กาแฟ, Netflix, ไอโฟน ทั้ง 3 สิ่งนี้มักเป็นสิ่งที่เหล่าบรรดา ‘Life Coach’ ชอบหยิบขึ้นมาพูดถึงตอนจะสอนปรัชญาชีวิตอะไรบางอย่างให้กับเรา เช่น “คนเรามีเวลาเท่ากันถ้าเอาเวลาที่ดู Netflix ไปพัฒนาตนเอง” หรืออย่าง “ผมไม่เคยเห็นคนที่ประสบความสำเร็จมี Work life Balance สักคน” และประโยคคลาสสิคอย่าง “ถ้าคุณลดค่ากาแฟแก้วละเท่านี้เท่านี้บาท คุณจะมีเงินเก็บเป็นล้านเลยนะพี่” ซึ่งรูปประโยคเหล่านี้ถูกผลิตซ้ำไปมาจนบางคนที่ไม่อินกับ ‘Life Coach’ ถึงกับแซวว่าพวกพี่ ๆ เขาเป็นอะไรกับ กาแฟ, Netflix, ไอโฟน กันมากไหม?
‘Life Coach’ คือใคร?
จากการหาความหมายของ ‘Life Coach’ พอจะสรุปสาระสำคัญได้ว่า พวกเขาคือกลุ่มคนที่เป็นนักพูดหรือนักเขียนเพื่อสร้างแรงบันดาลใจ และเพื่อพัฒนาชีวิตของคนคนหนึ่งให้ดีขึ้นไปอีก ซึ่งสังคมอเมริกันเป็นสังคมที่ชื่นชอบใน Life Coach มาก ส่วนในสังคมไทยก็ไม่ได้ต่างไป และพอดูจากตัวความหมายดี ๆ แล้ว เราก็พอจะมองเห็นภาพใหญ่ ๆ ว่า ‘Life Coach’ เองก็ไม่ได้ต่างไปจากหมอดู หรือศาสดาทางศาสนาเท่าไหร่นัก ที่จะมีหน้าที่คอยเซ็ตค่านิยม และความเชื่อ โดยใช้หลักการทางจิตวิทยาเพื่อสอนผู้คนว่า “ชีวิตที่ดีต้องเป็นอย่างไร” โดย ‘Life Coach’ บางคนถึงกับเปิดคอร์สเรียน และเก็บเงินเพื่อสอนคนคนหนึ่งถึงชีวิตที่ดีควรมีมาตรฐานอย่างไร และต้องมีแบบแผนอย่างไร
คำถามถัดมาคือ ต่อให้จะมีคนที่ไม่เชื่อใน ‘Life Coach’ แต่ก็มีกลุ่มคนที่เชื่อ และส่วนมากหากเราเดินเข้าไปในร้านหนังสือและสังเกตประเภทหนังสือดูดี ๆ ก็จะพบว่าหนังสือแนว ‘Life Coach’ และแนวให้กำลังใจหรือแนวฮาวทูมีอยู่จำนวนไม่น้อย ซึ่งได้รับความนิยมมากเลยทีเดียว สิ่งนี้สะท้อนอะไร? สิ่งนี้อาจจะสะท้อนว่าหรือคนบางกลุ่มยังคงต้องการ ‘Life Coach’ ในยุคสมัยที่ค่านิยมมุ่งเน้นให้คนต้องประสบความสำเร็จเร็ว ๆ
โดยหากลองกรุ๊ปคำสอนของ ‘Life Coach’ ในไทย ก็จะพบว่าส่วนใหญ่จะเป็นเรื่อง การพยายามหาทางเพื่อหลุดพ้นจากอะไรบางอย่าง, แนวทางการประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย, แนวทางการวางแผนชีวิตของครอบครัวที่ดี, ครอบครัวที่สมบูรณ์ต้องเป็นอย่างไร โดยเฉพาะค่านิยมที่มุ่งเน้นให้คนรีบประสบความสำเร็จในชีวิตตั้งแต่อายุยังน้อยนี้ได้รับความนิยมสูงมาก ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ตัวต้นเรื่องอย่าง กาแฟ, Netflix, ไอโฟน จะถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงบ่อย ๆ เพราะมันสามารถนำมาเชื่อมโยงกับค่านิยมที่ ‘Life Coach’ เป็นคนพยายามเซ็ตขึ้นมากับมือนั่นเอง

‘Life Coach’ กับ ‘การเซ็ตค่านิยม’
ในบทความนี้ไม่ได้มีเจตนาที่จะมาโจมตีอาชีพของ ‘Life Coach’ แต่อย่างใด แต่อยากอธิบายเพิ่มเติมว่า บางทีคำพูดของ ‘Life Coach’ ก็มีความอันตรายแอบแฝงอยู่เช่นกัน เพราะในสังคมแต่ละชนชั้น และแต่ละคนมีวิธีการเติบโตและการเลี้ยงดูมาไม่เหมือนกัน ดังนั้นการเซ็ตค่านิยมใด ๆ ขึ้นมาก็ตามมันอาจจะสมเหตุสมผลในสังคมหนึ่ง แต่อาจจะไม่สมเหตุสมผลในอีกสังคมหนึ่ง แต่สิ่งที่ ‘Life Coach’ พยายามจะทำคือการทำให้มันเป็นขาวเป็นดำมากจนเกินไป
ยกตัวอย่างง่าย ๆ เช่น คนบางคนประสบความสำเร็จทางด้านอาชีพหน้าที่การงาน (เพราะเขามีต้นทุนที่สูงหรืออยู่ในชนชั้นที่เอื้อต่อการประสบความสำเร็จ) และ ‘Life Coach’ ก็สอนว่าถ้าอยากประสบความสำเร็จก็ต้องเปลี่ยนตัวเองแบบนี้ หนึ่ง สอง สาม สี่ แต่ในแง่หนึ่งคนที่ไม่ได้มีปัจจัยภายนอกที่เอื้อต่อการประสบความสำเร็จดังค่านิยมนั้น ๆ แต่คุณเชื่อในค่านิยมนั้น ๆ ก็จะรู้สึกดูถูกตัวเอง รู้สึกตัวเองไร้ค่า รู้สึกตัวเองแปลกแยกไป ดังนั้นค่านิยมที่บอกว่าต้องประสบความสำเร็จ มีบ้าน มีรถ มีครอบครัวก่อนอายุ 30 ไม่งั้นคุณตายแน่ อาจจะไม่ได้จริงไปเสียทั้งหมด
ดังนั้นการเซ็ตค่านิยมของ ‘Life Coach’ ที่เกี่ยวข้องกับมาตรวัดอะไรบางอย่างเพื่อตีกรอบ และส่งไม้ต่อชุดความเชื่อเหล่านั้นให้กับคนที่ฟังจนเกิดเชื่อพวกเขาอย่างสุดใจ แน่นอนว่ามันส่งผลกระทบกับวิธีคิดและวิธีการใช้ชีวิตพวกเขาแน่นอน แต่ข้อเท็จจริงอีกอย่างหนึ่งก็ถือ มาตรวัดความดี ความถูก ความสวย ความงาม ความเป็นขาวหรือดำในแต่ละสังคมหรือชนชั้นมีหลักเกณฑ์ไม่เท่ากัน การไปเซ็ตให้เป็นหนึ่งเดียวอาจจะสร้างความลำบากให้กับการใช้ชีวิตมนุษย์
อย่างไรก็ดี ความนิยมของ ‘Life Coach’ หรือ ‘หนังสือสร้างแรงบันดาลใจ’ อาจจะสะท้อนให้เห็นว่าในสังคมยุคปัจจุบันผู้คนกำลังสิ้นหวัง อาจจะมีสาเหตุมาจากปัญหาทางสภาพสังคม การเมือง หรือเศรษฐกิจ ส่งผลให้ผู้คนมองหาโครงสร้างทางความคิดอะไรบางอย่างเพื่อเป็นที่พึ่งพาทางจิตใจ ทำให้สิ่งเหล่านี้มันขายได้ และมันสามารถเปลี่ยนวิธีคิดพวกเขาไปได้ แต่สิ่งหนึ่งที่อาจจะต้องพึงระวังคือ ‘Life Coach’ ไม่ใช่นักจิตวิทยาหรือนักบำบัดไปเสียทีเดียว ดังนั้นอาจจะต้องมีวิจารณญาณในการฟังที่ดีอยู่พอสมควร
อ้างอิง