ตู้ม ตู้ม ตู้ม อาจจะเป็นเสียงระเบิดที่ถูกใช้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่รู้หรือไม่ว่านัยยะของ ‘ระเบิด’ ปัจจุบันได้ถูกนำมานิยามถึงเรื่องราวความสัมพันธ์ของคนยุคปัจจุบันหรือที่เรียกว่า ‘Love Bombing’ หรือจะอธิบายให้ชัดขึ้นมาอีกสักนิดก็คือ การถาโถมความรัก ความห่วงใย ความหวังดี ใส่อีกฝ่ายมากเกินความจำเป็น และทำไปเพราะมีจุดประสงค์บางอย่างแอบแฝงอยู่

🚩‘Love Bombing’ คืออะไร?

‘Love Bombing’ คือ การมอบความรักและสารพัดวิธีที่จะแสดงออกถึงความรัก ซึ่งส่วนใหญ่อาการเหล่านี้มักจะอยู่ในช่วงต้น ๆ ของความสัมพันธ์ และเมื่อใดก็ตามที่คุณเริ่มตกหลุมรักเขาจนขึ้นไม่ไหวแล้ว เขาก็จะเอาความรักตรงนี้มาเพื่อต่อรองและควบคุมพฤติกรรมของคุณต่อไป อาจจะมีคำถามถัดมาที่ว่า เอาเข้าจริง ๆ ความรักในช่วงต้นมันก็หวานชื่นรื่นรมย์หมด และเราจะแยกออกได้อย่างไร ว่าอันไหนคือ ความสัมพันธ์ที่โรแมนติกจริง ๆ หรืออันไหนคือ ‘Love Bombing’ ผู้เชี่ยวชาญได้ให้เส้นแบ่งเรื่องนี้ไว้ง่ายนิดเดียวว่า เมื่อใดก็ตามที่คนสองคนยังมีการเคารพพื้นที่และมีขอบเขตซึ่งกันและกันด้วยความเข้าใจ นั่นอาจจะเป็นความรักที่ดี แต่เมื่อใดก็ตามที่คุณรู้สึกว่ามันรุกล้ำพื้นที่ส่วนตัวของคุณเกินไป นั่นอาจจะเป็นสัญญาณว่าน่าจะเป็น Love Bombing ซึ่งเวลาตกอยู่ในความสัมพันธ์เราอาจจะมองอะไร ๆ ไม่ชัดเจนเท่าไหร่นัก อาจจะขอคำปรึกษาเรื่องการมองภาพรวมของความสัมพันธ์จากคนที่คุณรู้สึกไว้ใจหรือคนที่คุณสนิทก็ได้เช่นกัน 

🚩‘Love Bombing’ ถูกแสดงออกอย่างไร?

สัญญานต่าง ๆ ที่พอสังเกตและจับจุดได้ว่า ความสัมพันธ์ของพวกเรากำลังเป็น ‘Love Bombing’ หรือไม่ให้สังเกตได้จากอาการ ดังต่อไปนี้

‘มอบของขวัญเกินความจำเป็น’ อาการของคนที่กำลังจะทำ ‘Love Bombing’ คือการมอบของขวัญให้อยู่บ่อยครั้งและเกินความจำเป็น บางครั้งก็เป็นของทื่มีมูลค่าที่สูง ทั้งนี้จุดประสงค์ของเขาก็คือต้องการให้ผู้รับรู้สึกเกรงอกเกรงใจ หรือรู้สึกติดหนี้บุญคุณ และจะสามารถใช้เครื่องมือนี้ควบคุมอีกฝ่ายได้ในที่สุด

‘ปากหวานน้ำตาลเรียกพี่’ คนที่ต้องมีอาการของ ‘Love Bombing’ อาจจะไม่ได้ให้แค่ของขวัญเท่านั้น แต่เขายังสามารถมอบคำพูดหวาน ๆ ใส่คุณได้ทั้งวันอย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย เขาจะชมคุณตั้งแต่หัวจรดเท้า และบอกรักคุณได้อย่างรวดเร็ว แต่การชมของคนเหล่านี้ก็อาจจะนำไปสู่การยกระดับตนเองหรือชื่นชมตนเองทางอ้อมได้อย่างแนบเนียนเช่นกัน 

‘เร่งรัดความสัมพันธ์ให้ไวที่สุด’ อีกหนึ่งสัญญานก็คือ เขาจะเร่งรัดความสัมพันธ์ในช่วงเวลาสั้น ๆ ที่พวกคุณรู้จักกันได้ไม่นาน มีการวาดภาพเพ้อฝันเกินความเป็นจริง เช่น แพลนแต่งงาน มีลูกสามคน หรือซื้อบ้าน ทำธุรกิจต่าง ๆ นานา ทั้ง ๆ ที่รู้จักกันระยะสั้นมาก และเขาอาจจะขอเป็นแฟนหรือความชัดเจนในความสัมพันธ์ตั้งแต่อาทิตย์แรกเลยก็ได้

‘ไม่เหลือช่องว่างสำหรับพื้นที่ส่วนตัว’ คนที่มีอาการของ ‘Love Bombing’ จะสามารถดูจากข้อสังเกตนี้ได้ง่ายที่สุด เมื่อไหร่ก็ตามที่เขาต้องการเวลาชีวิตทั้งหมดของคุณ โดยไม่ปล่อยให้คุณเป็นอิสระ ไม่ยอมปล่อยให้คุณไปกินข้าวกับเพื่อน ไปมีเวลากับครอบครัว หรือแสดงอาการบีบบังคับคุณสารพัดวิธีเพราะต้องการความสนใจจากคุณ จนรู้ตัวอีกทีคุณก็ไม่เหลือช่องว่างสำหรับพื้นที่ส่วนตัวอีกต่อไปแล้ว ให้คาดเดาไว้ได้เลยว่านั่นคือ ‘Love Bombing’ 

🚩‘Love Bombing’ ในที่ทำงานก็มีเช่นกัน

จากที่กล่าวไปพอจะเห็นภาพว่า ‘Love Bombing’ เป็นเรื่องของความรักความสัมพันธ์เท่านั้น แต่เอาเข้าจริง ๆ แล้ว อาการ ‘Love Bombing’ ก็สามารถเกิดขึ้นได้ในสังคมการทำงานเช่นกัน อาการไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่นัก แต่จะเป็นการชื่นชมด้วยถ้อยคำหวาน ๆ และทุบหลังด้วยการหลอกใช้ให้ทำงานหนักอย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อยและถูกทำให้รู้สึกว่าองค์กรมีหนี้บุญคุณกับพวกเขาอย่างไร ซึ่งผลกระทบของ  ‘Love Bombing’ อาจจะรุนแรงกว่าที่เราคิดหากไม่ระวังตัวให้ดี เพราะข้อมูลจากบทความ Harvard Business Review ปี 2022 ได้สะท้อนให้เห็นว่า มีคนหนึ่งในสามเสียเวลากว่าครึ่งชีวิตไปกับองค์กรที่  ‘Love Bombing’ ใส่เพราะติดกับดักคำชื่นชมที่ไม่จริง และถูกควบคุมเพื่อใช้ประโยชน์จนคุ้มค่า และในท้ายที่สุดคนกลุ่มนี้ก็กลายเป็นโรคซึมเศร้าจากการถูกด้อยค่าลงไปเรื่อย ๆ 

ทั้งนี้ ‘Love Bombing’ ในฉบับคู่รักมีผลพวงมาจากความไม่มั่นคงทางจิตใจของอีกฝ่ายจึงรู้สึกอยากจะ ‘ควบคุม’ ซึ่งพฤติกรรม ‘Love Bombing’ จะค่อย ๆ แสดงออก 3 ระยะ ได้แก่ การเริ่มสร้างภาพที่สวยหรูในจิตใจ นำมาสู่การลดคุณค่าในตัวคุณ และเมื่อใดก็ตามเมื่อเขารู้สึกว่า อีกฝ่ายเริ่มควบคุมไม่ได้และพยายามมีจุดยืนเป็นของตนเอง ผู้ที่มีอาการ ‘Love Bombing’ ก็จะยุติความสัมพันธ์ลงทันที ดังนั้นหากเราที่ยืนอยู่ในความสัมพันธ์หรือกำลังเริ่มต้นความสัมพันธ์อาจจะต้องคอยสังเกตและระวังตัว รวมถึงมีจุดยืนที่แข็งแรงเป็นของตนเอง และอย่าลืมแบ่งช่องว่างตรงกลางอย่างเหมาะสม 

ในอีกแง่หนึ่ง ‘Love Bombing’ ฉบับเพื่อนร่วมงานหรือภายในองค์กร ก็มีความน่ากลัวอยู่พอสมควร เราอาจจะต้องคอยจับสัญญาณความ Toxic ในที่ทำงานจากหลาย ๆ สถานการณ์ รวมถึงอาจจะหาเส้นแบ่งระหว่างเพื่อนกับเพื่อร่วมงานอย่างเหมาะสม และไม่หูเบาไปกับคำเยินยอที่อาจจะไม่จริง  มีจุดยืนที่ชัดเจนและรู้คุณค่างานของตนเองได้แบบไม่ต้องกลัวอะไร เพื่อป้องกันตนเองจากการถูก ‘Love Bombing’ หรือด้อยค่าเพื่อควบคุมนั่นเอง   

อ้างอิง