“ปากไม่แดงไม่มีแรงเดิน” คือวลียอดฮิตที่สะท้อนให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนกับลิปสติก แดงเข้ม แดงอ่อน แดงติดส้ม แดงเชอรี่ หรือไม่ว่าจะเป็นแดงไหน คือเฉดสีละเอียดอ่อนที่ผู้ใช้ลิปสติกสามารถแยกออกได้ด้วยตาเปล่า แต่รู้หรือไม่ว่าเบื้องหลังเครื่องสำอางที่คอยทำหน้าที่เพิ่มความสดใสให้ผู้คนในปัจจุบัน ในอดีตลิปสติกเคยเป็นสิ่งของที่มีบริบทเกี่ยวข้องกับเรื่องของชนชั้น อำนาจ เพศ และความงามในมิติต่าง ๆ
ว่ากันว่าลิปสติกเป็นสิ่งที่มีมาตั้งแต่ยุคอารยธรรมเมโสโปเตเมีย ชาวสุเมเรียนมักจะนำอัญมณีมาบดเป็นผง ๆ และแต่งแต้มลงบนใบหน้าโดยจะเน้นที่บริเวณดวงตาและริมฝีปากเป็นหลัก ต่อมาช่วงประมาณ 3,500 ปีก่อนคริสตกาล ‘ลิปสติกสีแดง’ ก็ได้ถือกำเนิดขึ้นมา เมื่อ ‘ราชินีชูบัด’ (Queen Schub-ad) แห่งเมโสโปเตเมียได้ใช้ตะกั่วขาวผสมเข้ากับหินสีแดงบด ซึ่งการทาปากสีแดงนี้ก็เพื่อแสดงให้เห็นถึงอำนาจและสถานะทางสังคมของเธอ นอกจากนี้จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ยังพบว่า ชาวสุเมเรียนชนชั้นสูงหลายคนมักจะถูกฝังไปพร้อมกับเปลือกหอยที่ข้างในบรรจุสีที่เป็นผงลิปสติกเอาไว้อยู่
แต่ดูเหมือนว่าบริบทของลิปสติกในยุคกรีกโบราณจะต่างไป ลิปสติกถูกมองว่าเป็นความสวยงามแบบปลอม ๆ นอกจากนี้ยังมีการออกกฎหมายให้ผู้หญิงที่ทำอาชีพค้าบริการทางเพศทาปากด้วยลิปสติกสีแดงเพราะจะได้แบ่งแยกจากผู้หญิงทั่วไปได้ จะเห็นได้ว่าบริบทของลิปสติกในยุคนี้เป็นการบ่งบอกถึงสถานะทางสังคมเช่นกัน แต่ดูเหมือนจะเป็นการกีดกันออกจากสังคมและดูจะเป็นการตีตราในทิศทางลบมากกว่า เพราะถ้าหากพวกเธออยู่ในที่สาธารณะและไม่ทาปากสีแดงก็มีความเสี่ยงที่จะถูกลงโทษได้ อีกเรื่องที่น่าสนใจคือ ส่วนผสมของลิปสติกในยุคนั้นมักจะทำมาจากมัลเบอรี่ ไวน์ รวมถึงมีการใช้ส่วนผสมแปลก ๆ อย่าง น้ำลายของคน อุจจาระจระเข้ และเหงื่อของแกะ เป็นต้น
ถัดมาในยุคจักรวรรดิโรมัน การใช้ลิปสติกกลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้ง โดยผู้ชายมักใช้ลิปสติกเพื่อบ่งบอกสถานะทางสังคมของตนเอง ส่วนผู้หญิงชนชั้นสูงมักใช้ลิปสติกเพื่อความสวยงามและแฟชั่น แต่ไม่ว่าจะเพื่ออะไร การใช้ลิปสติกในยุคนั้นก็มีราคาที่ต้องจ่าย และราคาที่ว่าไม่ใช่เงินทองแต่เป็นราคาสุขภาพ กล่าวคือส่วนผสมที่ทำลิปสติกในยุคนั้นมักจะทำมาจากสารปรอท แร่เหล็ก หรือสาหร่ายทะเลฟูคัส ซึ่งส่วนผสมเหล่านี้ล้วนเต็มไปด้วยพิษร้ายแรงที่อาจจะทำให้เสียชีวิตได้ ดังนั้นอาจพูดได้ว่าการใช้ไวน์แดงทาปากในหมู่คนจนอาจเป็นทางเลือกในการใช้ลิปสติกที่ปลอดภัยต่อสุขภาพมากกว่า
ความนิยมของลิปสติกได้ค่อย ๆ ลดลงในช่วงยุคกลางตอนต้นเพราะผู้คนเริ่มหันมาใช้ชีวิตที่เรียบง่ายมากขึ้น และในช่วงยุคกลางตอนกลาง ศาสนาได้เข้ามาทำให้ลิปสติกกลายเป็นสิ่งของที่ไม่จำเป็นอีกต่อไป โดยทาง ‘ชาฟเฟอร์’ (Sarah E. Schaffe) ผู้เขียน Reading our Lips: The History of Lipstick Regulation in Western Seats of Power ได้อธิบายว่า ผู้หญิงที่ใช้เครื่องสำอางถูกมองว่าเป็นคนที่ทำสัญญากับปีศาจ เพราะการเปลี่ยนแปลงใบหน้าของเธอถือเป็นการท้าทายพระเจ้าและการสร้างสรรค์ของพระองค์
ต่อมาในช่วงศตวรรษที่ 18 ประเทศอังกฤษก็ได้มีข้อบังคับที่เข้มงวดเกี่ยวกับการใช้เครื่องสำอางและสิ่งของต่าง ๆ เมื่อรัฐสภาได้มีการผ่านร่างกฎหมายห้ามไม่ให้ผู้หญิงใช้สิ่งของเพื่อเปลี่ยนแปลงลักษณะภายนอกของพวกเธอ ไม่ว่าจะเป็นวิก ฟันปลอม หรือรองเท้าส้นสูง ซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถนำมาเป็นสาเหตุในการฟ้องหย่าได้ในบางกรณี สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ กฎหมายนี้ได้ทำให้ผู้หญิงซื้อลิปสติกน้อยลง แต่ในตอนนั้นลิปสติกก็มีส่วนผสมที่เป็นพิษอยู่ อาจจะมองในแง่ดีได้เล็กน้อยว่า กฎหมายนี้อาจจะพอช่วยปกป้องผู้หญิงจากสารพิษเหล่านั้นได้บ้าง
ช่วงศตวรรษที่ 20 ในสหรัฐอเมริกา กลุ่มผู้เรียกร้องสิทธิของผู้หญิงได้ใช้ลิปสติกเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้และการเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องสิทธิของพวกเธอและผู้หญิงคนอื่น ๆ ส่งผลให้ริมฝีปากของผู้หญิงเริ่มมีสีสันที่สดใสมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ปัญหาสำคัญที่ยังคงมีอยู่ก็คือเรื่องของส่วนผสม จนในที่สุดช่วงปี 1938 สหรัฐฯ ได้มีการผ่านร่างกฎหมายที่กำหนดให้เครื่องสำอางห้ามมีสารพิษหรือสารอันตรายใด ๆ และในเวลาต่อมาก็ได้มีการออกกฎหมายเพิ่มเติมที่มีการแนะนำข้อบังคับความปลอดภัยที่เข้มงวดมากขึ้นสำหรับเครื่องสำอาง
อย่างไรก็ดี นี่เป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ที่มีความเกี่ยวข้องกับลิปสติก ในปัจจุบันลิปสติกยังคงได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย แต่ทุกคนน่าจะพอเห็นภาพแล้วว่า ที่มาที่ไปของเครื่องสำอางชิ้นเล็ก ๆ ชิ้นนี้ได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับชีวิตผู้คนในหลากหลายมิติ ทั้งในแง่ของการบ่งบอกชนชั้น อำนาจ เพศ สถานะทางสังคม ไปจนถึงการตีตราหรือการกีดกันออกจากสังคม นอกจากนี้ยังมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องค่านิยมของสังคม ความเชื่อทางศาสนา ไปจนถึงการเรียกร้องสิทธิต่าง ๆ โดยมีลิปสติกเป็นสัญลักษณ์อีกด้วย
อ้างอิง
- https://daily.jstor.org/lipsticks-complex-history/
- https://medium.com/@ReedJustice/the-power-and-history-of-red-lipstick-a-symbol-of-resistance-and-femininity-6326701fd5f6
- https://www.nationalgeographic.com/history/article/history-of-red-lipstick