แชมป์-ทีปกร วุฒิพิทยามงคล

‘แชมป์ ทีปกร วุฒิพิทยามงคล’ ไอดอลทางความคิดของใครหลาย ๆ คน ที่เป็นทั้งนักเขียน นักแปล และดำรงตำแหน่ง Deputy Managing Director รองกรรมการบริษัท BrandThink จำกัด ทำงานเกี่ยวกับด้าน Creative production และภาพยนตร์ นอกจากงานหลัก ๆ ที่ทำแล้ว ‘แชมป์ ทีปกร’ เป็นอีกคนหนึ่งที่สนใจเรื่องราวเกี่ยวกับ Ai รวมไปถึงเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่สำคัญคือได้ทดลองใช้ด้วยตัวเองและรีวิวแบ่งปันความรู้ ข้อดี ข้อเสียให้กับผู้ติดตามได้ประโยชน์ต่ออีกมากมาย

วันนี้ทีม SUM UP ชวน ‘แชมป์ ทีปกร’ พูดคุยกันถึงเรื่องราวของเทคโนโลยี AI, ความมีอยู่ของ “หนังสือเล่มกระดาษ” ในยุคที่ทุกสื่อย้ายตัวเองไปอยู่บนโซเชียลมีเดียทั้งหมด รวมไปถึงเรื่องราวแนวคิด การใช้ชีวิตแบบสบาย ๆ วิธีรับมือกับความท้าทายมากมายที่เข้ามาพร้อมกับการเติบโตตามวันและวัย 

สุดท้ายกับงานใหญ่แห่งปีแบบหลอน ๆ ในงานมหกรรมหนังสือระดับชาติครั้งที่ 29 ที่กำลังเกิดขึ้นตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงวันที่ 20 ตุลาคม 2567 ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ในส่วนของ Exhibition กับธีม “อ่านกันยันโลกหน้า” ที่ออกแบบโดย BrandThink 

EXTEEN BLOG ความทรงจำของวัยรุ่นยุค 90’s

ชาว Gen Y ที่ได้อ่านบทสัมภาษณ์นี้ ทุกคนต้องรู้จักเว็บบล๊อกที่ชื่อว่า EXTEEN เป็นอย่างดี แทบจะเรียกได้เลยว่าการเขียนบล๊อกลง EXTEEN ในเวลานั้นเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันกันไปแล้ว เลิกเรียนปุ๊บอยู่ร้านเน็ตปั๊บ มองไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์อ้วน ๆ แต่ละคนกำลังนั่งใส่โค้ด ใส่เพลงแต่งบล๊อกของตัวเองกันอย่างเว่อร์วังอลังการ จะเรียกได้ว่า EXTEEN เป็นสังคมออนไลน์อันดับหนึ่งในเวลานั้น…ก็ไม่เกินจริง 

วันนี้เราพาทุกคนมาพูดคุยกับ ‘แชมป์ ทีปกร วุฒิพิทยามงคล’ ผู้ก่อตั้ง EXTEEN.COM ถึงแม้กาลเวลาจะผ่านมาถึง 20 ปีแล้ว แต่กลิ่นของความทรงจำในใจของผู้คนยังครุกรุ่นอยู่เสมอ ทุกวันนี้ถ้าชาวพันทิปมีการตั้งกระทู้ชวนคุยถึงเรื่องราวความคลาสสิคในยุคนั้น ๆ ชื่อของ  EXTEEN มักถูกนำมาเล่าให้บรรดาสมาชิกได้แลกเปลี่ยนและทรงจำอยู่เสมอ

“ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้ว ช่วงที่ผมก่อตั้ง EXTEEN ตอนนั้นเรียนอยู่ปี 2 คณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์”

“ผมมีความชื่นชอบในการทำเว็บไซต์อยู่แล้ว ในเวลานั้นต่างประเทศมีเว็บแพลตฟอร์ม มีบล็อกต่าง ๆ เช่น Blocksport WordPress แต่ว่าของคนไทยยังไม่มี 

เรารู้สึกว่าบล็อกคือการแสดงตัวตน แสดงความคิดสร้างสรรค์ คล้ายกับการเขียนคอลัมน์ ที่ใคร ๆ ก็เขียนได้ เลยคิดอยากให้มีพื้นที่หนึ่ง ให้ใคร ๆ มาแบ่งปันเรื่องราวของตัวเอง เลยเกิดเป็นเว็บไซต์ EXTEEN ขึ้นมา ตอนนั้นไม่ได้เลยคิดว่าจะมีคนเข้ามาใช้เยอะขนาดนั้น น่าจะเป็นการตอบโจทย์ของผู้ใช้และยุคสมัยนั้นได้พอดี ตอนนั้น EXTEEN น่าจะเป็นเว็บไซต์ที่มีผู้เข้าชมติดอันดับ Top 10 ของประเทศไทย ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับการมาของ Facebook แต่ Facebook ยังไม่เป็นที่นิยมในประเทศไทย”

แชมป์-ทีปกร วุฒิพิทยามงคล

“สิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเราก็คือในเรื่องของความรับผิดชอบเพราะว่าเราต้องจัดการสมาชิกให้อยู่กันอย่างสงบสุข หรือได้รับการสนับสนุนไปในทิศทางที่เหมาะสม และเรารู้สึกว่าเราจะต้องเติบโตขึ้นในเรื่องของเชิงธุรกิจ เริ่มมีการหารายได้ หา sponser เข้ามาสนับสนุน และอีกเรื่องคือการจัดสรรเวลาของตัวเอง ทั้งในแง่ของการเรียนและการทำงาน ซึ่งทั้งหมดก็เป็นความยินดี แต่ก็เป็นความกดดันไปด้วยพร้อม ๆ กัน

EXTEEN ไม่ได้เป็นแค่เว็บบล็อกที่ให้บริการแค่เขียนเรื่องราวต่าง ๆ แต่ว่ายังอยู่ในฐานะชุมชนด้วยที่ผู้ใช้สามารถมีปฏิสัมพันธ์กันในชีวิตจริงได้ สิ่งหนึ่งที่เป็นที่จดจำมาก ๆ คือในโอกาสพิเศษต่าง ๆ เช่น ลอยกระทง สงกรานต์ EXTEEN จะมีกิจกรรมบนเว็บไซต์ เช่น สมมติว่าวันเด็กจะมีรูปการ์ตูนเด็กน้อยปรากฏในเว็บไซต์เพื่อให้คนคลิกเข้ามาแล้วตอบคำถาม คนที่ตอบคำถามได้เยอะก็จะมี Leader Board ได้แต้มคะแนนเอาไปแลกของรางวัล การที่ทุกคนเข้าร่วมทำกิจกรรมไปพร้อมกันในกฎกติกาที่สนุกสนานเป็นสิ่งหนึ่งที่หลายคนจำได้กับเว็บไซต์ EXTEEN”

เราถามแชมป์ต่อว่าถ้ามีโอกาสจะกลับไปพัฒนา EXTEEN เพื่อให้กลับมาในวันนี้อีกมั้ย 

“ไม่เลยครับ ไม่อยากเลย”

“รู้สึกว่ามันจบ Fade นั้นไปแล้ว ทุกวันนี้ทุกคนมีพื้นที่แสดงออกมากมาย ผมคิดว่าการกลับไปรื้อฟื้น Exteen อาจจะไม่ได้เป็นผลบวกมาก อาจจะดีสำหรับคนบางคน แต่สำหรับผมเองไม่ได้เป็นสิ่งต้น ๆ ที่อยากจะทำ จริง ๆ ถือว่าประสบความสำเร็จมากไปแล้ว ณ เวลานั้น”

หนังสือเล่มกระดาษในยุค 2024 : คุณค่าของการเสพ Content

“การทำหนังสือ Benchmark ของการวัดความสำเร็จในเชิงการเขียนของหลายคน คือ การได้ตีพิมพ์หนังสือ อย่างเช่น คนเขียนบล็อกในเว็บ EXTEEN หรือเว็บอะไรก็แล้วแต่ พอมีสำนักพิมพ์ติดต่อเพื่อได้รับการตีพิมพ์ก็จะรู้สึกว่าตัวเองประสบความสำเร็จในเรื่องนั้น เพราะการที่ผลงานของเราอยู่ในโลกดิจิทัลกลายเป็นหนังสือเป็นเล่ม จับต้องได้ หลาย ๆ คนจะถือว่า ฉันโอเคแล้ว ฉันประสบความสำเร็จแล้ว

แต่ทุกวันนี้ผมไม่ได้คิดว่าหนังสือเป็นสิ่งที่วิเศษไปกว่าสื่ออื่น แน่นอนว่าฟอร์มของหนังสืออาจจะบังคับให้เราต้องใช้เวลาเพราะต้องอ่าน ต้องใช้สมาธิกับการอ่าน หรือว่าเป็นสิ่งที่จับต้องได้ ซึ่งหนังสือมีคุณค่าในตัวของมันอยู่ แต่ว่าในแง่เดียวกัน หรือในขณะเดียวกันสื่ออื่น ๆ อย่างเช่น ภาพยนตร์ คลิป YouTube Shorts TikTok หรือโพสต์ Facebook ผมคิดว่าแต่ละสื่อมีฟังก์ชันและฟอร์มที่แตกต่างกันไป ซึ่งทำให้เกิดคุณค่าหรือ Value ที่แตกต่างกันไป”

แชมป์-ทีปกร วุฒิพิทยามงคล

“ดังนั้น ผมจึงไม่ได้คิดว่าหนังสือดีกว่าหรือไม่ดีกว่า แต่ว่าทุก ๆ สื่อมีธรรมชาติเป็นคุณลักษณะที่ถูกบังคับด้วยฟอร์ม สมมติว่าโพสต์บน Facebook ถ้าเป็นโพสต์สั้นคนอาจจะเยอะกว่าเป็นโพสต์ยาว แต่ว่าทั้งหมดจะไปกำหนดว่าสุดท้ายว่าเรื่องราวเหล่านั้นจะไปสู่ใคร แล้วคนต่าง ๆ ที่ได้รับสารนั้นมันจะ Take อย่างไร ซึ่งทั้งหมดสัมพันธ์กันหมด เลยรู้สึกว่าสนุกดีที่ทุกวันนี้เห็นว่ามีสื่อต่าง ๆ ให้เรา ถ้าเราอยากทำ Shorts เราทำได้เลย ถ้าเราอยากทำวิดีโอเราทำได้เลย ถ้าเราอยากเขียนโพสต์ Facebook เขียนได้เลย ถ้าอยากวาดการ์ตูนก็วาดได้เลย แล้วหลาย ๆ คนทำทุกอย่างไปพร้อมกันด้วยซ้ำ คิดว่าสนุกดีที่สื่อมีความลื่นไหล”

ในมุมของ BrandThink มีแพลนการทำหนังสือด้วยมั้ย?

“BrandThink มีความสนใจในการทำหนังสือหรือเปล่า???”

“เราเรียกว่าเป็น End To End Creative หรือภาพที่เป็น Brand Partnership ที่เราร่วมกับแบรนด์ต่าง ๆ สร้างสรรค์ผลงาน สร้างสรรค์แคมเปญ สร้างสรรค์ Always on เขาทำได้หลากหลายมาก ตั้งแต่หนังโฆษณาไปจนถึงหนังสือ Print Media ไปจนถึง Exibition หรือว่าเทศกาล จะเรียกก็ได้ว่าเราอยู่ในการทำหนังสืออยู่แล้ว อาจจะไม่ได้ออกในนามของ BrandThink แต่ออกในนามลูกค้า ในนามของคนที่มาร่วมงานกับเรา ซึ่งที่ผ่านมามีอยู่หลายเล่ม 

ถ้าบอกว่า BrandThink จะทำหนังสือด้วยหรือเปล่า คิดว่าขึ้นอยู่กับเป้าหมายในช่วงนั้นว่า วันนั้นเรารู้สึกว่าหนังสือเป็นฟอร์มที่จำเป็น หรือฟอร์มที่ตอบโจทย์ของเราได้ดีที่สุดในจังหวะนั้นหรือไม่”

แชมป์-ทีปกร วุฒิพิทยามงคล

“ถ้าวันหนึ่งเราจะสื่อสารไปยังคนอีกกลุ่มหนึ่งที่เป็นนักอ่าน วิธีไหนจะสื่อสารไปถึงเขาได้ดีที่สุด ในฐานะ BrandThink ก็คือการทำหนังสือ แน่นอนว่าเราคงจะเลือกทำครับ เราเป็นองค์กรที่ยึดมั่นในคำว่า Creative Synergy คือการหลอมรวมกัน ดังนั้น เราไม่ได้ยึดติดกับฟอร์มคล้าย ๆ ที่ผมเพิ่งบอกไปว่า เราทำตั้งแต่ภาพยนตร์ที่มีความยาว 2 ชั่วโมงไปจนถึงคลิปความยาว 5 วินาที ไปจนถึงนิทรรศการ ไปจนถึงทุกอย่างกระทั่งเชฟ หรือการทำอาหาร ให้เชฟมาเล่าเรื่องต่าง ๆ กับผู้รับประทานเราก็ทำ เรารู้สึกว่าทุกอย่างเป็น Creative ได้หมด เป็น Content ได้หมด แล้วเราไม่ได้จำกัดตัวเองว่าเราเป็นแค่ออนไลน์หรือออฟไลน์”

“อ่านกันยันโลกหน้า” งานมหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ 29 

“สำหรับงานมหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ 29 จัดขึ้นที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เป็นความยินดีของผมมาก ๆ ครับ”
“เราได้รับการติดต่อจากสมาคมผู้จัดพิมพ์ฯ ให้ไปร่วม Pitch งาน คือ งานนิทรรศการที่จะจัดขึ้นในงานมหกรรมหนังสือฯ ในปีนี้มีธีมที่ชื่อว่า “อ่านกันยันโลกหน้า” เป็นธีมที่เกี่ยวกับผี โดยมีผีกระสือเป็นตัวหลัก”

งานมหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ 29

“เขาก็มาบอกว่า BrandThink น่าจะมีมุมมองใหม่ในการจัดนิทรรศการตรงนี้ที่ทำให้เชื่อมระหว่างความเชื่อเรื่องผี หนังสือ และผู้ชมเข้าด้วยกัน เราได้รับโจทย์ตรงนี้มา เลยได้ไปจัด ต้องบอกว่าเป็นงานที่สนุกมากครับ ในตัวงานเราตีความว่า “ผีกระสือบินได้” ดังนั้นจะเป็นยังไงนะ ถ้าผีกระสือมาทำสายการบิน เลยตีความเป็นกระสือแอร์ไลน์ ซึ่งเป็นงานที่ทีม Creative ในบ้าน BrandThink สนุกกันมากในการตีโจทย์ตรงนี้”

แชมป์-ทีปกร วุฒิพิทยามงคล

“การจัดงานนิทรรศการตรงนี้ ต้องตอบโจทย์หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นในแง่ธีมของงาน ในแง่ของ

การสนับสนุนวงการหนังสือไทย ซึ่งเรา Pick Up ตัวไอเดียที่ว่าเราอยากสัมภาษณ์นักเขียน 30 คนในรุ่นต่าง ๆ ว่ามีหนังสืออะไรที่เขาจะพกไปอ่านกันยันโลกหน้าบ้าง ให้เขาแนะนำหนังสือ แล้วมีอีกส่วนอย่างเช่น โครงการคัดเลือกหนังสือที่มีการออกแบบปกโดดเด่นสวยงาม ประจำปี 2567 (100ABCD 2024) คือหนังสือที่ออกแบบปกสวยซึ่งผ่านการตัดสินจากคณะกรรมการของ Pubat 

ในส่วนตรงนี้ก็มีการจัดเรียงและดีไซน์ให้เชื่อมกับสายการบินกระสือแอร์ไลน์ที่เราได้ออกแบบไว้ จะเป็นอย่างไรต้องฝากกันไปติดตาม”

แชมป์-ทีปกร วุฒิพิทยามงคล

โลกที่หมุนเท่าเดิมแต่ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีไวกว่าเดิม

“ตอนนี้ผมอายุ 39 ปีแล้ว ย้อนกลับไปตอนเด็ก คือ ไม่มีอินเทอร์เน็ต เพิ่งจะมีในช่วงมัธยมต้น ซึ่งตอนนั้นเป็นอินเทอร์เน็ตแบบ Dial Up พวก Modem 56k ซึ่งสมัยนี้ไม่มีใครรู้จักกันแล้ว ดังนั้น ผมจะอยู่ในคลื่นของช่วงแรกที่อินเทอร์เน็ตเข้ามาในประเทศไทย เป็นคนทำเว็บยุคแรก ๆ หลังจากนั้นก็เป็นคนใช้  Social ยุคแรกซึ่งสมัยก่อนคนจะใช้ Social Media น้อยมาก คนที่ใช้ Social Media เหมือนคนในหมู่บ้าน แทบจะรู้จักกันทั้งหมดด้วยซ้ำ

มาถึงทุกวันนี้ เรียกว่าแทบทุกคนใช้ Social Media กันแล้ว เราเห็นความเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง ในเรื่องของวัฒนธรรม เรื่องของนโยบาย เรื่องของข่าวสาร ทุกเรื่องที่โซเชียลมีเดียมีผลกับสังคมไทย ทุกมิติสังคมโลกด้วยซ้ำ”

แชมป์-ทีปกร วุฒิพิทยามงคล

“ใครจะไปคิดว่าในวันหนึ่งการหาเสียงของพรรคหนึ่งต้องใช้โซเชียลมีเดียเป็นแกนสำคัญในเรื่องของกลยุทธ์ ใครจะไปคิดว่าวันหนึ่ง สื่อโฆษณาทั้งหมดจะมาทุ่มกับโซเชียลมีเดียเป็นองค์ประกอบสำคัญมาก” 

“เราได้เห็นในทุกคลื่นของความเปลี่ยนแปลง มีทั้งคนที่ปรับตัวได้ มีทั้งคนที่ปรับตัวไม่ได้ หรือกระทั่งว่าปรับตัวไม่ได้ ไปไม่ได้แปลว่าแพ้ ปรับตัวไม่ได้แปลว่าอาจจะยังคงรักษาคุณค่าในแบบเดิม ๆ ไว้ ซึ่งเขาก็จะไปหาที่ทางชนะในเวทีหนึ่ง ไปเหมาะสมกับเวทีแบบหนึ่ง ไปเหมาะสมกับผู้รักษาแบบหนึ่ง ผมคิดว่าในทุก ๆ เรื่องขึ้นอยู่กับเราว่าจะเลือกแบบไหน

ถ้าเราบอกว่าเราเปิดรับ เราอยากไปกับคลื่นความเปลี่ยนแปลงนี้แน่นอน เราก็ไปกับมัน ไปแล้วอาจจะมีข้อดี คือ ไปพบเจอคน ไปพบเจอวิธีใหม่ ๆ พบเจอคนใหม่ ๆ แล้วมีข้อเสีย ไปแล้วมีความว้าวุ่นใจใหม่ ๆ เป็นสิ่งที่ต้องแลกกัน เป็น Trade off ซึ่งกันและกัน”

แชมป์-ทีปกร วุฒิพิทยามงคล

AI ยังไม่มีหัวใจ แต่มีตำแหน่งแห่งที่และเป็นเครื่องมือของมนุษย์

“ผมแปลหนังสือเกี่ยวกับเรื่องปัญญาประดิษฐ์เยอะมาก เมื่อก่อนเขียนคอลัมน์เกี่ยวกับเทคโนโลยีทั้งหลายซึ่งก็จับตามองเรื่องของ AI มาโดยตลอด”

“สิ่งที่คนตื่นกลัว หรือว่าตื่นเต้นกันมากในช่วง 2-3 ปีนี้คือ AI แขนงหนึ่งที่เรียกว่า Generative AI หรือ AI ที่สามารถสร้างอะไรใหม่ ๆ ได้ อย่างเช่น วาดภาพได้ เขียนข้อความได้ เขียนข่าวได้ เขียนนั่น เขียนนี่ได้เสมือนจริง อาจจะไม่จริงทั้งหมด และคนก็จะเกิดคำถามในใจว่า 

“แล้วจะมาแทนที่เราหรือเปล่า???”
บางคนจะตอบว่า “มันจะมาแทนที่ แล้วคนจะตกงานจำนวนมาก” เพราะว่าการเข้ามาแทนที่ของ AI เป็นการเข้ามาแทนที่ในปราการสุดท้ายของมนุษย์ซึ่งก็คือเรื่องของสมองว่า เมื่อก่อนอาจจะบอกว่าเครื่องจักรมาแทนที่มนุษย์ ในเรื่องของแรงงานมือ อย่างเช่นเครื่องจักรช่วยทอผ้า ช่วยประกอบรถยนต์ แต่ว่ามนุษย์ก็เขยิบไปทำอย่างอื่นแทน คือขยับไปเป็นธุรกิจ หรือกิจกรรมที่เกี่ยวกับสมองและความคิดมากขึ้น”

แชมป์-ทีปกร วุฒิพิทยามงคล

“แต่พอบอกว่ามาถึงสมองแล้ว ต่อไปมนุษย์ต้องเคลื่อนย้ายไปตรงไหนกันแน่ บางคนอาจจะบอกว่าไม่มีที่ไปแล้ว แต่บางคนจะบอกว่าคนเรามีที่ไปเสมอ ถามว่าผมเชื่อแบบไหน ผมเชื่อแบบที่สอง คิดว่าสุดท้ายจะมีทางไป แต่ว่าวันนี้เราอาจจะยังมองไม่ออกว่าคืออะไร 

ผมคิดว่าเมื่อ AI เข้ามามีบทบาทมาก ๆ ในสังคม สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ เราอาจจะไม่รู้แล้วว่าอะไรคือความจริงหรือไม่จริง สิ่งที่จริงอาจจะบอกว่าเป็นสิ่งที่ไม่จริงได้เพราะว่ามี AI สร้างขึ้นมาหรือเปล่า สิ่งที่ไม่จริงเป็นสิ่งที่จริงก็ได้เพราะว่า AI สร้างขึ้นมาสมจริงมาก หนึ่งคือความจริง ความไม่จริงจะหายไป

สิ่งที่สำคัญมาก คือ หนึ่ง เรื่องของความเชื่อใจ เรื่องของ Trust จะมีจะมีคุณค่าสูงขึ้น สอง คือ เรื่อง Physical Relationship จะมีคุณค่าสูงขึ้น เพราะว่ามนุษย์สามารถ Connect กันได้อย่างล้นเกินผ่านทางโซเชียลมีเดีย ผ่านทาง AI การติดต่อสื่อสารการเชื่อมปฏิสัมพันธ์กันในโลกจึงจะมีคุณภาพสูงขึ้น

สาม ผมคิดว่าตัวต้นตอของความคิดสร้างสรรค์จะมีคุณค่าสูงขึ้น ลองคิดภาพว่าเมื่อคอนเทนต์ปลายทางเป็นสิ่งที่สามารถผลิตออกมาได้อย่างง่ายดายผ่านทาง AI  การย้อนกลับไปหาแก่นของความคิด เป็นสิ่งที่ทุกคนให้ค่ามากขึ้น เพราะว่าถ้าคอนเทนต์ปลายทางมีใครทำได้หมด ถ้าต้นทางทำให้เราแตกต่างจากคนอื่น ตรงนั้นที่จะเป็นสิ่งที่คนเริ่มมองหา เริ่มให้ความสำคัญ

ปลายทางบอกว่าคุณลองเขียนแบบฟอร์มแบบนี้ เราจะ Generate AI ขึ้นมาแป๊บเดียวก็ทำได้ใช่ไหมครับ แต่สิ่งที่แตกต่าง คือ ต้นตอนที่เป็นคุณค่าของมนุษย์จริง ๆ ตรงนี้จะเริ่มทวีความสำคัญมากขึ้น ผมคิดว่าสิ่งที่ทวีความสำคัญมากขึ้นในสามแกนเป็นแกนที่เป็นมนุษย์ทั้งนั้น 

หนึ่ง เรื่องของความเชื่อใจ 
สอง คือเรื่องของความสัมพันธ์ 
สาม คือเรื่องของความคิดสร้างสรรค์ต้นทางความคิดสร้างสรรค์

ผมคิดว่าตัว AI ที่เป็น Generative AI มีปัญหาในตัวเองอยู่หลายจุด เช่น เรื่องของกฎหมายลิขสิทธิ์ข้อมูลที่เอามาเทรนด์ถูกต้องหรือไม่ มีการแบ่งปันผลประโยชน์กลับไปที่ผู้ที่ดึงข้อมูลมาอย่างสมเหตุสมผลหรือไม่อย่างไร อันนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ

อีกด้านหนึ่ง เราต้องตั้งคำถามเหมือนกันว่าแล้วผู้เสพสื่อต่าง ๆ ให้ความสำคัญกับอะไรบ้าง เขาให้ความสำคัญกับความเป็นจริงของมนุษย์ไหม หรือเขาให้ความสำคัญกับอะไรก็ได้ สร้างมาจากไหนก็ได้ ซึ่งเป็นเรื่องของตลาดที่ต้องเป็นกลไกที่ต้องตัดสินใจ แต่ไม่ได้บอกว่ากลไกตลาดตัดสินใจ 100% นะ เพราะอย่างที่บอกไปว่า ตัว AI เองมันก็มีเซตของปัญหาเหมือนกันที่อาจจะต้องใช้กลไกอื่นเข้ามา Regulate”

คนทำหนังสือกับการก่อตั้งสำนักพิมพ์

“นอกจากเป็นผู้บริหาร BrandThink อีกสิ่งหนึ่งที่ทำอยู่ตอนนี้ คือเป็นผู้ก่อตั้งสำนักพิมพ์ SALT Publishing ซึ่งก่อตั้งมาหลายปีแล้ว ก่อนที่ผมจะไปทำงานที่ Netflix เป็นสำนักพิมพ์ที่ตีพิมพ์หนังสือใน 3 แนวหลัก ๆ วิทยาศาสตร์ ปรัชญา เทคโนโลยี ก่อตั้งร่วมกับพี่ยุ้ย สฤณี อาชวานันทกุล และพี่หนุ่ม โตมร ศุขปรีชา และผู้ก่อตั้งท่านอื่น ๆ อีกสามราย เป็นสำนักพิมพ์ที่เราตั้งใจว่าอยากหยิบหนังสือ 3 ด้านที่บอกไปมาเผยแพร่ในประเทศไทย ที่ผ่านมาเราตีพิมพ์หนังสือไปประมาณ 50 กว่าปกได้

เป็นงานที่สนุกและท้าทายไปพร้อมกัน เพราะอย่างที่รู้ หนังสือในบางประเภทคนอ่านลดลง หนังสือบางประเภทคนอ่านเพิ่มมากขึ้น แต่ว่าในด้านที่เราทำคนอาจจะลดลง เป็นความท้าทายว่าเราจะทำอย่างไรให้คนรู้สึกสนใจหรือว่ามีโจทย์ในการเลือกหนังสือต่อไปอย่างไรครับ”

“ต้นเหตุที่ผมมาเริ่มสนใจในเรื่องของหนังสือทั้งหมด เพราะตั้งแต่เด็กผมเป็นคนชอบอ่าน ทั้งการ์ตูน นิยาย เรื่องจริง Non-Fiction ทั้งหลาย พออ่านแล้วเกิดความอยากเขียน อยากเขียนปุ๊บเราก็สร้างเว็บไซต์ที่เกี่ยวกับการเขียน เราก็ได้เขียนตรงนั้น พอเราได้เขียน เริ่มมีความใกล้ชิดกับวงการสิ่งพิมพ์ เพราะว่าเว็บไซต์ที่เราสร้างขึ้นมา มีนักเขียนบางคนที่มาเขียน หรือคนเขียนบล็อกกลายเป็นนักเขียนที่ตีพิมพ์เป็นหนังสือเป็นเล่ม เลยเกิดความผูกพันกับวงการนักเขียน นักอ่าน นักแปล มาตั้งแต่ตอนนั้น แล้วดำเนินมาเรื่อย ๆ จนถึงปัจจุบัน ถึงแม้ว่าในปัจจุบันจะเป็นยุคโซเชียลมีเดียแล้ว ก็ยังทำงานในแวดวงการเขียนการอ่านอยู่ครับ

จริง ๆ คำพูดที่ว่า “หนังสือกำลังจะตาย E-book กำลังจะมาแทนที่ หรือว่าโซเชียลมีเดียจะมาแทนที่”  มีมาทุกยุค ทุกสมัย ส่วนตัวผมคิดว่าหนังสือยังคงมีความสำคัญอยู่ มนุษย์อยู่ในโลก 3 มิติ ตัวเราเองก็เป็น 3 มิติ หนังสือก็เป็นสื่อที่เป็น 3 มิติ

เวลาที่เราหยิบจับหนังสือ เราจะมีความรู้สึกที่แตกต่างจากเวลาที่เราหยิบจับ E-Book หรือคอมพิวเตอร์ หรือมือถือ เราจะมีเซ้นส์ของเรื่องว่าเราอ่านไปครึ่งเล่มแล้ว เราอ่านไปเกือบจบเล่มแล้ว เราได้สัมผัสน้ำหนักของมันจริง ๆ ซึ่งผมรู้สึกว่า moment นั้นเป็นเสน่ห์ของหนังสือ

ซึ่งเสน่ห์นี้อาจจะใช้ไม่ได้กับทุกคนนะ แต่ว่าอย่างน้อยมีคนกลุ่มหนึ่งที่รู้สึกว่าตรงนี้จำเป็นสำหรับเขาที่จะได้สัมผัสอะไรที่ไม่เกี่ยวกับหน้าจอบ้าง มันจำเป็นที่เขาจะได้มี Down time ในการหยิบจับอะไรที่เป็นสิ่งของจริง ๆ บ้าง เลยรู้สึกว่าหนังสือมีเสน่ห์แบบนั้น แล้วยังเป็นเสน่ห์ที่คงอยู่และตรงนี้แหละที่จะทำวงการหนังสือเดินหน้าต่อไป”

การร้องเพลง คือ การค้นหาตัวตนในแบบของแชมป์ ทีปกร

ผมเรียนร้องเพลง เรียนมา 3 ปีแล้ว
การเรียนร้องเพลงเป็นการทำให้เรารู้จักตัวเองมากขึ้นเยอะมาก

“ครูสอนร้องเพลงของผมเป็นคนที่จับความรู้สึกได้เร็ว แล้วเวลาที่เครียดจากการงานหรือจากอะไรก็แล้วแต่ ครูจะรู้เลยว่านี่คือเสียงเครียด

การร้องเพลงทำให้เราเปิดเผยปมบางอย่างออกมาผ่านทางเสียงของเราที่ร้องออกไป อย่างเช่น เรากำลังไม่มั่นใจ กำลังไม่ชอบ เราจะมีเสียงที่ออกมาแบบนั้นแบบนี้ ซึ่งเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ทำให้เรารู้จักตัวเองได้มากขึ้น

ในเวลาที่เราร้องออกไปแล้ว ครูได้ยินเสียงครูจะรู้เลยว่าตอนนั้นผมกำลังคิดอะไรอยู่ หรือตอนนั้นกำลังอยู่กับปัจจุบันหรือเปล่า ดังนั้น สำหรับผมการร้องเพลงเป็นการทำสมาธิอย่างหนึ่ง วันแรกที่ไปเรียนร้องเพลง ครูถามว่าทำไมถึงมาเรียนร้องเพลง ผมตอบครูว่า อยากรู้จักตัวเองมากขึ้น จนวันนี้เรียนมา 3 ปีแล้ว พบว่ารู้จักตัวเองมากขึ้นจริง ๆ ผ่านทางการร้องเพลงสัปดาห์ละครั้ง ซึ่งการร้องเพลงของผม ไม่ได้ร้องเพราะต้องการไปร้องใครฟังที่ไหน และเพราะการร้องเพลงเป็นสิ่งที่ไกลจากงานของผมที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผมจึงรู้สึกว่าการเรียนนี้เพื่อไม่ใช่วัตถุประสงค์อะไรเลย 

สมมติว่าถ้าผมไปเรียนวาดรูป จะกลายมาเป็นงาน เพราะผมทำอาชีพเกี่ยวกับการวาด ถ้าผมไปเรียนถ่ายภาพก็คล้ายกัน หรือกระทั่งจัดดอกไม้ สมมติผมไปเรียนจัดดอกไม้ ผมคิดว่าสุดท้ายก็จะมีวิธีการที่จะกลายเป็นงานได้เหมือนกัน แต่ว่าสื่อเสียงหรือว่าเพลง เป็นสิ่งที่ผมคิดว่าไม่มีทางกลายเป็นงานได้ ผมพยายามหางานอดิเรกที่ไกลจากงานที่ทำให้ได้มากที่สุด เพื่อที่ว่าจะได้ไม่มีเป้าหมายซ่อนเร้นอะไร ไม่ได้บอกว่าเรียนเพื่อพัฒนาตัวเองจะได้เป็นมนุษย์ Productive ไม่ใช่เลย แต่เป็นการพัฒนาตัวเองที่ไม่ได้เอาไปทำอะไรในเชิงโลกนิยม”

แชมป์-ทีปกร วุฒิพิทยามงคล

วิธีฮีลใจกับเงื่อนไขที่ท้าทายในชีวิต

“ถึงจะงานเยอะแต่ทุกวันผมพยายามที่จะทำในสิ่งที่ผมเรียกว่าเป็น Routine ของผมตอนเช้าทุกวัน ผมจะมีไอเท็มที่ต้องติ๊ก คือ วิ่ง เขียนJournal นั่งสมาธิ ออกกำลังกายCrossfit แต่ไม่ใช่ Crossfit แบบจริงจัง”

“พอเราทำได้ทุกวันก็จะรู้สึกว่ามีเวลาเยอะไปเอง เพราะว่าสิ่งที่ต้องทำ ทำเสร็จเรียบร้อยไปแล้วในตอนเช้า หรืออย่างเช่นเรื่องของการแปล การเขียน พยายามที่จะ slot เวลาเข้าไปทุกวัน ถึงแม้ว่าจะทำได้แค่สิบห้านาทีก็ทำ พอทำแล้วจะรู้สึกว่าจริง ๆ ตัวเองก็มีเวลาเยอะ บางทีแค่ 15 นาที ถ้าเราตั้งใจกับมันนะ ผมถือว่าทุกเรื่องคือผลลัพธ์เท่ากับแรงที่ใส่ความพยายามลงไปคูณกับเวลา 

ดังนั้น ถ้าเวลาน้อยเราจะต้องพยายามในตรงนั้นให้เยอะ เช่น มีสมาธิแบบไม่วอกแวก 15 นาที ผมคิดว่า Productivity ตรงนี้อาจจะเกิดขึ้นมากกว่าการที่ไม่ตั้งใจทำหนึ่งชั่วโมงเสียอีก เลยคิดว่ามีโหมดแบบนี้ในวิธีการทำงานหรือในวิธีการแบ่งเวลาครับ

นาฬิกาของผมจะมีคล้าย ๆ ตุ่มที่เอาไว้พักหายใจหนึ่งนาที พอกดก็จะนับเวลา 1 นาทีไป ผมจะหายใจไป 4 ครั้ง ครั้งละ 15 วินาที รู้สึกว่าได้ Reset แต่ว่ากว่าจะมาถึงตรงนี้ได้ ก็ทำงานกับตัวเองมาเยอะ เรื่องการเขียน Journal ทุกวันน่าจะ 8 ปีแล้ว ที่ทำให้ค่อย ๆ รู้จักตัวเองมากขึ้น รู้ว่าเรา Tricker ง่าย เครียดง่ายกับเรื่องอะไร รู้ว่าเรื่องไหนเราปล่อยง่าย พอรู้แพทเทิร์นของตัวเอง เหมือนมีคู่มือขึ้นมา แล้วพอมีคู่มือขึ้นมา ก็ใช้งานตัวเองง่ายขึ้น เลยรู้สึกว่าโอเค ทุกวันนี้คือใช้วิธี Reset แบบง่ายมาก ๆ คือ การหายใจ 1 นาทีแล้วความเครียดก็จะหายไป…ประมาณนี้”

แชมป์-ทีปกร วุฒิพิทยามงคล

ความยากในชีวิตเกิดขึ้นตลอดเวลาอยู่แล้ว 
ชีวิตทุกคนเรามีเรื่องยาก
แล้วยากมากด้วยในโจทย์ของแต่ละคน 

“วิธีฮีลใจของผมแล้วแต่เงื่อนไขในช่วงของความท้าทายนั้น ถ้าเป็นสิ่งที่เกี่ยวกับความเครียด เกี่ยวกับเรื่องที่จัดการไม่ได้ ต้องรู้ว่ามันจัดการไม่ได้ แล้วปล่อยให้ดำเนินไปอย่างนี้ อาจจะ Distract ตัวเอง หรือว่าทำให้ตัวเองไปสนใจเรื่องอื่นแทน ไปดูหนัง ไปคุยกับเพื่อน ไปอะไรก็แล้วแต่ ถ้าเป็นเรื่องที่จัดการได้ อาจจะต้องจัด Session คุยกับตัวเอง ผมจะเป็นคนชอบอะไรที่เป็นรูปธรรม ชอบอะไรที่เป็นกระดาษ จะมีกระดาษแผ่นหนึ่งแล้วเขียนออกมาว่าปัญหาคืออะไร ทางแก้ที่เป็นไปได้คืออะไร โครงสร้างของมันคืออะไร ตรงไหนที่แก้ได้หรือแก้ไม่ได้ ถึงแม้ว่าสุดท้ายอาจจะไม่นำไปสู่อะไรเลย แต่ทำให้ทุกสิ่งที่ว้าวุ่นอยู่ในสมองลงมาในกระดาษแล้วจะโอเค” 

แรงบันดาลใจของแชมป์ ทีปกร

“มีอยู่ 2 คนครับ” 

“คนแรกคือ ‘พี่ปราบดา หยุ่น’ ผมรู้สึกว่าเขาเท่สม่ำเสมอ จริง ๆ ผมกับพี่คุ่นรู้จักกันมานานแล้ว ทำงานด้วยกันบ่อยครั้ง รู้สึกว่าตัวตนเขาไม่เคยเปลี่ยน ผมนิยมเขาในเรื่องที่เขาเป็นคนที่ค่อนข้าง Freeform อย่างเช่นยุคหนึ่ง ไปเป็นนักเขียน ไปทำภาพยนตร์ แล้วมาทำนิทรรศการ ทำงานศิลปะ รู้สึกว่าแก่นของเขาเหมือนเดิม ซึ่งผมนับถือคนแบบนี้

คนที่สองคือ พี่เอ๋ ปกรณ์ รุจิระวิไล อยู่ที่จังหวัดสงขลา เขาเป็นคนที่ทำให้อาร์ตซีนของสงขลาเกิดขึ้นได้ และทำให้ตัวเมืองสงขลามีชีวิตขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง เขาเป็นคนที่เชิญศิลปิน นักแสดง คนทำนิทรรศการ คนนู้นคนนี้ ไปปลุกเมืองสงขลาให้มีชีวาขึ้นมาอีกครั้ง โดยที่ไม่ได้ทิ้งรากเดิม ๆ และเขารู้สึกรักเมืองเขามาก ๆ เลยดึงคนเข้าไปทำ ผมรู้สึกว่าคนคนหนึ่งมีพลังได้มากขนาดนี้ แล้วเป็นคนที่ทำงานในแวดวง Creative แบบศิลปะด้วย ทุกครั้งที่ได้เจอพี่เอ๋จะรู้สึกได้ถึงพลังบวก รู้สึกว่ามีแรงบันดาลใจมาก ๆ มันสะท้อนให้เราอยากทำแบบนี้กับคนอื่น

นอกจากบุคคลก็จะมีวิธีการ ก็คือการเปิดรับสื่อแบบที่ไม่ได้จำกัดว่าเป็น Format ไหน จะสัมพันธ์กับเรื่องที่พูดไปข้างต้นว่าผมจะไม่ค่อยเลือกว่าต้องดูคลิป TikTok หรือต้องอ่านหนังสือ หรือต้องอ่านบล็อกนะ ทุกอย่างเป็น Input ได้ทั้งหมด ขึ้นอยู่กับว่าไปเอาแง่มุมไหนมา แต่ว่าสิ่งที่พยายามมาก คือพยายามที่จะรับสื่อในทุก ๆ วัน ถ้าวันไหนไม่ได้รับสื่อเลยจะรู้สึกว่าเหมือนเรา Input เดิม ๆ เราอยู่กับสิ่งที่มีอยู่ในตัวเอง ทั้งที่ข้างนอกอาจจะมีเรื่องใหม่ ๆ เกิดขึ้น”

แชมป์-ทีปกร วุฒิพิทยามงคล

Recommended by แชมป์ ทีปกร

เล่มแรก ปีเตอร์ คาเมนซินด์ เขียนโดย เฮอร์มานน์ เฮสเสสำนวนแปลของไทยที่ชอบ คือ สดใส ชอบที่สุดเป็นหนังสือพี่หนุ่ม โตมร เป็นคนแนะนำให้อ่าน เป็นหนังสือที่ทำให้รู้ว่าความงามของภาษาเป็นแบบไหน โดยเฉพาะเมื่ออาจารย์สดใสแปลไว้ได้ดีมาก ๆ จะรู้สึกว่างานเขียนที่ดีเมื่อมาผ่านตัวกลางที่ดี ยิ่งดีขึ้นไปอีก จริง ๆ แล้วชอบทุกผลงานของเฮสเสด้วยครับ

ปีเตอร์ คาเมนซินด์ เขียนโดย เฮอร์มานน์ เฮสเส

เล่มที่สอง เป็นเล่มที่สำนักพิมพ์ไต้ฝุ่นนำมาแปลเมื่อนานมาแล้ว และ BookScape เพิ่งเอา Re-Print ซ้ำ คือ ปรัชญา: ประวัติศาสตร์สายธารแห่งปัญญา (A Little History of Philosophy) เขียนโดย Nigel Warburton แปลโดย ปราบดา หยุ่น และ รติพร ชัยปิยะพร

ในหนังสือพี่ปราบดา หยุ่น จะพาเราไปเจอแนวคิดปรัชญาต่าง ๆ อย่างกระชับ และแสดงให้เห็นชัดเจนว่าแก่นของนักปรัชญาคนนี้คิดอย่างไร คนนี้คิดว่าความถูกความผิดเป็นอย่างไร รู้สึกว่าเป็นหนังสือที่เปิดโลกเรามาก ๆ ในแง่ของปรัชญา

ปรัชญา: ประวัติศาสตร์สายธารแห่งปัญญา (A Little History of Philosophy)

เล่มที่สาม เป็นหนังสือที่เกี่ยวกับปรัชญาเหมือนกัน คือ ความยุติธรรม JUSTICE: What’s the Right Thing to Do เป็นหนังสือของสำนักพิมพ์ SALT ผู้เขียนคือ Michael J. Sandel พี่ยุ้ย สฤณี อาชวานันทกุล เป็นคนแปล 

JUSTICE เป็นหลักคิดที่เราควรจะยึดไว้เมื่อเราพิจารณาถึงเรื่องหนึ่ง เวลาที่เราบอกว่าเรื่องนี้ไม่ยุติธรรม เรื่องนี้ยุติธรรม มีหลักคิดเป็น 10 แบบที่คุณไมเคิล แซนเดล ได้บอกไว้ ผ่านสำนวนการแปลของคุณสฤณี ก็จะอธิบายออกมาจนกระจ่างว่า 10 แบบที่ว่าคืออะไร ทำไมเราจึงควรที่จะยึดถือหลักคิดหนึ่ง แล้วหลักคิดหนึ่งมีข้อดี-ข้อด้อยอย่างไร รู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ให้แก่นแกนคิดที่เราสามารถเอาไปปรับใช้กับเรื่องอื่น ๆ ในชีวิตได้ครับ

JUSTICE

ส่วนถ้าเป็นหนัง ผมจะชอบหนังแนวที่กำหนดกฎเกณฑ์ อย่างเช่น Inception หรือมีหนังเรื่องหนึ่งที่ผมชอบมากชื่อว่า Run Rola Run (1998) เป็นหนังที่บางคนอาจจะเคยดู แต่คนส่วนใหญ่อาจจะไม่ได้เคยดูมากกว่า เป็นหนังที่ตัวเอก วิ่งไปเรื่อย ๆ เหมือนด่าน Mario ในเกม พอเสียชีวิตก็จะกลับมาเริ่มใหม่วนไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะทำภารกิจสำเร็จ รู้สึกว่าเป็นหนังที่วางกฎมาสนุกดี

หนังส่วนใหญ่ที่ชอบเป็นลักษณะนี้ อย่างเช่น Moon (2009) เป็นหนังที่ชอบเพราะว่าของ Sam Rockwell จะเป็นหนังเกี่ยวกับเรื่องลูปการใช้ชีวิต ผมคิดว่าอาจจะสะท้อนตัวเองอยู่ในนั้น ว่าเราก็รู้สึกว่าชีวิตเป็นการวน ๆ แล้วจะทำอย่างไรที่จะหลุดพ้นตรงนี้

“ความสุข” ในวันนี้ของแชมป์ ทีปกร

ผมอายุใกล้ 40 ใกล้ครึ่งชีวิตแล้วครับ 

“สิ่งที่ผมยึดถือ คือ การทำสมาธิ” 

“ผมพยายามใช้เวลาทำสมาธิกับตัวเองมาก ๆ พอได้ทำสมาธิจะทำให้มีวิธีคิดของตัวเองเรียกว่า คิดแบบไม่คิด ผมไม่จะไม่รู้จะอธิบายยังไง แต่ผมคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เปลี่ยนเปลี่ยนผมมาก ๆ ว่าคิดแบบไม่คิดคือยังไง หรือคิดว่ากำลังคิดอยู่คือแบบไหน อาจจะเป็นนามธรรมมาก ๆ เวลาที่บอกว่ามีความเครียด มีความตึง มีความผิดหวังอะไรก็แล้วแต่ ถ้าแค่เรารู้ว่า ก้อนความคิดหนึ่งที่เรามองดูอยู่คืออะไร เราก็จะผ่านมวลความคิดนั้นไปได้

ผมเคยคุยกับคนคนหนึ่งว่าจริง ๆ ช่วงนี้สิ่งที่ทำแล้วมีความสุขก็คือการสร้าง Netpositive คือไม่ต้องบอกว่าเป็นคนที่มอบอะไรให้โลกเยอะ แต่ถ้าจบชีวิตขึ้นมาแล้ว หรือถ้าวันนี้ผมตายก็รู้สึกว่าไม่อยากให้ผลที่ผมทำมาทั้งหมดคิดคะแนนแล้วเป็นลบ อยากให้เป็นบวก นิดหน่อยก็ยังดี ไม่ต้องเยอะก็ได้ บวกนิดหน่อยก็โอเค”

แชมป์-ทีปกร วุฒิพิทยามงคล

CREATED BY

ทะเล จำปี ดนตรี ทราย และ ฉัน