกว้างขวาง และเนืองแน่นไปด้วยผู้คนทุกเชลฟ์สินค้า จนอดไม่ได้ที่จะต้องเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของที่นั่น ร้านค้าปลีกที่ตกแต่งสไตล์ตู้คอนเทนเนอร์สุดเท่ในชื่อ ‘KKV’ ที่แค่ชื่อก็ดูไม่คุ้นเคยแล้ว นั่นเป็นเพราะว่าร้านค้าปลีกแห่งนี้ที่เพิ่งเปิดใหม่เมื่อวันที่ 31 ตุลาคมที่ผ่านมา คือสาขา Flagship Store แรกจากจีนแผ่นดินใหญ่ที่เข้ามาตีตลาดในไทย วันนี้ SUM UP จะพาไปรู้จักกับร้านค้าปลีกนี้ให้มากขึ้นกัน

‘KKV’ คือหนึ่งแบรนด์ร้านค้าปลีกภายในเครือของ ‘KK Group’ องค์กร Start up ค้าปลีก ที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2015 ในมณฑลเหอเป่ย ประเทศจีน ตั้งต้นจากการเป็นบริษัทขายสินค้าออนไลน์ในชื่อ ‘Guangdong KK E.commerce Co., Ltd.’ ก่อนจะขยับขยายมาเปิดร้านค้าจริงผ่านหลายแบรนด์ที่มีทิศทางแตกต่างกันออกไป ไล่เรียงจากการเปิดตัวแบรนด์แรกในปีนั้น อย่าง ‘KK guan’ ร้านมินิมาร์ทที่ขายสินค้าแนวไลฟ์สไตล์ อย่างขนมขบเคี้ยวนำเข้า สินค้าความสวยความงาม และสินค้าดูแลร่างกายส่วนบุคคล เน้นนำเสนอตัวตนผ่านสีขาวที่เรียบง่าย และแสงสว่างที่โอบล้อมทุกพื้นที่ให้ดูอบอุ่นและนวลตา ไม่เป็นแสงแข็งทื่อแบบหลอดไฟนีออนทั่วไป

ถัดมาในปี 2019 ทางบริษัทเลยเปิดแบรนด์ร้านค้าใหม่ในแนวทางใกล้เคียงกัน แต่ใหญ่กว่าเดิมราว 2-3 เท่า ในชื่อ ‘KKV’ ร้านค้าปลีกที่เน้นสินค้าไลฟ์สไตล์ทั่วไป ทั้งของกิน ของใช้ ของเล่น เครื่องสำอาง และสินค้ากิฟต์ช็อป ที่เน้นนำเสนอตัวตนด้วยสีเหลืองสดและรูปแบบการแต่งร้านเหมือนการขนส่งสินค้าผ่านทางเรือบนตู้คอนเทนเนอร์

ปีเดียวกัน KK Group ก็เปิดร้านใหม่ชื่อว่า ‘The Colorist’ ร้านค้าปลีกที่เน้นสินค้าความสวยความงาม เน้นการนำเสนอตัวตนด้วยเฉดสีชมพูอ่อนและสีขาว เน้นความ Minimal และทันสมัย เหมาะสำหรับหนุ่มสาวยุคใหม่ที่ต้องการร้านขายสินค้าความสวยความงามแบบเบา ๆ ไม่ฉูดฉาด

ถัดมาช่วงเดือนมกราคม 2020 KK Group จึงเปิดธุรกิจใหม่ต้อนรับปีใหม่ อย่าง ‘X11’ ร้านค้าปลีกที่ขายสินค้าด้าน Pop culture เป็นหลัก เน้นการนำเสนอตัวตนด้วยสีดำขลับและวัสดุภายในร้านจำพวกอะลูมิเนียม พร้อมด้วยป้ายไฟ LED ที่ดูโฉบเฉี่ยว เท่ และล้ำสมัยราวกับว่ากำลังยืนอยู่ในฉากภาพยนตร์ไซไฟล้ำยุค ซึ่งนอกจากร้านค้าเหล่านี้แล้ว ก็ยังมีแบรนด์อื่น ๆ อีกมากที่อยู่ในเครือของ KK Group เช่นเดียวกัน

โดยจุดเด่นทางธุรกิจของ KK Group คือการขยายตัวของธุรกิจแบบก้าวกระโดดในระยะเวลาเพียง 5 ปี จากความหลากหลายของสินค้า และราคาที่จับต้องได้ ทำให้ในปี 2020 KK Group ได้รับการจัดอันดับให้เป็น ‘ยูนิคอร์นม้ามืด’ ของประเทศจีน และจากการนับรวมจำนวนสาขาของร้านค้าทุกแบรนด์ในเครือเมื่อปีที่ผ่านมา ปรากฏว่ามีสาขารวมกันราว 800 กว่าสาขา ในเมืองสำคัญ ๆ 200 เมือง ใน 31 มณฑลทั่วประเทศจีนได้อย่างเต็มภาคภูมิ ไม่ว่าจะในมณฑลปักกิ่ง เซินเจิ้น หางโจว เฉิงตู หรือฉงชิ่ง และร้านเรือธงอย่าง KKV ก็ขยายสาขาออกสู่ต่างประเทศที่อินโดนีเซียในปี 2020 ที่เซ็นทรัลพาร์ค ซึ่งเป็น 1 ใน 4 ศูนย์การค้าชื่อดังในอินโดนีเซีย และได้รับกระแสตอบรับเป็นอย่างดี โดยขณะนี้ก็ได้ขยายสาขาเข้าสู่ประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อยจากการเริ่มเปิดร้าน Flagship Store ที่เดอะมอลล์ บางกะปิเมื่อช่วงวันฮาโลวีนที่ผ่านมา
เหตุผลหลัก ๆ ของความสำเร็จในธุรกิจเครือ KK Group ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามาจากด้านภาพลักษณ์การตกแต่งร้านที่เชิญชวนให้เดินเข้าไป และการจัดวาง Display ในร้านได้อย่างเรียบร้อย อีกทั้งแนวคิดต้นทางของ KK Group เองที่อยากผสมผสานรูปแบบร้านค้าปลีกแบบเดิม ๆ ให้เต็มไปด้วยสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์ ผ่านความคิดสร้างสรรค์บนความทันสมัย เพื่อมอบประสบการณ์การช็อปปิ้งที่ทำให้ลูกค้าได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศระหว่างเดินดูของในร้าน
ดูได้อย่างร้าน KKV ที่ขายสินค้าหลากหลายถึง 11 หมวดหมู่ ทั้งของใช้ในชีวิตประจำวัน ของใช้ในบ้าน ตุ๊กตา ของเล่น เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว เครื่องมือแต่งหน้า เครื่องเขียน เสื้อผ้าและ Accessories อาหาร และมาสก์ดูแลผิวหน้า ที่กระจายตัวอยู่ในพื้นที่ขนาด 300 – 3,500 ตารางเมตรของร้าน KKV มีทั้งแบรนด์นำเข้าและแบรนด์ท้องถิ่นตามพื้นที่นั้น ๆ โดยเน้นกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่เป็นหลัก ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายที่สร้างเม็ดเงินให้กับร้านค้าปลีกนี้ทั้ง 360 สาขาในประเทศต้นทาง จน KK Group มั่้นใจได้เลยว่าจะทำเงินในต่างประเทศได้แน่นอน
ซึ่งสำหรับผู้เขียนเองที่มีโอกาสได้ไปเดินดูมาคร่าว ๆ แล้ว ถือว่ารูปแบบร้านมีความน่าสนใจ สไตล์จะเหมือนกันกับร้าน Daiso, Miniso, Moshi Moshi อะไรทำนองนั้น โดยมีข้อได้เปรียบในเรื่องของสินค้าที่หลากหลายกว่าอย่างเห็นได้ชัด เพราะร้านค้าปลีกสายไลฟ์สไตล์เจ้าตลาดทั้งสามชื่อที่กล่าวมา ไม่ได้มีสินค้าประเภทอาหารมากเท่าร้านนี้แน่ ๆ รวมถึงการจัดตกแต่งร้านในธีมที่ KKV นิยามว่าเป็นแนว ‘Super Cargo Ship’ ก็ทำให้ความรู้สึกที่ได้เดินแตกต่างออกไป
ส่วนในเรื่องของสินค้าก็มีความ Minimal เรียบง่ายและน่ารักตามประสา ซึ่งก็มีทั้งสินค้านำเข้าจากจีน และสินค้าของไทยเองด้วย รวมถึงการจัดตกแต่งร้านในหลาย ๆ โซน ทำออกมาได้เป็นอย่างดี เรียกว่าสาย Instagramable ต้องใจละลายเมื่อเข้าร้านนี้อย่างแน่นอน
เรียกได้ว่าเป็นการเปิดตัวธุรกิจใหม่ที่ไปได้ดี แต่ถึงกระนั้นก็ต้องไม่ลืมว่านี่คืออีกแบรนด์จากจีนแผ่นดินใหญ่ที่เข้ามาตีตลาดในประเทศไทย และในไม่ช้าแบรนด์นี้ก็น่าจะตีตลาดไปทั่วย่านการค้าสำคัญ ๆ เพื่อดึงเงินในกระเป๋าเราให้กับสินค้าน่ารัก ๆ เหล่านั้นเป็นแน่
อ้างอิง
- https://thaibizchina.com/article/kk-group_20200201/
- https://www.thaifranchisecenter.com/document/show.php?docuID=8554
- https://www.kkgroup.cn/kkv
- https://www.ourcrowd.com/startup/kk-group