รู้จักกับ The Must เจ้าของเพลง “องศาที่ต่างกัน”
“ผมเข้ามาในวงการดนตรีด้วยการผลักดันตัวเอง”
“ผมเดินเข้ามาหาพี่ดี้ (นิติพงษ์ ห่อนาค) ว่าอยากแต่งเพลง เพราะรู้ว่าพี่ดี้สอนเขียนเพลง ผมมานั่งรออยู่ที่ตึกแกรมมี่ (ตึกเก่า) ตั้งแต่สิบโมงจนถึงบ่ายสอง แล้วผมก็ได้เจอกับพี่ดี้ที่กำลังจะขึ้นลิฟต์ ผมแนะนำตัวกับพี่ดี้ว่าผมน่ะรู้จักพี่นะ แต่พี่คงไม่รู้จักผม ผมอยากเขียนเพลง พี่ดี้ก็ทำหน้างง ๆ บอกว่าก็ได้ แต่ต้องมาอีกทีในวันเสาร์ เพราะเปิดสอนเขียนเพลงในวันเสาร์ นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมได้เรียนเขียนเพลง หลังจากเรียนจนจบคลาส ผมมีโอกาสได้เข้ามา sit in คือจะมีการคัดเลือกในทีม แล้วพี่ดี้คงเห็นอะไรบางอย่างในตัวผม
ผมได้ไปนั่งในฐานะผู้สังเกตการณ์และได้รับเดโมมาเขียนเพลง เราเป็นเหมือนกับเด็กฝึกงานที่ได้ลงสนามจริงด้วยการเขียนเพลง จนประมาณ 6 เดือน พี่ดี้คงแน่ใจว่าทํางานได้จริงก็เลยบรรจุผมเข้าทำงานเป็นนักแต่งเพลง”

“ในยุคนั้นการแต่งเพลงที่แกรมมี่ไม่เหมือนสมัยนี้ที่จะเขียนออกมาในรูปแบบไหน สไตล์ไหนก็ได้ ตอนนั้น ยุคนั้นยังมีกรอบในการปฏิบัติ มีธรรมเนียมของการเขียนเพลงว่าถ้าเป็นนักร้องชายจะมีชุดคำประมาณนี้เท่านั้น มีมุมมองเรื่องของภาษา การใช้สำนวน ซึ่งผมเป็นคนที่เขียนอะไรค่อนข้างนอกกรอบ เพลงที่ส่งไปส่วนมากจะถูก reject กลับมาทุกครั้ง เราเลยกลับมาตั้งคำถามกับตัวเองว่า สิ่งที่เราคิด เราทำ นั่นมันผิดจริงรึเปล่าวะ!!! หรือจริง ๆ มันน่าจะมีคนฟังเพลงอะไรแบบนี้นะ ก็เลยเกิดโปรเจกต์ของเดอะมัสเกิดขึ้น ด้วยความเชื่อว่าต้องมีคนบางกลุ่มที่ฟังเพลงแนวแบบนี้บ้าง
ตอนนั้นคือผมอยู่ในโหมดที่เป็นคนแบบหัวดื้อนิด ๆ เพลงของผมไม่ใช่พระเอกจ๋า แต่มันจะรั้น ๆ อย่างเพลง “ผมเกลียดคุณ” พอปล่อยก็คือติดชาร์จ hot wave ตอนนั้นมีแต่เพลงรักเยอะนะ ฉันรักเธอบ้าง ไม่รักเธอบ้าง ผมเลยมีไอเดียเพลงผมเกลียดคุณขึ้นมาซะเลย
มันเหมือนผมใส่เสื้อดําเข้าไปอยู่ในงานชุดที่เขาใส่ชุดขาว ดีไม่ดีไม่รู้ แต่ก็ต้องหันมามองกูสักหน่อยแล้วว่ะ…เท่านั้นเอง แล้วก็วิธีการร้องก็รู้สึกว่า เราต้องทำยังไงก็ได้ เพราะโอกาสในการยิงประตูของเราไม่มากเท่าไหร่ เอาแบบพอยิงปุ๊บ เราต้องยิงเสียบเสาเลย วิธีการร้องของเรามันเลยไม่เหมือนใคร ดูเมา ๆ ไม่รู้เรื่อง นี่ที่เขาเรียกกันว่าสไตล์ เราดีไซน์ออกมาเป็นแบบนี้
เพราะฉะนั้น กระบวนการทําชุดแรกมันเป็นเหมือนเด็กเกเร ทําด้วยความอยากทำ อย่างเพลง “สองทาง” ก็ไม่ใช่เป็นเพลงที่เลิกกันเพราะมีมือที่สาม แต่มันเป็นสองทางของคนสองคน สองคนที่มันเข้ากันไม่ได้ มันโคตร factor เพราะความรักมันมีจริง ๆ ที่มันเบื่อกันไปเอง อยู่ ๆ มันมารักกัน อยู่มาวันหนึ่งมันก็หมดรักกัน แล้วมันก็เลยเกิดมาเป็นเพลงสองทาง หรือเพลง “กลับมาฆ่าฉัน” ก็จะประเภทที่ชอบสัญญาว่าจะรักกันจนตาย แต่นี่กูยังไม่ทันตาย มึงไปรักคนอื่นแล้ว (หัวเราะ)
เพลง “เอาอะไรกะมัน” ผมรู้สึกว่าผมอาจจะพรีเซนต์ความก้าวร้าวอะไรไปบางอย่าง ผมใช้คําว่าสําส่อนบ้างลงไปในเนื้อเพลง เมื่อปลายปีที่แล้วเล่นคอนเสิร์ตเด็กเทปก็อัปเลเวลมันขึ้นไปอีกให้ก้าวร้าวขึ้นไปอีก เรารู้สึกว่าพอเป็นยุคนี้แล้ว เราก็เลยทำให้สุดไปกว่าเดิม”


การทำเพลง “ยุคนั้น กับ “ยุคนี้”
“เด็กสมัยนี้เก่ง…บอกเลย”
“ผมมีโอกาสร่วมงานกับแม็ก The Darkest Romance เขาเป็นคนที่เก่งมาก เขียนเนื้อก็ได้ แต่งคําร้อง ทํานอง เรียบเรียง ร้องเพลงก็ดี จนเรารู้สึกว่า ‘โอ้โห!!! นี่มันครบเครื่องมากมากเลย’
ผมฟังเพลงของยุคสมัยเพื่ออัปเดตตัวเอง อัปเกรดตัวเองตลอดเวลา เรารู้สึกว่ายิ่งฟังยิ่งรู้สึกว่าสมัยนี้ทําไมเก่งจัง ด้วยความที่มีช่องทางและโอกาสในการนําเสนอ ทุกคนสามารถทำเพลงเองได้ มีคอมพิวเตอร์หรือมีแล็ปท็อปก็ทําเพลงได้ สามารถใช้ GarageBand หรืออัดเสียงในห้องตัวเองแล้วอัปลงยูทูบในช่องของตัวเอง แล้วรอวัดผลได้เลยในข้ามคืน เวลาไม่กี่ชั่วโมงคุณสามารถเป็นอินฟลูเอนเซอร์คนหนึ่งได้เลยเพราะเพลงของคุณถูกนำไปพูดถึง เป็นไวรัลในติ๊กต็อก
ต่างจากยุคของผมมาก ในยุคของผมกว่าจะผลิต กว่าจะแต่งทํานอง กว่าจะเขียนเนื้อเพลง เขียนเนื้อเพลงเสร็จต้องไปให้พี่ดี้ดู พี่ดี้ผ่าน ผ่านพี่ดี้ไปให้พี่เต๋อ ไปขึ้นบอร์ดให้พี่เต๋อดูซึ่งมันอาจจะตกในขั้นตอนนั้น มันก็จะไล่กลับมาเป็นบันไดงูเลยนะ เราก็ต้องเขียนใหม่เพื่อจะไปผ่านด่านพี่ดี้ ผ่านด่านพี่เต๋อ ผ่านด่านพี่เต๋อเสร็จ โอเคเอาไปร้อง นักร้องร้องไม่ได้ มันก็กลับมาย้อนขั้นตอนเดิมอีกคือทุกอย่างเราจะไม่มีความมั่นใจได้เลยว่าเพลงที่เราผ่านแล้วจะถูกออกมาจนกว่าจะเป็นเทปคาสเซต หรือเปิดทางวิทยุเท่านั้น เราถึงมั่นใจได้ว่าเพลงเราผ่านแล้ว เรามีชื่อในปกเทปแล้ว ซึ่งต่างจากยุคนี้เขาไม่ต้องผ่านใคร เขาแต่งเพลง อยากจะเขียน อยากจะทำอะไร เขาทำได้เลย ง่ายกว่ายุคของผมมาก”

การเขียนเพลงสไตล์ The Must
“ผมเขียนเพลงในลักษณะกึ่งวิทยาศาสตร์”
“ผมยังมีความ emotional เป็นอาร์ตอยู่บ้างแต่ว่าบางอย่างผมถูกฝึกให้มันเป็น seal คือผมเรียนเขียนเพลงกับพี่ดี้ (นิติพงษ์ ห่อนาค) ได้ประสบการณ์ดี ๆ จากพี่เต๋อ (เรวัต พุทธินันทน์) ได้ประสบการณ์จากพี่ตุ่น (พนเทพ สุวรรณะบุณย์) อีกคนหนึ่งที่ทําให้ผมเป็นเหมือนนักแต่งเพลงที่ใช้เวลากับการทํางานแล้วก็ละเอียดยิ่งขึ้นคือ พี่โอม (ชาตรี คงสุวรรณ) พี่โอมเขาเหมือนกับทําให้เราชนทะลุเพดานความสามารถของนักแต่งเพลงขึ้นไปได้อีก
เวลาที่เราเขียนเพลง เรายังอยู่ในโลกของจินตนาการนะ เพราะว่าเราไม่สามารถเป็นตัวละครในเนื้อเพลงได้ทุก ๆ เพลง อย่างเพลง “ล่า” ร้องโดย พี่แอม (เสาวลักษณ์ ลีละบุตร) เรารู้สึกว่ามันคืออารมณ์โหยหา แม่ลูกคู่หนึ่งนะ เขาเกิดเหตุการณ์ที่ถูกข่มขืนพร้อมกันอย่างนี้ แล้วเราจะทํายังไงให้เนื้อหาของเพลงให้มีนัยบางอย่างที่ทั้งตามหาจิตวิญญาณของลูกที่หายไป พร้อม ๆ กับตามหาทรชนต่าง ๆ เหล่านั้นที่มาทําร้ายลูกตัวเอง ก็เลยเกิดเป็นเพลงล่า
ผมพยายามเขียนให้อยู่ในบริบทเนื้อหาของละครแต่มีนัยยะแฝงบางอย่าง เราเขียนไว้ประมาณนี้ เรารู้ว่าจากซ้ายไปขวา เรากะประมาณนี้นะ ส่วนที่เหลือเป็นพื้นที่ว่างที่คุณสามารถเอาเพลงนี้ไปใช้ไปจินตนาการ ไปตีความต่อได้”

“เพลง “สวรรค์ไม่มีคําตอบ” ร้องโดย มิสเตอร์ทีม ผมรู้สึกว่าเพลงเพลงนี้ผมพยายามเขียนให้โฟลว์ที่สุด ให้มีสัมผัสแล้วก็ด้วยความดนตรีที่มันมาลอย ๆ ก็น่าจะมีความฟุ้ง ๆ อะไรบางอย่างทั้งภาษาเพื่อจะให้มันไปซิงค์กับตัวดนตรีเมโลดี้
“รักโลกาภิวัตน์” เพลงนี้เป็นเพลงที่อยู่ในอัลบั้มโลกเบี้ยวชุดที่สอง ผมได้มีโอกาสเป็น Lyric Producer ซึ่งทํากับพี่เพชร มาร์มาแล้ว เราแปลงเพลงมาหลาย ๆ เพลง ด้วยความที่ว่าอัลบั้มโลกเบี้ยวมันคืออัลบั้มเพลงแปลง พอมาถึงทําชุดที่สองมีเพลงแปลงมาเยอะ ผมอยากทําเพลงสักเพลงหนึ่งซึ่งเป็นเพลงใหม่ ซึ่งอยากได้คาแรกเตอร์อารมณ์ประมาณให้เธอของพี่โต๊ะ (วสันต์ โชติกุล) คือถ้าเกิดโลกเบี้ยวเขาพูดเป็นเพลงใหม่ เขาพูดด้วยอารมณ์แบบนี้ จะออกมาประมาณไหน
ผมก็เลยแต่งเป็นเพลงดิบไปแล้วก็ไปคุยกับพี่โย (ภิญโญ รู้ธรรม) แล้วเราก็ทําดนตรีกันไปเลย ทําเป็นมาสเตอร์ซึ่งจริง ๆ แล้วมันผิดขั้นตอนในการทํางานนะ (หัวเราะ)
ทุกครั้งเวลาทําเพลง ผมต้องเขียนเพลงเป็นเพลงเนื้อเพลงให้พี่ดี้ได้ดูก่อน ว่าเนื้อเพลงนี้โอเคมั้ย เพราะพี่ดี้เป็นเหมือนเป็นคนเฝ้าประตูว่าเพลงนี้จะผ่านหรือไม่ผ่าน แต่เพลงนี้พี่ดี้ได้ฟังตอนที่มันเป็นมาสเตอร์แล้ว มิกซ์เสร็จเรียบร้อยแล้ว เป็นเสียงพี่โยแล้ว พี่ดี้เคยบอกว่าโกรธนะ แต่เพลงมันดี โอเคยอม ทุกคนเลยมีโอกาสได้ฟัง”


“ตอนนั้น GLOBALIZATION ยังใช้คําว่า โลกานุวัตน์ อยู่เลย มาสเตอร์ร้องเพลงร้องเป็นคําว่าโลกานุวัฒน์แล้วนะ แล้วประมาณสองวันเขาเปลี่ยนให้ใช้คําว่า โลกาภิวัตน์ แทนก็ต้องให้พี่โยมาร้องแก้ใหม่เป็นโลกาภิวัฒน์ เลยกลายเป็น “รักโลกาภิวัตน์” ด้วยความที่พี่โยเป็นผู้กำกับ โอเนกาทีฟ ก็เลยเอาเพลงนี้ไปเป็นเพลงประกอบหนัง ได้ชาคริตมาร้องในยุคนั้น พอเป็น โอเนกาทีฟ ยุคนี้ ก็ได้ เก้า จิรายุ มาร้องต่อ
พอมาถึงเพลง “องศาที่ต่างกัน” เพลงนี้ made my day สำหรับผมมาก ๆ จริง ๆ แล้วเป็นเพลงเศร้านะ คุณลองไปฟังท่อนสุดท้ายสิ แต่อยู่ ๆ กลายเป็นเพลงประจำงานแต่งเฉย อาจจะเพราะตอนต้นที่บอกว่า “อยากขอบคุณที่โลกสร้างเธอขึ้นมา ให้ฉันได้พบเวลาที่สดใส…” มั้ง
มีวันหนึ่งผมไปวิ่งที่สวนลุม แล้วระหว่างที่วิ่งอยู่ก็มีผู้ชายคนหนึ่งวิ่งมาหาเราแล้วถามว่า “นี่พี่มัสใช่มั้ยครับ” เขาบอกให้ผมรออยู่ตรงนี้แป๊บหนึ่ง แล้วเขาก็วิ่งกลับไปพาลูกเมียมาสวัสดีผม เขาบอกลูกของเขาว่า ถ้าไม่มีเพลงองศาที่ต่างกัน ลูกก็คงไม่ได้เกิดมา ผมก็โอ้โห้ ให้เกียรติผมมากขนาดนั้นเลยเหรอ ผมรู้สึกขอบคุณมาก ๆ”

“พนอ” ผลงานการแสดงเรื่องแรกของ The Must
ตอนที่ติดต่อมาผมระแวงด้วยซ้ำว่าคนที่ติดต่อมาเป็น call center หรือเปล่า เพราะว่าผมไม่ได้เป็นนักร้องในกระแส ผมเป็นนักร้องที่เคยมีผลงานแล้วเราก็ถอยตัวเองไปเป็นนักแต่งเพลง ไปอยู่เบื้องหลังซะมากกว่า มีเล่นคอนเสิร์ตบ้างอะไรบ้าง พอได้รับการติดต่อมาก็ยังสงสัยอยู่ และยังไม่แน่ใจว่าเราจะทําได้หรือเปล่า เราก็เลยขอเรื่องย่อมาอ่านแล้วก็สอบถามว่าผู้กํากับคือใคร นักแสดงที่จะมาเล่นมีใครบ้าง เลยได้รู้ว่ามีเฌอปราง มีแจ็คกี้ มีมิ้ม มีลูกหว้า มีพี่ต๊อบ เรารู้สึกว่าเป็นโปรเจกต์ที่น่าสนใจมากสําหรับชีวิตของเรากับโอกาสครั้งแรกที่จะมาแสดงภาพยนตร์ ก็เลยตัดสินใจขอมาร่วมขบวนด้วยแล้วกัน

การแสดงถือเป็นเรื่องที่ไกลตัวมากสำหรับผม ผมเป็นคนที่ค่อนข้าง introvert แต่พอเราได้มีโอกาสเข้าไปอยู่ในกองถ่ายหนัง ทำให้เรารู้ว่าเบื้องหลังการถ่ายทำภาพยนตร์ใช้คนเยอะมาก ๆ ทีมงานเป็นร้อยคน อย่างฉากซีนสำคัญของเรื่องที่ผมต้องเข้าฉาก ต้องมีอุปกรณ์ประกอบฉากมากมาย โห!!! ทุกคนเหนื่อยกันมาก
สำหรับ “พนอ” ต้องบอกว่าคือประสบการณ์ใหม่ เราเป็นคนเบื้องหลังแล้วเรามาเป็นคนเบื้องหน้าแต่อยู่ในฐานะนักร้อง เราไม่เคยแสดงในบทบาทที่ไม่ใช่ตัวเรา อย่างในมิวสิควิดีโอ คือได้เล่นบ้าง แต่ก็ยังถือว่าเป็นคาแรกเตอร์ที่เป็นตัวเองอยู่
พอเข้าสู่เรื่องราวของการแสดง ผมต้องไปเรียนการแสดงโดยครูทรายเป็นคนสอน เขามีเทคนิคบางอย่างที่สามารถบอกเราเพื่อให้คาแรกเตอร์นี้เป็นคาแรกเตอร์ดูไม่เหมือนคนปกติกับบทบาที่เรารับในหนัง เราต้องแสดงเป็นคน 2 บุคลิก ตอนที่เป็นครูใหญ่จะเป็นคนที่สุภาพ นอบน้อมถ่อมตน จิตใจดีมีเมตตากับเด็ก ๆ เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ที่ชาวบ้านให้ความเคารพและนับถือ แต่อีกพาร์ตหนึ่งเราคือเจ้าลัทธิที่ไม่มีความรู้ผิดชอบชั่วดี ศีลธรรมคืออะไรไม่รู้ กฎหมายจะผิดหรือไม่ ไม่สนใจ สนใจแค่สามารถทำทุกอย่างได้เพื่อสืบทอดลัทธิของตัวเอง
การแสดงของผมจึงถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ครูไซน์ (ณัฐฎา เชาวะวนิชย์) ก็เลยต้องดีไซน์ออกมาให้เราเล่นให้ได้ ให้ 2 คาแรกเตอร์นี้ขาดออกจากกัน ไม่กลืนกัน คุณต้องเล่นเป็นตัวนี้นะ เป็นครูใหญ่ที่ใจดีนะ ในขณะที่พอคุณเปิดตัวแล้วว่าคุณเป็นเจ้าลัทธิ คุณก็จะเป็นคนที่เยือกเย็นนะ เป็นคนที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาวใด ๆ ทั้งสิ้นนะ


ถ้าพูดถึงคาแรกเตอร์ที่ผมได้รับ อาจจะบอกได้ไม่หมด แต่การที่จะมารับบทนี้ผมเองก็ทุ่มเทมากพอสมควร มีการไปศึกษาจากตัวละครของต่างประเทศหลาย ๆ เรื่อง อย่าง Hannibal Lecter ใน Hannibal ผสมกับ John Doe ใน Seven ผมรู้สึกว่าทั้ง 2 คนนี้เขามีความเยือกเย็น น่ากลัว และกะพริบตาน้อยมาก แต่ทั้ง 2 ตัวละครมีความน่ากลัวเพียงอย่างเดียว ทำให้ผมนึกถึง Negan Smith ใน The Walking Dead ผมรู้สึกว่าคนอย่างนีแกนมันสามารถทุบหัวใครได้โดยที่ตัวเองไม่รู้สึกผิดเลย แล้วเสน่ห์ของเขาอยู่ที่รอยยิ้ม ทั้งหมดเป็นครูของผมที่ผมเบลนด์ออกมา เอามาเป็นโครงสร้างแล้วพัฒนาใส่ความเป็นไทยให้กับคาแรกเตอร์ที่ผมได้รับในพนอ
ความสนุกในซีนของผมถือว่าเป็นความท้าทายพอสมควร เพราะต้องใช้เทคนิคเยอะมากจริง ๆ เป็นอะไรบ้างอยากชวนให้ทุกคนไปติดตามในหนัง ผมต้องนั่งเมกอัปอยู่ประมาณ 6 ชั่วโมง เพื่อถ่ายฉากเดียวซึ่งจริง ๆ ในชีวิตประจำวันของผมคงไม่มีโอกาสได้ทำอะไรแบบนี้หรอก เหมือนเราได้เข้าไปอีกมัลติเวิร์สหนึ่งซึ่งเราไปถ่ายทอดอะไรตรงนั้น
ผมรู้สึกว่าเป็นประสบการณ์ใหม่แล้วก็เป็นประสบการณ์ที่ดีในชีวิตผม ได้ทีมงานที่ดี ได้ผู้กํากับที่ใจเย็นพอที่จะให้โอกาสนักแสดงหน้าใหม่อย่างผมได้แสดงออกมา บางทีผมก็ เอ๊ะ!!! สิ่งที่ผมแสดงออกไป ผมไม่แน่ใจด้วยซ้ําว่าดีพอหรือยังหรือน้อยไปหรือเปล่า อันเดอร์หรือเปล่า หรือโอเวอร์หรือเปล่า แต่ว่ามีทั้งครูไซน์ (ณัฐฎา เชาวะวนิชย์ – ครูสอนการแสดง) และพี่ตั้ม (พุฒิพงศ์ สายศรีแก้ว – ผู้กำกับ) ที่เป็นคนช่วยดูอยู่ตรงนั้น

ผมมีเวลาในการเตรียมตัวห่างจากเปิดกล้องแค่นิดเดียว แต่ก็พยายามอัดหลักสูตรทั้งหมดเข้าไปในหัวให้ได้ ซึ่งผมในวัยนี้คือเมมโมรี่ก็เหลือน้อย แรมก็ต่ํา แคชไฟล์เพียบเลย (หัวเราะ) มันก็เลยต้องพยายามโหลดข้อมูลต่าง ๆ เหล่านี้เข้ามาให้ได้ ไดอะล็อกอาจจะไม่เยอะ แต่สิ่งที่เราแสดงออกทางสีหน้าหรือแววตา เราต้องพยายามถ่ายทอดมันออกมาให้ได้ และที่สำคัญก็คือ ต้องขอบคุณทีมนักแสดงไม่ว่าจะเป็นเฌอปราง แจ็คกี้ หรือน้ำตาลที่เวลาเข้าฉากด้วยกัน น้อง ๆ จะใส่กันเต็มที่
ประสบการณ์หลอน ๆ ที่ไม่ต้องมีคำถามและไม่ต้องการคำตอบ
“พนอ” เป็น spin off จาก “ลองของ” ก่อนรับเรื่องนี้ผมไม่เคยดูหนังเรื่องนี้ แต่ผมรู้ว่าหนังมันโหด ผมก็เลยมาดูใน Netflix พอดูเสร็จ เราก็รู้สึก โอ้!!! เราต้องไปอยู่ในหนังจักรวาลนี้ด้วยนะ ซึ่งในบางฉากเราปิดตาดูเลยด้วยซ้ํา แล้วก็พอมาถึงตอนที่รับเล่นในบทจะต้องมีการท่องคาถา ทางทีมงานก็มีการส่งบทมาให้เราท่อง โดยมีเขียนกำกับว่า ห้ามท่องคนเดียว ห้ามท่องใส่ใคร ก็คือเวลาที่จะท่องซ้อมบทขอให้มีคนอยู่ด้วย
พอเราได้รับบทมา เราก็มีดีไซน์ว่า เราจะเริ่มซ้อมยังไง เริ่มท่องยังไงให้บทมันเข้าปาก เพราะภาษาไม่ใช่ภาษาไทย มันไม่คุ้นเลย แล้วการที่รับบทเป็นเจ้าลัทธิ การท่องต้องไม่แบบอึก ๆ ไก่ไข่ มันต้องโปร เทมโป้ต้องดี ต้องลงตัว มันไม่ใช่แค่ถูกต้อง แต่ทุกอย่างต้องเข้ากันทั้งหมด แล้วหลังจากนั้น…นั่นแหละ !!!
เรื่องที่ไม่คิดว่าจะเจอก็มา หลังจากที่ซ้อมท่องครั้งแรก ตอนนั้นระหว่างขับรถไปบ้านแม่ ทางไปก็คือซ้ายเป็นสุเหร่า ขวาเป็นโบสถ์ ตรงไปอีกหน่อยจะเป็นฮวงซุ้ย ซึ่งเป็นทางปกติที่เราไปเป็นประจำอยู่แล้ว ไม่ได้คิดอะไร ก็ขับรถไป ท่องบทไป แล้วจู่ ๆ ก็เหมือนมีมือหรือมีอะไรสักอย่าง มาปัดมือผมให้ออกจากพวงมาลัยรถ แต่เราก็ยังรู้สึกตัวอยู่นะ มือเรายังจับอยู่ที่พวงมาลัย แต่มันรู้สึกวืด ๆ ยังไงบอกไม่ถูก รู้ว่าไม่ปกติแล้ว
นี่เป็นครั้งแรกที่เจออะไรแบบนี้ รู้สึกแรกเลยคืออยากโทรหาใครสักคน แต่ไม่กล้าพิมพ์ ไม่กล้าโทร เก็บเรื่องที่เกิดไว้จนมาถึงเปิดกองได้เจอกับอ.ขึก (Magic Director) เราก็เลยเล่าให้อ.ขึกฟังว่าพี่ไปเจออะไรแบบนี้มานะ เขาก็เลยแนะนำให้เราบูชาครูก่อนที่จะถ่ายทำ

อีกเรื่องหนึ่งนี่เจอกันหลายคนในกอง…
วันนั้นเลิกกองประมาณ 2 ทุ่ม เราถ่ายทำกันในป่า ในค่ายทหาร เราก็รีบกลับเพราะอยากอาบน้ำต้องล้างเมคอัพออกเยอะมาก ก็ขึ้นรถ สตาร์ทรถ ออกไปพร้อม ๆ กับรถตู้คันอื่น ๆ แต่ Google Map มันบอกให้เราเลี้ยวซ้าย ในขณะที่รถคันอื่น ๆ ตรงไป เราก็เชื่อ Google Map ปรากฏว่าไปเจอกับถนนที่ไม่มีไฟเลยสักดวง ไม่มีสิ่งปลูกสร้าง มีแต่ป่าหญ้า ขับไปเรื่อย ๆ เรารู้สึกแล้วว่าวนไปวนมาจนผู้จัดการต้องโทรหาทีมงานในกองให้มานำทางเราออกไป ทางทีมงานก็หาเราไม่เจอบอกให้เราเปิดไฟหน้ารถ เราบอกไปว่าเราเปิดไฟหน้ารถอยู่ สุดท้ายต้องยกมือไหว้เจอที่เจ้าทาง ไม่รู้จะทำยังไงแล้วเหมือนกัน จนทีมงานตามหาเราเจอเพราะเห็นแสงไฟหน้ารถ
ฝากถึง “พนอ”
“ครั้งแรกกับการแสดงหนังของผม แล้วบทก็ค่อนข้างโคตรโหดพอสมควร เป็นคนที่ไม่ใช่คนเลยก็ว่าได้ ผมทำการบ้านหนักมาก และตั้งใจกับการที่จะถ่ายทอดตัวละครตัวนี้ออกมาให้ผู้ชมได้รับรู้ถึงความเป็นไปของเขา”
ผมเคยอยู่ในฐานะคนดูหนังไทยมาก่อน บอกตรง ๆ ว่าบางครั้งมีทั้งชอบใจ ผิดหวัง แต่พอเข้าไปอยู่ในพาร์ทคนทํางานหนังไทย แล้วเราเห็นทีมงานจํานวนมาก ทีมเสื้อผ้าพอเวลาที่เลิกกองไปแล้วจะต้องไปหาร้านซักผ้า หยอดเหรียญ ทั้งซัก ทั้งอบแล้วก็มารีดผ้า หรือทีมสวัสดิการ เวลาผมไปขอน้ำดื่ม ผมก็คุยกับพี่เอื้องเป็นไงบ้างครับ บางทีรถยางแตก กว่าจะมาถึงกองได้ก็ไม่ง่าย หรือทีมฉาก ทีมกล้อง เวลาที่ย้ายมุม ก็ต้องช่วยกันยก ช่วยกันทำ

เราเห็นการทำงานของทุกคนด้วยความตั้งใจจริง สถานที่ที่ไปถ่ายทำก็ไม่ได้สะดวกสบาย แต่ทุกคนก็ตั้งใจทำเพื่อให้งานออกมาดี เข้าฉากทีเป็นร้อยคน ผมก็อยากฝากให้ทุกคนที่ยังไม่ได้ดูหนังเรื่อง “พนอ” ยังสามารถไปดูกันได้ที่โรงหนังนะครับ ฝากผลงานการแสดงของผมในเรื่องแรกนี้เอาไว้ด้วย มีคอมเมนต์อะไรสามารถส่งมาหาผมได้ทุกช่องทาง
ผมมีช่องทางการติดต่อ มีโปรไฟล์ The Must ทั้ง FB IG ครับ ผมอาจจะมาจากมัลติเวิร์สหนึ่งของคนยุคนี้ แต่ยังสามารถติดตามผลงานเพลงของผมได้จากช่อง YouTube คุณสามารถเสิร์ชชื่อของผม กฤชยศ เลิศประไพ หรือ The Must ได้เลย ส่วนงานเพลงใหม่ ๆ อยากให้รอติดตาม ซึ่งผมก็กำลังมีโปรเจกต์ที่กำลังริเริ่มอยู่ครับ

