หลังจากงานไพรด์ซึ่งจัดขึ้นในหลายพื้นที่ทั่วประเทศไทย โดยมีงานเชียงใหม่ไพรด์ 2025 ที่จัดขึ้นเป็นที่งานแรกในจังหวัดเชียงใหม่ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ไม่เพียงแต่จะเป็นความสำเร็จอีกขั้นของการขับเคลื่อนต่อสู้เพื่อสิทธิแก่กลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ หรือ LGBTQIAN+ เท่านั้น แต่ยังถือเป็นการก้าวข้ามการต่อต้าน ความเกลียดชัง และความไม่เข้าใจกันในอดีต ที่เคยนำไปสู่เหตุการณ์ความรุนแรงเมื่อหลายสิบปีก่อน อย่างเหตุการณ์ ‘เสาร์ซาวเอ็ด’ ที่เปรียบเสมือน “เหตุจลาจลสโตนวอลล์” ในประเทศไทย จนนำไปสู่อีกจุดเปลี่ยนหนึ่งของการปฏิวัติความหลากหลายทางเพศในสังคมไทย
หากการเหตุจลาจลสโตนวอลล์ ในนครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน ค.ศ. 1969 เป็นจุดเริ่มต้นของ Pride Month เพื่อรำลึกถึงการต่อสู้ของนักกิจกรรมกลุ่ม LGBTQ ที่ออกมาต่อต้านความรุนแรงของเจ้าหน้าที่รัฐที่พยายามปราบปรามพวกเขา จนนำไปสู่การเคลื่อนไหวเรียกร้องสิทธิต่อผู้มีความหลากหลายทางเพศในสังคมอเมริกันและทั่วโลก เหตุการณ์ “เสาร์ซาวเอ็ด” ในไทยก็ถือเป็นเหตุการณ์ที่มีความคล้ายคลึงกัน โดยย้อนกลับไปในปี 1990 แม้สังคมไทยจะเปิดกว้างต่อผู้มีความหลากหลายทางเพศในระดับหนึ่ง จนมีการจัดงานเกย์ไพรด์ครั้งแรกที่สีลม กรุงเทพมหานคร ในวันฮาโลวีน เมื่อปี พ.ศ. 2542 แม้จะเป็นการจัดงานเพื่อการท่องเที่ยวมากกว่า แต่ก็ได้มีการเปิดพื้นสำหรับการเคลื่อนไหวในประเด็นทางสังคมต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับเรื่องเพศด้วย
ขณะเดียวกัน ในยุคนั้นที่สังคมยังมีความเป็นอนุรักษนิยมสูงกว่าสมัยนี้ ยังคงมีการใช้ความรุนแรง และการเกลียดชังต่อผู้มีความหลากหลายทางเพศอยู่ ซ้ำร้าย กลับเป็นผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศเสียเองที่เห็นดีเห็นงามกับความรุนแรงดังกล่าว เพียงเพราะแนวคิดบางอย่างที่ไม่ตรงกัน ความขัดแย้งนี้ได้จุดชนวนขึ้นเมื่อจะมีการจัดงานเกย์ไพรด์ครั้งแรกในจังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552
แม้เชียงใหม่เองจะเป็นพื้นที่ที่วัฒนธรรมท้องถิ่นแข็งแกร่ง แต่การเป็นเมืองท่องเที่ยวระดับโลก ทำให้มีการเปิดรับวัฒนธรรมจากต่างถิ่น ขณะเดียวกันไม่ว่าจะในแวดวงวัฒนธรรมท้องถิ่นและสมัยใหม่ในพื้นที่ ต่างก็มีกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศร่วมกันขับเคลื่อน แต่เพราะความไม่เข้าใจและความเห็นที่แตกต่าง แทนที่จะมีการศึกษา การพูดคุยเพื่อทำความเข้าใจ กลับกลายเป็นความขัดแย้งขึ้น โดยตัวแทนกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศหลายกลุ่มในจังหวัดเชียงใหม่ เลือกที่จะออกมาต่อต้านการจัดงานเกย์ไพรด์ด้วยเหตุผลที่ว่า การจัดงานเกย์ไพรด์ไม่ใช่วัฒนธรรมของคนท้องถิ่น หวั่นเยาวชนเลียนแบบ และจะทำให้วัฒนธรรมล้านนาอันดีงามต้องแปดเปื้อน
กระแสการต่อต้านเริ่มบานปลาย เมื่อมีการยื่นจดหมายร้องเรียนผู้ใหญ่ในบ้านเมือง ทั้งนายกเทศมนตรี ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ และสื่อมวลชนท้องถิ่น เช่น หนังสือพิมพ์ สถานีวิทยุชุมชน เริ่มปลุกปั่นกระแสด่าทอการจัดงาน ถึงขั้นมีการเริ่มระดมมวลชนให้ออกมาโจมตีงานเชียงใหม่ไพรด์ที่กำลังจะจัดขึ้น จนกระทั่งช่วงเย็นของวันที่ 21 กุมภาพันธ์ กลุ่มคนเสื้อแดงกลุ่มหนึ่งในนาม “กลุ่มฮักเชียงใหม่ 51” กว่า 1,000 คน ได้เข้าปิดล้อมสถานที่จัดงานอย่าง พุทธสถานเชียงใหม่ บริเวณเชิงสะพานนวรัฐ ใกล้กับจวนผู้ว่าราชการจังหวัด
สถานการณ์ตึงเครียด เมื่อผู้ชุมนุมอีกฝ่ายเข้าปิดล้อม ติดป้ายต่อต้าน ปราศรัยผ่านเครื่องขยายเสียงบนรถบรรทุกประณามการจัดงาน และมีการขว้างปาก้อนหินใส่ทีมงานเกย์ไพรด์และผู้ที่เข้าร่วมในงานจนมีผู้ได้บาดเจ็บ แม้เจ้าหน้าที่ตำรวจกว่า 100 นายจะเข้ามายุติความรุนแรง แต่ก็ปล่อยให้ทีมงานต้องปฏิบัติตามคำสั่งของอีกฝ่าย ทั้งการขอโทษต่อมวลชนอีกฝ่ายที่กระทำความรุนแรงต่อทีมงาน รวมทั้งยอมทำตามคำสั่งที่จะห้ามจัดงานเกย์ไพรด์ในเชียงใหม่ไปอีก 1,500 ปี
เหตุการณ์นี้กลายเป็นอีกบาดแผลใหญ่ของทั้งกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศในเชียงใหม่ เมื่อมีการใช้ความรุนแรงต่อกลุ่ม LGBTQ โดยมีกลุ่มผู้มีความหลากหลายอีกกลุ่มที่เห็นด้วยหรือเพิกเฉยต่อความรุนแรง ในขณะเดียวกัน เหตุการณ์นี้ก็ยังเป็นบาดแผลของกลุ่มคนเสื้อแดงในเชียงใหม่ จากความรุนแรงที่เกิดขึ้น เมื่อย้อนกลับไปในปี พ.ศ. 2544 รัฐบาลพรรคไทยรักไทย ที่นำโดย นายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ขวัญใจมวลชนคนเสื้อแดง ก็ได้เสนอแนวคิดการสมรสเท่าเทียมในประเทศไทยตั้งแต่ก่อนจะเกิดเหตุการณ์เสาร์ซาวเอ็ดอยู่หลายปี แต่กลับถูกต่อต้านจากสังคมอย่างรุนแรงจนต้องหยุดแนวคิดนี้ไป แล้วเหตุการณ์นี้ก็เกิดขึ้นซ้ำอีกครั้งจากมวลชนที่เรียกร้องประชาธิปไตยเสียเอง จนกลายเป็นตราบาปในประวัติศาสตร์
ภายหลังที่เหตุการณ์ยุติได้ลง ไม่ได้หมายความว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะดับสูญไปด้วย กลุ่มผู้จัดงานหลายคนยังคงต่อสู้ เรียกร้อง และเคลื่อนไหวเพื่อผู้มีความหลากหลายทางเพศอย่างต่อเนื่อง มีการกำหนดให้วันที่ 21 กุมภาพันธ์ของทุกปี เป็น “วันยุติความรุนแรงต่อผู้มีความหลากหลายทางเพศ” ในไทย และหลังจากที่กาลเวลาได้ปล่อยให้สังคมได้เรียนรู้มากขึ้น จังหวัดเชียงใหม่ก็ได้จัดงาน Chiang Mai Pride ครั้งแรกสำเร็จ ในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 หรืออีกสิบปีต่อมา ตามมาด้วยการเกิดขึ้นของการสมรสเท่าเทียมที่เป็นจริง หลังรัฐสภาผ่านร่างกฎหมายจนประกาศใช้สำเร็จในปี พ.ศ. 2567 และเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2568 ที่ผ่านมา
จากเสาร์ซาวเอ็ดถึงเชียงใหม่ไพรด์สะท้อนให้เห็นว่า ตลอดระยะทางของการต่อสู้เพื่อผู้มีความหลากหลายทางเพศไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ต้องเผชิญกับความรุนแรง ความเกลียดชังที่เกิดขึ้นจากความเห็นต่าง ความไม่เข้าใจกันจนเกิดอคติ และการต่อต้าน เมื่อสังคมได้เรียนรู้มากขึ้นจึงได้ทราบว่า ความรุนแรงและความเกลียดชังไม่ใช่คำตอบ เพราะทุกคนที่มีความแตกต่างต่างอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างสงบสุข
อ้างอิง
- https://thestandard.co/chiang-mai-pride-2019/
- https://prachatai.com/journal/2009/03/20379
- https://themomentum.co/chiangmai-pride-2019/
- https://thematter.co/thinkers/chiang-mai-pride-2020
- https://prachatai.com/journal/2009/02/20089
- https://themomentum.co/otd-stonewall-inn/
- https://plus.thairath.co.th/topic/politics&society/104527
