วาดดาว-อรรณว์ ชุมาพร, บางกอก ไพรด์, Bangkok Pride

เรื่องราวของ “อรรณว์ (วาดดาว) ชุมาพร” กับการเดินทางที่เต็มไปด้วยความกล้าหาญและความมุ่งมั่นเพื่อความเท่าเทียมในสังคมไทย หมุดหมายที่เริ่มต้นจากจุดเล็ก ๆ อย่างไม่เคยหยุดนิ่ง ความพยายามเพื่อให้ “สมรสเท่าเทียม” กลายเป็นความจริงในชีวิต 

สิ่งที่น่าสนใจในบทสัมภาษณ์นี้ คือ การเล่าถึงเส้นทางที่ยาวนาน การต่อสู้กับอุปสรรคที่ไม่สิ้นสุด และการทลายกำแพงของสังคมที่เคยมองว่าความรักแบบ LGBTQ+ เป็นสิ่งแปลกแยก ถึงแม้จะมีการต่อต้านและต้องเจอความยากลำบาก แต่ผู้ที่อยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวทุกคนยืนยันว่าความจริงและความเชื่อมั่นในสิทธิเท่าเทียมจะพาพวกเขาผ่านไปได้

“สมรสเท่าเทียม” เริ่มต้นจากการถูกปฏิเสธและไม่เป็นที่เข้าใจ จนถึงวันนี้ เราทุกคนได้เห็น “สมรสเท่าเทียม” ในประเทศไทยกลายเป็นความจริง การต่อสู้ครั้งนี้ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนแปลงกฎหมาย แต่ยังเป็นการสร้างพื้นที่ให้คนทุกคนสามารถรักและเป็นตัวของตัวเองได้อย่างภาคภูมิใจ นี่คือการเปิดประตูสู่โลกใหม่ที่ไม่มีอคติและการกดขี่ ให้ทุกคนมีสิทธิในการเลือกชีวิตที่ต้องการ

Make It Happen: A Journey for Equal Rights

“ตอนนั้นกำลังขับรถ แล้วก็ได้รับข้อความว่าราชกิจจาฯ ประกาศแล้ว…ก็ดีใจ โทรหาเพื่อนว่า เอ้ย!!! ประกาศแล้วนะ รู้สึกดีใจมาก รู้สึกว่ามันปลดเปลื้องเรื่องพันธนาการ” 

“สมรสเท่าเทียมอยู่กับดาวมา 10 กว่าปีแล้ว ต้องยอมรับว่าตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา คิดถึงแต่ประเด็นสมรสเท่าเทียมว่าเราจะทำยังไงต่อให้ต่อเนื่อง คิดทุกวัน คิดทั้งวัน ตื่นนอนมาก็คิดแล้ว ไม่เคยออกไปจากชีวิตเลย พอวันหนึ่งที่ทุกอย่างมันผ่านมาจนประกาศราชกิจฯ แล้ว รู้สึกโล่ง อย่างที่บอกว่าปลดเปลื้องพันธนาการ

เรารู้สึกว่ามันเป็นวินาทีของคนธรรมดาที่สร้างการเปลี่ยนแปลงสำเร็จ เป็นวินาที เป็นความรู้สึกที่ทลายความเชื่อบนโลกใบนี้ว่าเราทำอะไรไม่ได้ออกไปจากชีวิตเลย เหมือนชีวิตนี้ถ้าเราอยากทำอะไรมันทำได้ เป็นสิ่งที่มีความหมายกับชีวิตว่าคำว่า Make It Happen มนุษย์คนหนึ่งทำได้แล้วนะ

เราเห็นมันตั้งแต่ตั้งไข่ ยังไม่มีอะไร พอมันตั้งไข่มันก่อรูปก่อร่างเราเชป (Shape) มันมากับมือ เรารู้ทุกขั้นตอน เรารู้ว่ามีแฟกเตอร์ (Factor) ไหนที่เป็นอันตรายกับผลงานก้อนนี้ของเรา เราสามารถที่จะจัดการแฟกเตอร์ (Factor) เหล่านั้นให้มันพ้นไปได้ เหมือนต้นไม้ที่มีเชื้อรา มีแบคทีเรีย หรือว่าอาจจะมีโรคอะไรต่าง ๆ ที่จะทำให้ต้นไม้ต้นนี้ตาย เราเห็นมันโดยตลอด เราก็หาวิธีการที่จะแก้บั๊ก (Bug) ทีละก้อน ทีละก้อน ทีละก้อน จนกระทั่งทำให้ต้นไม้ออกดอกผลสำเร็จ”

Moment น้อยนิด…มหาศาล

“เราไม่เคยรู้มาก่อนว่าสมรสเท่าเทียมส่งผลกับผู้คนรอบข้างยังไงบ้าง จนวันที่เราเห็นเรื่องชีวิตจริงของผู้คน เราเห็นว่า โห!!! บางคู่ที่อยู่กันมา 19 ปี มีเรื่องน่ารัก ๆ อย่างมีน้องที่เป็นกะเทยเล่าว่าอยากให้มีกฎหมายสมรสเท่าเทียมเพราะว่าญาติจ้องจะเอาสมบัติอยู่ค่ะ”

“Bangkok Pride ไม่ได้ทำงานสมรสเท่าเทียมแค่เสนอในสภา เรามีการบันทึกเรื่องเล่าต่าง ๆ มากมายอย่างเช่น การเปิดแอปพลิเคชันเพื่อที่จะให้เข้ามาบอกเล่าว่า ‘ทำไมสมรสเท่าเทียมถึงมีความสำคัญกับเขา’ เล่าเรื่องชีวิตคู่ของคุณที่ผ่านมาให้ฟังหน่อยได้ไหม แล้วว่าโมเมนต์นั้น มันเป็นโมเมนต์ต่าง ๆ ที่เราอ่านเรื่องเล่าของแต่ละผู้คน มันคือของขวัญในชีวิตทุกวัน มันทำให้เรารู้ว่าเราทำเพื่ออะไร 

ของขวัญของพวกเราคนที่ทำงาน Bangkok Pride คือชีวิตของผู้คนที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงไป มันอาจจะไม่ใช่ของขวัญชิ้นใหญ่ แต่สิ่งเหล่านี้ทำให้เรารู้สึกว่าเราไม่โดดเดี่ยว ทำให้เรารู้ว่าเราต้องทำงานนี้ต่อ 

อย่างตอนที่เราเข้าชื่อได้รายชื่อมา 3 แสนรายชื่อ มาจากทุกจังหวัดในประเทศไทย ปัตตานี ยะลา มีหมด เรานั่งอ่านคอมเมนต์เยอะมากว่าแต่ละคนมีความคิดเห็นอย่างไร ทำไมเขาจึงสนับสนุนอยากให้มีสมรสเท่าเทียม บางคนเขาไม่ได้เป็น LGBT เลยด้วยซ้ำ ทุกอย่างตรงนี้เข้ามาเติมความมั่นใจให้เราว่า ถ้าเราเดินไปแล้ว ไม่มีทางที่จะโดดเดี่ยว นี่คือเหตุผลว่าทำไมพวกเราถึงทำงานกันอย่างเข้มข้น แล้วก็เข้มแข็ง”

วาดดาว-อรรณว์ ชุมาพร, บางกอก ไพรด์, Bangkok Pride

เพราะเราคือคนเท่ากัน เรื่องของคนจึงต้องเท่าเทียม 

ประตูแรกก็คือการยุติการเลือกปฏิบัติในการจัดตั้งครอบครัว
ไม่ว่าเขาเป็นเพศไหน 
ประตูต่อไป คือ ประตูที่เปลี่ยนแปลงสังคม
ให้เข้าใจความเท่าเทียมระหว่างกันมากขึ้น

“เราเชื่อว่าสมรสเท่าเทียมจะส่งผลเรื่องของความเป็นธรรมทางเพศที่เปลี่ยนแปลงไป และความรุนแรงทางเพศที่จะถูกแก้ไขปัญหาอีกหลายอย่าง สมรสเท่าเทียมจะทำให้คู่หญิงชายทั่วไปที่เคยถูกบังคับแต่งงานมีจำนวนน้อยลง เพราะว่าประเทศนี้เปิดรับให้ใครก็ได้เลือกคนรักที่จะแต่งงานได้ เพราะฉะนั้นเรื่องบังคับแต่งงานจะเป็นเรื่องที่โคตรเชยแล้วก็ล้าสมัย 

สมรสเท่าเทียมจะทำให้เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปีได้รับการคุ้มครองว่าจะไม่มี Child Marriage อีกต่อไป และคิดว่าสมรสเท่าเทียมมันไปไกลกว่าแค่เราคิดว่าแค่คนสองคนจดทะเบียนสมรส แต่ว่าคนสองคนที่จดทะเบียนกันจะกลายเป็นยูนิตของครอบครัวที่สวยงามและเข้มแข็ง และสมรสเท่าเทียมจะไปถึงฝั่งก็ต่อเมื่อเขามีสิทธิที่จะเลิกกันหรือจดทะเบียนหย่าได้ด้วย เพราะถ้ามันไม่รักกันแล้วก็สามารถที่จะออกจากครอบครัวไปโดยปราศจากความรุนแรงได้ เราคิดว่าปลายทางของสมรสเท่าเทียมพูดถึงเรื่องของสิทธิของการจัดตั้งครอบครัว แล้ววันหนึ่งที่ไม่อยากจะตั้งครอบครัวแล้ว คุณก็เลิกกันได้ หย่าร้างกันได้”

วาดดาว-อรรณว์ ชุมาพร, บางกอก ไพรด์, Bangkok Pride

“ข้าราชการที่เขามีแฟน แล้วเขาเป็นคนรักเพศเดียวกัน หรือเขาเป็นคนเพศหลากหลาย เขาสามารถให้สวัสดิการได้ เขาสามารถที่จะทำประกันชีวิตได้ สามารถร่วมกันกู้เงินเพื่อสร้างบ้านได้ นี่คือชีวิตที่มันเปลี่ยนไป ชีวิตที่เขาสามารถที่จะฝากความหวังกันได้ในช่วงบั้นปลาย มันเติมเต็มความเท่าเทียมในทุกมิติ สวัสดิการต่าง ๆ ที่เขาไม่เคยได้รับ เพราะว่าเขาไม่มีใบทะเบียนสมรส ไม่ว่าจะเป็นรัฐหรือเอกชน เขาก็จะได้รับอย่างเท่ากัน ในวันที่เขาตื่นขึ้นมา แล้วเขารู้สึกว่าเขามีศักดิ์ศรีแล้ว มันจะทำให้ชีวิตเขาก้าวหน้าขนาดไหน เราไม่สามารถวัดเรื่องพวกนี้ได้ เรายังไม่นับรวมคนที่ไม่เคยกลับบ้าน เพราะว่าพ่อแม่ไม่เห็นด้วย แล้วหลังสมรสเท่าเทียมผ่านก็อยากฟังเรื่องราวว่าใครกลับบ้านได้อีกบ้าง เพราะว่าที่บ้านเข้าใจแล้ว กฎหมายเปิดรับทำให้ที่บ้านเชื่อมั่นเพิ่มขึ้น 

เราคิดว่ามันเป็นเรื่องที่เรากำลังเฝ้ามองผลลัพธ์ต่อไปอยู่ ยังไม่ได้นับเรื่องที่เราเห็นล่าสุด ผู้ประกาศข่าวที่คบกันมา 9 ปี แต่ไม่เคยจะได้ถ่ายรูปคู่กันให้ประจักษ์ต่อสาธารณะ และถ้าเขามีโอกาสได้ถ่ายรูปคู่กัน เขาได้ชีวิตใช้ชีวิตอย่างสดชื่น เราคิดว่านี่คือมโนทัศน์ที่เปลี่ยนไปในสังคม”

วาดดาว-อรรณว์ ชุมาพร, บางกอก ไพรด์, Bangkok Pride

ขวาก…หนาม

“จริง ๆ สมรสเท่าเทียมเป็นการเดินทางที่มีแต่อุปสรรค หลายคนอาจจะจำได้ว่าก่อนที่เราจะขอแก้ไขประเมินแพ่งและพาณิชย์ ภาครัฐไม่อนุญาตให้เราแก้ไขประมวลแพ่งและพาณิชย์ได้ จะต้องพยายามร่างพ.ร.บ. คู่ชีวิตขึ้นมา อันนั้นเป็นความอุปสรรคก้อนใหญ่ที่สุดที่เราคิดว่ามหันต์เลยเพราะว่ารัฐยอมรับแล้วว่าจะต้องแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ แต่พอเขาแก้ไขปัญหา เขาร่างพ.ร.บ.ที่เป็นพลเมืองชั้น 2 ซึ่งจะตอกย้ำความเป็นพลเมืองชั้น 2 ของเรา ถ้าพูดให้สังคมเห็นภาพใหญ่ ๆ ก็คือ การที่ศาลรัฐธรรมนูญตีความ แล้วคำพูดของศาลรัฐธรรมนูญมันแย่มาก พูดเหมือนประมาณว่าเราเป็นสัตว์ที่ต้องรอให้วิวัฒนาการสามารถทำได้ก่อนจึงจะสามารถที่จะเท่าเทียมกันกับหญิงชาย 

ยังไม่นับรวมอุปสรรคที่มาจากคณะรัฐประหารที่ทำให้การเคลื่อนไหวของสมรสเท่าเทียมปี 57 ต้องหยุดลง เมื่อเกิดการรัฐประหาร ทำให้ประชาชนสามารถส่งเสียงในการเสนอกฎหมายได้น้อยลงหรือช้าลง เราต้องอาศัยการเข้ามาของการเลือกตั้งในปี 62 ถึงจะสามารถที่จะนำเสนอประเด็นสมรสเท่าเทียมในสังคมและรัฐสภาได้ 

การทำงานสมรสเท่าเทียมของกลุ่มพวกเราเป็นการทำงานที่ไม่ได้รับการสนับสนุน รัฐบาลไม่เคยให้เงินสนับสนุนทำสมรสเท่าเทียมในช่วงที่ยากลำบาก หน่วยงานสถานทูตไม่ให้ความสนใจมากเท่ากับพ.ร.บ. คู่ชีวิต เพราะเป็นสิ่งที่รัฐกำหนด ภาคประชาสังคมส่วนมากที่เขาทำอยู่แล้วเขาก็ไม่มั่นใจว่าจะไปคัดง้างต่อสู้กับรัฐได้ยังไง คนที่ได้รับทุนงบประมาณเพื่อทำเรื่องนี้ส่วนมากเป็นองค์กรที่สนับสนุนพ.ร.บ. คู่ชีวิต เพราะฉะนั้น ต้นทุนของเรามีเพียงสิ่งเดียวก็คือประชาชน”

วาดดาว-อรรณว์ ชุมาพร, บางกอก ไพรด์, Bangkok Pride

“การสนับสนุนเงินของสมรสเท่าเทียมมาจากม็อบราษฎรที่บริจาคผ่านเฟมินิสต์ปลดแอก แล้วก็ทำงานกันมาแต่ละก้อนแต่ละอันเป็นความร่วมมือกัน เว็บไซต์ที่ทำก็มาจากการที่เป็น volunteer ของคนในม็อบ ทำเว็บไซต์ รวบรวมรายชื่อ คิดว่าอุปสรรคมีทุกอย่างทุกด้านต่อเนื่องมาโดยตลอด แต่ว่ามันหยุดเราไม่ได้แค่นั้นเอง มันหยุดเราไม่ได้!!! 

อย่างที่บอกว่ามันมีบางอย่างที่เป็นสัญญาณว่าเราทำได้ต่อไปมันก็เลยหยุดเราไม่ได้ 

ดาวพูดแล้วดาวก็ตกผลึกว่า “ทำไมรัฐไทยใจร้ายกับประชาชนจังเลยที่จะให้ประชาชนส่งเสียงความต้องการ” บางทีเวลาที่เราส่งเสียงความต้องการ เราต้องทะเลาะกับเพื่อนที่เราคิดว่าเป็นเพื่อนร่วมอุดมการณ์ เพื่อที่จะแข่งขันกันว่าความคิดของใครชนะ ทั้งที่จริง ๆ รัฐไทยควรที่จะเปิดกว้างให้ทุกคนได้ส่งเสียง แล้วเลือกว่าหนทางที่ดีที่สุดนั้นคืออะไร เราคิดว่าอุปสรรคก้อนใหญ่ที่สุดก็คือ รัฐไทยที่สร้างความยากลำบากในการเสนอตัวกฎหมาย 

ยังไม่นับรวมว่าขนาดเข้าไปอยู่ในกรรมาธิการแล้ว พวกเราร้องไห้ในกรรมาธิการเยอะมาก เพราะว่าเขาไม่เห็นเราเป็นมนุษย์ ขนาดเอากฎหมายเราเข้าสภา เราจำได้ว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งที่เราบอกว่าเราต้องการคำว่าบุพการี และจริง ๆ รู้ไหมว่าเลสเบี้ยนสามารถท้องได้เอง มีอุปกรณ์ มีอะไรตั้งเยอะที่เขาพิสูจน์ออกมาว่าเขาอยู่ด้วยกันแล้วเขาท้องได้ เขามีการจัดการอสุจิที่สามารถทำให้ท้องได้ เราก็เจอคำพูดว่าคุณไปแอบท้อง เราไม่ได้แอบ แต่มันคือความต้องการของเรา”

“เขาพยายามทำให้เห็นว่าความต้องการของเราเป็นสิ่งที่ผิดปกติ เป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้น เป็นเรื่องที่แปลก เราเลยคิดว่ารัฐไทยใจร้ายมาก แล้วเขาประนีประนอม หรือเขาต่อรอง หรือเขาใช้เทคนิคเยอะแยะมากมายในชั้นกรรมาธิการ ใช้การข่มขู่ว่าเดี๋ยวมันจะไม่ผ่านตลอดเวลาเพื่อที่ให้เราไม่สามารถที่จะสื่อสารได้สุดเสียง หรือแม้กระทั่งห้ามเอาข้อมูลในชั้นกรรมาธิการไปพูดในที่สาธารณะ ต้องเป็นความคิดเห็นของโฆษกที่จะเผยแพร่เท่านั้น 

เพราะฉะนั้นในช่วงเวลาที่เรากำลังเสนอความต้องการของเราและเขาไม่รับฟัง เราออกมาสื่อสารกับภายนอกไม่ได้เลย มันทำให้เราทำงานทุกอย่างด้วยความกลัว ยังไม่นับรวมว่าตอนทำม็อบสมรสเท่าเทียม แล้วเจอคดีกัน ตอนที่ทำม็อบเปลือย แล้วก็เสนอเรื่องสมรสเท่าเทียมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย พวกเราเจอคดีกันทั้งหมด 17 คน พอทำม็อบสมรสเท่าเทียมที่หน้าเซ็นทรัลเวิลด์เจอคดี 24 คน เหล่านี้คือสิ่งที่ประชาชนต้องจ่ายทั้งหมด

กว่าที่เสียงของเราจะเข้าสู่การรับฟังได้ เราต้องปรู๊ฟซ้ำแล้วซ้ำเล่า เราต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเรามีอยู่จริง พิสูจน์ให้เห็นว่าประชาชนสนับสนุนเรา มีคนมาเดินขบวน เราเก็บรวบรวมรายชื่อได้หลายแสนรายชื่อ เรามีเรื่องเล่ามาให้คุณฟังว่าชีวิตเป็นยังไง เขาถึงจะเริ่มรับฟัง แล้วเวลาที่เขารับฟัง เขาก็รับฟังในแง่ของ Talk of The Town รับฟังแบบได้หน้าไม่ใช่รับฟังเพราะว่ามีความเป็นธรรม แต่เป็นเพราะสังคมให้การยอมรับ นักข่าวทำข่าว ภาคธุรกิจสนใจ ดาราสื่อมวลชนออกมาตอบรับ เขาได้หน้า เขาเลยบอกว่าฉันเห็นด้วยและฉันสนับสนุน มันไม่ใช่เป็นการรับฟังเสียงของพวกเรา หรือเพราะว่าฉันเห็นเรื่องความเป็นธรรมเหมือนกับเธอ นี่คือสิ่งที่พวกเราได้รับมาตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ทำงานตรงนี้”

วาดดาว-อรรณว์ ชุมาพร, บางกอก ไพรด์, Bangkok Pride

วันที่อยากยอมแพ้

“แค่ครั้งเดียวในชีวิต”

“เราจะต้องพิมพ์เอกสารฉบับเดิม แถลงการณ์เนื้อหาเหมือนเดิม แล้วก็ตัวกฎหมายเหมือนเดิม ข้อเสนอเหมือนเดิมนั่ง Grab Bike ตอนนั้นเห็นเอกสารที่อยู่ในมือเรา แล้วรู้สึกว่าเกลียด อยากโยนทิ้ง ทิ้งไปเลยได้มั้ย ร้องไห้ด้วยนะ นี่รอบที่ 10 แล้วที่กูต้องมาทำเรื่องนี้ซ้ำ ๆ เดิม ๆ อยากฉีกทิ้ง อยากเผาทิ้งไปเลยแล้วจำได้ว่าเรามีวินาทีนั้น ไม่ได้เป็นคนที่ดีงามต่อสู้ขนาดนั้น กูเบื่อมากรำคาญสุด ๆ 

เราเสนอเรื่องนี้มา 5 ปีแล้ว เข้าสภาต้องเจออะไรแบบเดิม เจอรปภ. ถามคำถามเดิม ๆ ถูกตรวจสอบซ้ำ ๆ ถ้าเราถือธงตำรวจก้จะมาล้อมเรา แล้วเราก็ต้องพูดเหมือนเดิมประโยคเดิมซ้ำ ๆ ว่าทำไมฉันจะถือธงไม่ได้ อะไรแบบนี้ คิดว่ามันเป็นเรื่องเดิม ๆ ซ้ำ ๆ ที่ต้องทำแล้วเหมือนประมาณว่าเราทำผิดอะไรอยู่ เรื่องที่เราทำมันเป็นเรื่องที่ทำให้ชีวิตพวกคุณดีขึ้นไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมพวกคุณถึงมองว่าสิ่งที่พวกเราทำมันเป็นเรื่องที่ผิด”

วาดดาว-อรรณว์ ชุมาพร, บางกอก ไพรด์, Bangkok Pride

“ตอนนี้เราออกไปต่างประเทศยังไม่ได้เลย ไม่สามารถที่จะสแกนพาสปอร์ตได้เลย ทันทีที่เอาพาสปอร์ตสแกน สีแดงขึ้น แล้วก็จะถูกเชิญไปอยู่ในที่ตำรวจ ตม. เพราะว่าเคยมีคดีหมายจับกับคดีการเมือง เราไม่ได้เขียนป้ายแปะไว้ด้านหลังของเราว่าเราทำเรื่องสมรสเท่าเทียม เราเคลื่อนไหวทางการเมืองจึงมีคดีการเมือง แต่เราถูกมองว่าเราเป็นอาชญากรคนหนึ่ง นี่คือสิ่งที่เราเจอ 

โชคดีที่เราทำงานแบบเฟมินิสต์ เพราะฉะนั้นการทำงานของพวกเราจะเป็นการทำงานที่เดินทางไปพร้อมกับ Well being จริง ๆ แค่การยอมรับความเสียใจและยอมรับว่าเรากำลังเจ็บปวดกับมัน ก็คือ Well being เพราะฉะนั้นพวกเราเลยมีเครื่องมือเยอะมาก ดาวมี Therapist มีเครื่องมือที่ Support เรามีเพื่อนที่ทำศิลปะบำบัด มีคนที่ทำ Consulting ให้กับเราส่วนตัว สามารถที่จะของบประมาณสำหรับการทำ Retreat ให้กับคณะทำงานของพวกเราได้

การทำงานของพวกเราเป็นการทำงานที่ต้องปรับเรื่องของรูปแบบการทำงานให้มันเป็น Flat organization (โครงสร้างองค์กรแบบแผน) เพื่อที่จะไม่ใช่แบบมีคนมาชี้หน้า แล้วก็สั่งเราว่าเราต้องทำอย่างนั้น หรือดาวจะมีโอกาสไปชี้หน้าบอกน้องว่า ยูต้องทำแบบนี้นะ ถ้ายูไม่ทำแบบนี้ปุ๊ปเป็นเรื่องผิด โครงสร้างวัฒนธรรมที่พวกเราทำงานเป็นโครงสร้างวัฒนธรรมแบบเฟมินิสต์อยู่แล้ว เราก็เลยมีพลังแรงใจในการทำงานได้ 

ถ้าถามส่วนตัวว่าทำไมเราถึงทำงานต่อได้ ก็เพราะว่ามันเป็นชีวิตเราไง เรามีแฟนเป็นผู้หญิง เราไม่สามารถบอกที่บ้านได้ เราก็อยากจะมีแฟนที่เดินไปบอกที่บ้าน แล้วก็ถ่ายรูปครอบครัวได้ไม่ใช่เหรอ แล้วถ้าหากว่าเราไม่ทำ ชีวิตเราก็จะเป็นอย่างนั้นต่อ เราคิดว่าการทำงานสมรสเท่าเทียมที่มันยากกับชีวิตเราก็คือว่า เราเอาชีวิตและเลือดเนื้อของเรามาทำงาน เหมือนว่าเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้มีพลังแต่ว่ามันก็ไม่ง่าย”

วาดดาว-อรรณว์ ชุมาพร, บางกอก ไพรด์, Bangkok Pride

ความสัจแลจะชนะทุกสิ่ง

ตอนที่สมรสเท่าเทียมผ่าน 
เรารู้สึกว่าชีวิตเรามาถึงฝันแล้ว 
เพราะฉะนั้นที่เหลือก็คือรางวัล

“ตอนที่สมรสเท่าเทียมผ่าน เรารู้สึกว่าชีวิตเรามาถึงฝันแล้ว เพราะฉะนั้นที่เหลือก็คือรางวัล อาจจะสมบูรณ์แบบบ้างหรือไม่สมบูรณ์แบบบ้าง ผิดหวังบ้าง บิดเบี้ยวบ้างก็ไม่เป็นไร ในเมื่อ Masterpiece ในชีวิตเรามันออกมาแล้ว

เรายืนยันด้วยหลักการของเราตั้งแต่แรก เราก็เลยไม่เคยเสียใจเรื่องหลักการของเรา แล้วพอเวลาเปลี่ยน สิ่งที่เกิดขึ้นไม่เสียใจเลย กลับรู้สึกสะใจเพราะว่าคนที่เคยด่าเรา ที่เคยไม่เห็นด้วยกับเรา บอกเราว่าเราขอมากเกินไปเป็นไปไม่ได้ อ้าว!!! มันเป็นยังไง 

เพราะว่าหลักการเราชัดตั้งแต่แรก และหลักการของเรากำลังจะชนะ เราคิดว่านี่คือสิ่งสำคัญ แล้วเราไม่เคยต้องคุกเข่าขอร้องใคร เพื่อให้หลักการเราเดินต่อ หลังจากนั้นเวลาคุณเปลี่ยนเข็มก็แค่ยิ้ม 
เพื่อนเราคนหนึ่ง เขาเป็นคนที่ทำให้เรารู้จักกับการประมวลการแก้ไขแพ่งและพาณิชย์อย่างดี ก็คือทนายไอซ์ ซึ่งเขาเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตาย เขามีคำพูดที่เป็นคำพูดที่อยู่ใน Facebook เรียกว่าของที่ระลึกที่ติดตัวเราเลยก็คือประโยคที่ว่า “ความสัจแลจะชนะทุกสิ่ง” แล้วที่ผ่านมาพวกเราเดินทางมากับสิ่งที่เรียกว่า Truth และ Trust ของเรา มันก็เลยไปต่อได้”

วาดดาว-อรรณว์ ชุมาพร, บางกอก ไพรด์, Bangkok Pride

การเดินทาง ผู้คน สมรสเท่าเทียม

“ดาวว่าตัวเลขของผู้คนทำให้เราประทับใจ” 

“เราเห็นตัวเลขขึ้นเป็นหลักวินาทีจนถึงสามแสน เรานั่งดูแค่คอมพิวเตอร์ตลอดเวลา มันรัน ๆๆๆ หรือว่าวันที่เราเห็นขบวนพาเหรด แล้วคนเยอะมากที่เดินผ่านหน้าเรา เขาไม่รู้จักเราว่าเราคือวาดดาว เพราะเขาไม่ได้รู้หรอกว่าดาวเป็นคนทำงาน แต่เราก็ยืนอยู่แล้วก็มองคนเดินผ่านไป…ผ่านไปแล้วมันมีความสุข มันเหมือนมีคนเชื่อในสิ่งที่เราทำแล้วเดินร่วมกับสิ่งที่เราทำ พลังงานตรงนั้นมันยิ่งใหญ่มาก เรารู้สึกว่ามันเป็นพลังงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุด 

เราเห็นพลังงานเหล่านั้นซ้ำทุกปี ของขวัญในชีวิตทุก ๆ ปีก็คือคนมาเดินเยอะ ๆ ในงาน คือของขวัญของสมรสเท่าเทียม ขบวน Bangkok Pride เกิดขึ้นจากการต่อสู้สมรสเท่าเทียม นี่คือสิ่งที่มหัศจรรย์ที่สุดแล้ว 

เรื่องของ Economic impact ที่อยากจะพูดถึง โดยเฉพาะตัวเลขที่เพิ่งออกมาจาก Agoda บอกว่าหลังจากที่สมรสเท่าเทียมผ่าน จะมีการจ้างงานเพิ่มขึ้นภายใน 3 ปี หลังจากนี้จะมีการปรับจ้างงานเพิ่มขึ้น 79,000 อัตรา จะมีนักท่องเที่ยวที่มาในประเทศไทยเพิ่มขึ้นอีก 4 ล้านคนจากสมรสเท่าเทียมภายใน 3 ปีนี้ และตัวเลขของ Economic impact จะเพิ่มขึ้นเป็น 76,000 ล้านบาท รวมไปถึงจะเขยื้อน GDP ได้จริงอยู่ที่ 0.3% ของ GDP จากกฎหมายสมรสเท่าเทียม 

แน่นอนว่าสมรสเท่าเทียมมันแห้ง ๆ เพราะมันคือกฎหมายไง งาน Bangkok Pride มันก็เลยเป็นสีสันที่ Support เพิ่มขึ้นว่านักท่องเที่ยวที่มาก็มาเดินงาน Pride องคาพยพทุกอย่างจะเปลี่ยนหมด โรงแรมก็ต้องเปลี่ยนให้มันมี Rainbow Badge ร้านค้าก็ต้องมีธงรุ้งแปะอยู่หน้าร้านเพื่อบอกว่านักท่องเที่ยวมาที่นี่ Friendly นะ ผู้ประกอบการพวก Drag บันเทิง ซาวน่า คาบาเร่ต์ ก็จะได้ผลพวงเพิ่มขึ้น เราโคตรดีใจที่เราไปร้านที่ตัดชุดแฟนซีก่อนงาน Pride เข้าไปถึงเห็นชุดเกือบ 100 ชุด เจ้าของร้านบอกประมาณ 80 ชุดที่เขาตัดใหม่เฉพาะงาน Pride แล้วคุณคิดดูว่า 80 ชุด แต่ชุดราคา คือ 5,000 ถึง 30,000 บาท เราเห็นหมดเลยนางงามคนนี้จะใส่ชุดนี้ นักการเมืองคนนี้ใส่ชุดนี้ อินฟลูเอนเซอร์คนนี้ใส่ชุดนี้ เราจะเห็นทั้งหมดเลย นี่คือแค่ Business เดียวทำให้มูลค่าของชีวิตเขาเปลี่ยนไปขนาดไหน เขาเดินมาบอกกับเราว่า…ขอบคุณมากเลยนะ ที่สร้าง Bangkok Pride”

วาดดาว-อรรณว์ ชุมาพร, บางกอก ไพรด์, Bangkok Pride

เราไม่ได้เป็นฮีโร่ สักวันหนึ่งโลกก็จะลืมเรา

“เราต้องการที่จะให้สังคมไม่มีความรุนแรงทางเพศ มีความเป็นธรรมทางเพศ เพื่อนำไปสู่ความเป็นธรรมทางสังคม” 

“โลกก็ไม่ได้หมุนรอบเรา เรารู้ว่าชีวิตนี้เราทำได้ไม่ถึง เพราะฉะนั้นหน้าที่ของเราคือการส่งไม้ต่อให้กับคนอีกรุ่นหนึ่ง รูปธรรมของเรานอกจากกฎหมายสมรสเท่าเทียมที่เราทำได้แล้ว เราก็หวังว่ากฎหมายอื่น ๆ จะทำได้ด้วย แต่เราไม่คิดว่าเราต้องเป็นคนทำกฎหมาย 

เราเคยเป็นผู้ประสานงานให้กับคนที่ได้เข้าไปเสนอนโยบาย แล้วทุกคนก็บอกว่าวาดดาวมาถ่ายรูปด้วยกันสิ เราบอกว่าไม่เอา ไม่อยากเป็นวาดดาวร้อยพ.ร.บ. แค่สมรสเท่าเทียมพอแล้ว หน้าที่ของเรา คือ เราจะต้องเอาประสบการณ์สมรสเท่าเทียมไปส่งต่อให้กับประเด็นอื่น ๆ ให้ทำได้สำเร็จ”

วาดดาว-อรรณว์ ชุมาพร, บางกอก ไพรด์, Bangkok Pride

Next Chapter ⇒  World Pride

“เฮ้ย!!! ทุกคน ฉันจะจัด World Pride ในประเทศไทย” 

“หมุดหมายที่จะเป็นอีเวนต์ใหม่ นอกจากตัวพ.ร.บ. ที่เกิดขึ้น เราคิดว่าประเทศไทยเป็นประตูของเอเชียเพื่อ LGBT ได้ เราเอาโจทย์นี้มาวางไว้และตั้งเป้า อยู่ ๆ ก็นิมิตขึ้นมาบอกว่าเราจะมี World Pride เคยบอกเพื่อนตั้งแต่ปี 2022 เดือนพฤศจิกายน

พอเรารู้ว่าจะจัด World Pride เหมือนที่เรารู้ว่าเราจะแก้ไขประมวลแพ่งพาณิชย์ในสมรสเท่าเทียมและเราจะเดินทางกับมันยังไง เพราะฉะนั้นตัว World Pride คือเป้าหมายในระยะกลางอีกระยะหนึ่งปี 2030 เพื่อที่จะทำให้องคาพยพของการเกิด World Pride เกิดการเปลี่ยนแปลงในประเทศ ตัวอย่างเช่น กฎหมายที่เราเคยบอกไว้ว่ากฎหมายที่เราต้องการ ไม่ว่าจะเป็นรับรองเพศสภาพทำให้ Sex worker ไม่ถูกจับหรือว่าไม่เจอคดีอาญา ทำให้คนทำแท้งถูกไม่โดนคดีอาญา พวกนี้สามารถนำไปต่อรองกับรัฐได้เพื่อเห็นความก้าวหน้า 

คุณอยากจะมี World Pride เกิดขึ้นใช่ไหม แต่ว่าไม่มีใครอยากรู้ว่ามีสักกี่คนที่รู้สึกแปลกใจว่า ทำไมประเทศนี้มีสนามฟุตบอลทุกหมู่บ้าน แล้วให้แต่เด็กผู้ชายที่ตื่นขึ้นมาแล้วไปเตะฟุตบอลออกมาในพื้นที่สาธารณะได้ แล้วเด็กผู้หญิงเด็กที่เป็น LGBT ชีวิตเด็กที่เป็น Non-Binary เด็กที่เป็นคนข้ามเพศ พื้นที่ไหนที่คุณยอมทำให้ทั้งหมู่บ้านทุกหมู่บ้านทำได้บ้าง นี่ก็คือสิ่งที่การได้ World Pride ไปต่อรองกับรัฐว่า แล้วพื้นที่สาธารณะของพวกเพศอื่น ๆ ที่ไม่ใช่แค่เด็กผู้ชายเตะบอล ถ้าดาวพูดผิดด่าดาวได้เลย ทุกหมู่บ้านมีสนามฟุตบอลแล้วมึงก็จะให้แต่เด็กผู้ชายเล่นบอล”

วาดดาว-อรรณว์ ชุมาพร, บางกอก ไพรด์, Bangkok Pride

“พอคุณมาบอกว่ากีฬาคือส่วนสำคัญของการดูแล Mental Health แต่มึงให้เด็กผู้ชายมีสุขภาพจิตที่ดี แล้วคนอื่นล่ะ ??? คุณกล้าที่จะให้เขามีอิสระในพื้นที่สาธารณะรึเปล่าล่ะ ??? ไม่มีเลย เพราะฉะนั้นผู้หญิงก็ต้องนั่งพับเพียบเรียบร้อยไปเรื่อย ๆ ไม่ต้องทำอะไรกันไปเรื่อย ๆ 

เพราะฉะนั้น เราก็เอา World Pride นี้ กรุงเทพมหานครคุณมีพื้นที่สาธารณะเรื่อง LGBT อะไรบ้างคุณบอกมาสิ ถ้าคุณบอกไม่ได้ก็ไม่ต้องคิดว่า World Pride จะมา หรือถ้าจะได้ World Pride มา 1 ครั้งมันมีมูลค่าเศรษฐกิจ 4 พันล้าน 8 พันล้านบาทจาก Sydney World Pride ซึ่งมันพิสูจน์แล้ว หรือว่ารัฐบาลอยากจะได้แค่ Economic impact (การวิเคราะห์ผลกระทบทางเศรษฐกิจ) 8 พันล้าน แต่ว่าคุณไม่ทำห้องน้ำให้กะเทยสักคนหนึ่งรู้สึกปลอดภัยเวลาเข้าห้องน้ำ แต่ดาวก็ยังเห็นความหวังอยู่ เราเห็นห้างใหม่ ๆ เกิดขึ้นมา มี Unisex Restroom มี All Gender Restroom เกิดขึ้นก็แสดงว่าเป็นการท้าทายเชิงนโยบาย

เราก็คิดว่าภายใน 2 ปีนี้ เราจะทำให้ปั๊มน้ำมันมีโลโก้ของ All Gender Restroom นี่คือความท้าทายของเรา หากคุณอยากจะเป็น Sponsorship คุณต้องเปลี่ยนอันนี้ให้เราและเราจะทำบางอย่างให้เกิดขึ้น นี่คือสิ่งที่เราคิดว่า World Pride ให้กับพวกเราได้ ก็คือให้พื้นที่ต่อรองในเชิงนโยบายกับประชากรแบบพวกเรา

โชคดีที่สมรสเท่าเทียมผ่านก็ถือว่าเป็นคุณสมบัติหนึ่งที่เราไปโชว์ได้ แต่การแข่งขันกับทั่วโลกที่เขามีสมรสเท่าเทียมมา 10 ปี ที่เขามีงาน Pride เป็น 10 ปี บางประเทศคนร่วมงาน Pride 2 ล้านคน เราต้องเอาคุณสมบัติเหล่านี้ไปชี้แจงสิ่งที่พวกเราทำงานอย่างหนัก ก็คือว่างาน Pride ต้องไม่เกิดเฉพาะในกรุงเทพฯ เราจึงพยายามกระจายงาน Pride ออกไปในแต่ละจังหวัด 

ถ้าหากว่าเราบอกว่าคุณมาจัด World Pride ที่ประเทศไทยสิ เพราะว่าประเทศไทยมี 77 จังหวัดตอนนี้ 60 จังหวัดจัดงาน Pride ได้และมีเป็นรูปธรรม เราว่ามันก็เป็นคุณสมบัติที่เขารับฟัง กฎหมายที่ต้องเข้าสภา เข้าสภาอาจจะไม่ผ่านแต่เข้าสภาได้ อย่างเช่นรับรองเพศสภาพต้องเข้าสภาได้ คิดว่านี่คือหัวใจของการที่เราจะต้องนำไปเสนอ

ที่สำคัญที่สุดก็คือ แล้ว World Pride ต้องไม่ใช่กรุงเทพฯ และไม่ใช่ประเทศไทยแต่ World Pride คือการจัดมหกรรม Pride ให้กับเอเชีย และแน่นอนว่าคนที่ได้ประโยชน์ในระดับเอเชียยังมีประเทศที่เขายากลำบากมาก ๆ อย่างเช่นว่าเขามีกฎหมายและมีศาสนาที่ถ้าเป็น LGBT ถูกปาหิน ถูกสังหารได้ ถูกประหารชีวิต ถูกจับเข้าคุก เพราะฉะนั้นตอนนี้ Universe ของดาวไม่ใช่แค่ประเทศไทย แต่ดาวกำลังชวนน้อง ๆ ทุกคนว่าจะมีใครอีกบ้างบนโลกใบนี้ที่อยากจะจัดงานสัก หนึ่งงาน แล้วมีคนเป็นร้อยล้านรู้สึกดีใจ น่าจะยากนะ!!! 

ชีวิตของคนที่ผ่านประสบการณ์เหมือนดาว จัดงาน Bangkok Pride 1 ครั้งแล้วเรารู้ว่าอย่างน้อยสามแสนถึงห้าแสนคนในกรุงเทพมหานคร และดาวเชื่อว่าเป็นล้านคนในประเทศนี้ดีใจ แล้วถ้าหากชีวิตนี้เราอยากจะทำให้เรามีโมเมนต์ที่เรารู้ว่าคนหลักร้อยล้านคนของเอเชียกำลังจะดีใจจากมหกรรม World Pride เรามาสัมผัส Energy ของการส่งความสุขให้กับ Universe กัน นั่นคือสิ่งที่พวกเราคุยกันในพื้นที่ คือ พวกเราเป็นกะเทย เพราะฉะนั้นแก๊งกะเทย LGBT แบบพวกเราก็ต้องทำเรื่อง Universe ตลอดเวลา คุณอย่าคิดว่าเราอยู่ในโลกใบนี้ ตอนนี้เราอยู่ไปถึงเมตาเวิร์สกันแล้ว”

Fight Back Attack

“ต้องยอมรับว่าโครงสร้างของการให้คุณค่าของหญิงชายรักต่างเพศมันมี Value ในชีวิตของพวกเขาจริง ๆ สว. ส่วนมากก็เป็นสว. ที่มาจากทหาร ให้คุณค่าว่าผู้หญิงก็ต้องแต่งงานกับผู้ชายสิ แล้วก็ต้องมีลูก แล้วก็ต้องพัฒนาครอบครัว คือโครงสร้างเหล่านี้ที่มันยึดโยงกับความคิดความเชื่อ มันถูกส่งต่อมาหลายร้อยปี จะให้เขาแก้ไขง่าย ๆ ก็เป็นเรื่องผิดปกติในชีวิตเขาเกินไป 

สำหรับดาว เราคิดว่าการผ่านโดยที่มีคนเห็นด้วยทั้งหมด และไม่มีคนเห็นต่างเลย มันไม่ใช่ประชาธิปไตย และดีใจด้วยซ้ำที่การผ่านด้วยความเห็นต่าง อีกนัยหนึ่งมันจะได้ชะลอระเบิดที่จะลง 

เราทุกคนไม่ชอบการบังคับ เวลาที่รัฐบาลทหารมาบังคับให้เราทำตามเขา สิ่งที่เกิดขึ้นคือระเบิด เพราะคนเห็นต่างมันมีจริง ดาวว่าสิ่งที่น่ากังวลมากที่สุดหลังจากสมรสเท่าเทียมผ่าน คือเราต้องเฝ้ามองว่าจะมี Fight Back Attack ขนาดไหน มีการโต้กลับความรุนแรงในสังคมไทยไหม อย่าลืมว่าในสหรัฐอเมริกาสมรสเท่าเทียมผ่าน มีการกราดยิงในผับเกย์ ในไต้หวันการทำร้ายเกย์ก็ยังคงมีอยู่ ในประเทศไทยก็เหมือนสมัยสีเสื้อ เขาคิดว่าชีวิตแบบนั้นของเขาดีไง แล้ววันหนึ่งที่เรากำลังจะบอกว่า แต่ชีวิตแบบเรามันมีจริง มันก็สั่นคลอนชีวิตที่ดีของพวกเขา ถ้าหากว่าเราไม่มีทางออกให้เห็นต่าง พวกเราจะถูกโจมตีอย่างหนัก 

ถ้าหากว่าเราไม่มีทางออกให้คนเห็นต่างส่งเสียงได้ ถ้าเราไม่ใช่เผด็จการ เราก็จะถูกโต้กลับจากความรุนแรง เราเลือกอะไร เราอยากเลือกให้สังคมเห็นไปในทิศทางเดียวกัน แล้วคนที่เห็นต่างถูกชี้ว่าเขาเป็นคนบาปของสังคมเหรอ??? ทั้งที่พวกเราเคยถูกชี้มาก่อนว่าเราเป็นบาปของสังคม 

เพราะฉะนั้นกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางสังคมต้องใช้เวลา ต้องใช้สันติวิธี และต้องใช้ความอดทนอดกลั้น ต้องใช้ความอดทนมาก ๆ แม้กระทั่งการอยู่กับคนเห็นต่าง เราเรียนรู้มาก ๆ จากการทำงานการเมือง เพราะฉะนั้นสมรสเท่าเทียมก็ต้องเป็นอย่างนี้ ต้องอนุญาตให้คนเห็นต่าง เขาสามารถแสดงความเห็นต่างได้ แต่การแสดงความเห็นต่างของเขาต้องไม่ใช้ความรุนแรง เพราะว่าพวกเขาเป็นคนที่มีอาวุธมีอำนาจและเคยใช้ความรุนแรง สังคมอนุญาตให้พวกเขาใช้ความรุนแรงได้ อย่างเช่นพ่อแม่ไล่ลูกออกจากบ้านได้ เพราะว่าลูกเป็นเกย์”

“หลังจากนี้เขาจะปรับตัวยังไง การเปลี่ยนแปลงของสังคมโดยเฉพาะสื่อ รัฐ แล้วก็คนที่อยู่ใน Public อีก เราต้องสร้างเบาะรองนุ่ม ๆ ให้การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้โดยสันติวิธี นี่คือความสำเร็จสูงสุดของสมรสเท่าเทียม ไม่ใช่เกิดขึ้นได้แล้ว คนที่ไม่เห็นด้วยเรื่องสมรสเท่าเทียมต้องกักขังลูกมากกว่าเดิม

ประวัติศาสตร์โลกมันเกิดขึ้นตลอด เราไม่สามารถปฏิเสธประวัติศาสตร์โลกได้ว่ามันไม่เกิดขึ้น แต่เกิดขึ้นแล้ว ต้องทำยังไง อย่างเช่นถ้ามีความรุนแรงเกิดขึ้นจากคนที่ยังคง Homophobia (การเกลียดกลัวบุคคลรักร่วมเพศ) เขาก็ทนไม่ได้กับสังคมที่เราสร้างสมรสเท่าเทียม แล้วเขาเกิดใช้ความรุนแรงกับคนรอบข้าง แล้วมีระบบไหน Support มีระบบแจ้งฉุกเฉินได้ไหมว่าเขาเจออะไรอยู่ หรือถ้าอยู่ ๆ เกย์ 2 คนเดินจับมือกันแล้วมีคน Phobia เกิดขึ้นทันที เขาต้องการไปทำร้ายคู่เกย์นี้ คนที่อยู่รอบข้างเท่าทันไหม ว่ากำลังเกิดความรุนแรงและเข้าไปหยุด เหมือนเมื่อก่อนที่สังคมไทยเห็นผัวเมียทะเลาะกัน แล้วสังคมไม่เท่าทันว่านั่นคือความรุนแรง กลับบอกว่าเป็นเรื่องของครอบครัว เพราะฉะนั้นเราว่าเรื่องเหล่านี้แหละเป็นเรื่องที่พวกเราต้องตระหนักและสร้างระบบให้เห็นว่าจะสามารถหยุดความรุนแรง ถ้าเกิดมีการโต้กลับยังไงมากกว่า”

Truth and Trust

“ดาวคิดว่าความหลากหลายทางเพศจะเปิดกว้างเพิ่มขึ้น อัตลักษณ์จะมีเพิ่มขึ้นจะนับถึง Z ก็เป็นเรื่องของพวกเขา ไม่ใช่เรื่องของพวกเรา 10 ปีข้างหน้า เราจะเห็นมิติของการเป็น Gender neutral หรือว่าความเป็นกลางทางเพศที่เพิ่มขึ้น แล้วก็นอกจากที่ LGBT จะมีพื้นที่เพิ่มขึ้น นอกจากผู้หญิงจะรู้สึกว่าตัวเองเป็นอิสระเพิ่มขึ้น ในทางกลับกันคนที่เป็นเพศกำหนดชายที่ต้องการมิติที่มันเป็นเฟมินีน เขาจะมีชีวิตได้มากขึ้น อย่างเช่นว่าเขาเป็นผู้ชายที่ดูอ่อนโยน เขาจะกลายเป็นคนที่มีคุณค่า ความเข้มแข็งจะไม่ผูกติดอยู่กับเพศอีกต่อไป แต่ว่าคุณสมบัติที่หลากหลายของผู้คน อย่างเช่นว่าผู้นำอ่อนโยนได้ เหมือนกับผู้นำเข้มแข็งได้ และผู้นำที่อ่อนโยนเป็นผู้นำที่รับฟัง ผู้นำที่ตัดสินใจช้ากว่าการตัดสินใจแบบรวดเร็วทันท่วงทีเหมือนคุณสมบัติผู้นำแบบระบบชายเป็นใหญ่ที่ถูกเขียนไว้มันก็จะเปลี่ยนแปลงสังคมให้ประเทศมีสภาวะความหลากหลาย 

สมรสเท่าเทียมและ LGBT เป็นธงความหลากหลายหนึ่งเท่านั้น เราหวังว่าความหลากหลายทางเพศจะนำไปสู่ธงความหลากหลายในมิติอื่น ตัวอย่างเช่นมิติของกลุ่มชาติพันธุ์ มิติของคนที่มีความพิการ มิติของความเชื่อทางการเมืองที่แตกต่างกัน มิติของพื้นเพหรือว่าภูมิลำเนาที่แตกต่างกัน เราคิดว่าการสลายแบบ Diversity (ความหลากหลายของผู้คน) ที่กลับเข้ามาสู่ Diversity มันจะส่งผลให้มิติอื่น ๆ มีพลังแรงใจในการต่อสู้ เพราะว่าอยู่ ๆ จะให้อำนาจทุนนิยม อำนาจเผด็จการนิยมอนุญาตให้กับ Diversity มีอยู่มันเป็นความผิดปกติ แต่ว่าทำให้เขามีแรงใจในการที่จะขับเคลื่อนต่อสู้ แล้วถ้าหากว่า Bangkok Pride หรือว่าประเด็นสมรสเท่าเทียมสามารถที่จะเดินทางกับความมั่งคั่งได้ แน่นอนว่าพวกเราเองก็จะกระจายความมั่งคั่งเพื่อทำให้สังคมนั้นเป็นสังคมที่เป็นธรรม แล้วก็คิดว่า 10 ปีข้างหน้า คนที่เคยด่าวาดดาวคงจะเลิกด่ามั้ง เพราะว่าเราพิสูจน์ได้แล้วว่า Truth ที่เราเชื่อมันยังเป็น Trust ของสังคม”

วาดดาว-อรรณว์ ชุมาพร, บางกอก ไพรด์, Bangkok Pride

เรื่องเล่าของเด็กหญิงดาว 

“ไอ้ดาวอ่ะเหรอ ก็คนที่บ้าพี่คนนั้นไง พี่ผู้หญิงคนนั้นไง”

“ดาวเพิ่งมาค้นพบตัวเองในวัยเด็กที่ลึกมากว่าดาวไม่มีเพื่อนคบ ดาวมีเพื่อนกลุ่มหนึ่งที่คบแต่ว่ามีบางคนที่ดาวรู้สึก มันเป็นเรื่องที่ติดอยู่ในใจมาก ๆ ดาวจำเสียงที่ดังมาก ๆ จากคนคนหนึ่งที่บอกเราว่า “ไอ้ดาวอ่ะเหรอ ก็คนที่บ้าพี่คนนั้นไง พี่ผู้หญิงคนนั้นไง” แล้วเรารู้สึกว่าสิ่งที่เราชอบหรือว่าผูกพันกับรุ่นพี่ที่เป็นผู้หญิง คือความผิดปกติของโรงเรียนนี้ แต่เพื่อนดาวหลายคนที่กรี๊ดพี่ผู้ชายหล่อ ๆ รุ่นพี่นักบาส นักบอล กลับไม่เป็นเรื่องผิดปกติของโรงเรียนนั้น แล้วเลยทำให้เราเก็บตัว ทำให้เราไม่ไว้เนื้อเชื่อใจผู้คน ทำให้เรารู้สึกว่าเราผิดปกติ 

ความรักที่เรารู้สึกรักคนที่เป็นเพศเดียวกัน กลายเป็นสิ่งที่เราต้องเก็บเป็นความลับ ทำให้เราจะต้องเรียนเก่งให้ได้ จะต้องเป็นนักกิจกรรมเพื่อล่ารางวัลให้ได้ คำถามก็คือว่าทำไมเราต้องเหนื่อยขนาดนั้น หรือเวลาที่เราอกหัก เราก็เจ็บเนอะ แต่เราเดินไปบอกพ่อกับแม่ไม่ได้ว่าเราอกหัก ทั้งที่เรื่องของเด็กคนหนึ่งที่อกหักหรือความเจ็บปวดของลูก ควรได้รับการปลอบใจจากพ่อแม่ แต่ว่าเราใช้ชีวิตมาโดยที่เราไม่สามารถที่จะเปิดเผยเรื่องเหล่านั้นได้ เราก็เลยคิดว่ามันเป็นจุดดำ ๆ หรือบาดแผล ถึงเราเยียวยาตัวเองด้วยการที่พอวันหนึ่ง เรารู้สึกว่าเรามีความสุข เราก็คิดว่า อ้อ!!! เด็กหญิงดาวที่มันรอดมาตอนนั้นน่ะ เพราะว่าดาวตอนนี้ส่งพลังไปถึงไหม เพราะว่ากูรอดมาได้ไงวะ 

ตอนนี้เรา Link กับเด็กหญิงดาวบ่อยมาก แสดงว่าถ้าหากว่าโลกที่มันอยู่เหนือกว่าที่เรามองเห็นแบบ Physical หรือว่าเรามองเห็นกันชัดเจนตอนนี้ แล้วเด็กหญิงดาวในตอนนั้นก็คงจะมีวาดดาวตอนนี้ไปปลอบ ตอนที่ได้รับรางวัลระดับโลก ถ้าถามว่าอยากจะพูดกับใครมากที่สุด ก็อยากจะพูดกับเด็กหญิงดาวตอนนั้นว่า “มึงอดทนนะ เข้มแข็งนะ” หรือประมาณว่าถ้าย้อนกลับไปได้จะบอกให้เด็กหญิงดาวมันเลิกเศร้า เพราะว่าเดี๋ยวชีวิตตอนโตขึ้นมันจะดี เพราะฉะนั้นที่มันเศร้าหรือซึมเศร้าอดทนอีกนิดหนึ่งนะ หรือว่ามันคงออกจากการฆ่าตัวตายมาได้ หรือออกจากการทำร้ายตัวเองมาได้ก็คงจะมีวาดดาวตอนนี้ที่ส่งใจไปปลอบอยู่ 

เด็กหญิงดาวค่อนข้างที่จะโตมาแบบ Intersectionality (อัตลักษณ์และอำนาจทับซ้อนกัน) มากก็คือว่าไม่ได้มีความเป็นชายขอบแค่ด้านเดียว ดาวมีความเป็นชายขอบที่ฐานะครอบครัวก็ไม่ได้ดี แล้วเป็นชายขอบที่เรียนต่างอำเภอ ต้องไปอยู่ในโรงเรียนในเมือง คนที่เรียนเก่งแต่ต้องถูกซ้ำชั้น เพราะว่าพ่อแม่กลัวว่าเด็กในเมืองเก่งกว่า หรือชีวิตชายขอบอื่น ๆ ที่เราแบกความเป็นชายขอบในหลาย ๆ มิติมามากกว่าแค่ประเด็นเรื่องรุ่นพี่เพียงอย่างเดียว เพราะฉะนั้นนัยหนึ่งของการที่เรามีสิทธิที่เราจะรู้สึกว่าเราชอบ หรือเราผูกพันกับคนนี้เป็นเรื่องต้องห้าม ตอนนั้นเด็กหญิงดาวก็ไม่รู้เรื่องหรอก เพราะมันเป็นเรื่องต้องห้าม บางเรื่องมันเพิ่งมารื้อฟื้นหรือขุดได้ บาดแผลมันอยู่ก็ตอนเราโตแล้ว ตอนนั้นเราก็ใช้ชีวิตแบบเราไม่รู้เรื่องหรอก
เราใช้ความสนุกในการเป็นนักกิจกรรม อย่างเช่นว่า ตอนนั้นได้ทุนไปอเมริกา อยู่ ๆ ก็ส่งข้อความบอกแม่ว่า “แม่…ดาวเป็น Bisexual นะ” Bisexual นี่มันก็จะยากนะ นี่ก็ไปสอนเขาอีก ความเข้าใจสังคมมันจะยากกว่าเลสเบี้ยนหรือหญิงรักหญิง แล้วเราเป็นแบบนี้นะ ที่ดาวบอกว่าความเป็นชายขอบของดาวหรืออัตลักษณ์ที่มันทับซ้อนมันเยอะ”

วาดดาว-อรรณว์ ชุมาพร, บางกอก ไพรด์, Bangkok Pride

“ที่บ้านดาวเป็นข้าราชการที่จงรักภักดี แต่ดาวเป็นเสื้อแดง แล้วตอนเป็นเสื้อแดง คือถูกด่าเยอะมาก เราไม่ได้กลับบ้านเป็นปี ๆ เพราะว่าที่บ้านเขาไม่เอาเสื้อแดง เราอยู่ภาคใต้อีกด้วยนะ พี่ชายเป็นทหารระดับพันเอก วันที่เสื้อแดงถูกสลายการชุมนุม ก่อนที่เราจะไปม็อบ เราก็ต้องแวะไปหาพี่เพื่อเอาของที่แม่ฝากมา เพราะเขาก็ต้องการล็อกให้เราอยู่บ้าน เป็นสภาวะชายขอบที่เยอะมาก 

เพราะฉะนั้นดาวก็เอาความเป็นนักกิจกรรมที่พอเราเริ่มจัดงาน พอเราเป็นนักกิจกรรมได้ เราจัดงานใหญ่ ๆ ได้ สถานทูตเริ่มให้ความสนใจพวกเรา เราจัดงานร่วมกับ World Bank เรื่องสถานทูต ก็พาพ่อกับแม่มางานประชุมนี้ด้วย บอกทูตเยอะแยะมากมายเลยแม่ ต่างชาติก็เยอะมากเลย แล้วก็เป็น Speaker วันนั้นตื่นเต้นมากเลย พ่อกับแม่มา แล้วเป็นครั้งแรกที่พ่อกับแม่มารู้ว่าเราเป็นแบบนี้  สิ่งที่เขาเจอก็คือทุกคนชื่นชมลูกเขา แล้วทุกคนก็จะเดินหาว่าไหนพ่อกับแม่ดาวอยู่ไหน ทำให้การทำความเข้าใจหรือการเปลี่ยนแปลง Phobia ของเขา กับพ่อกับแม่ไม่รุนแรงเกินไป เราไม่รู้ว่าพ่อกับแม่รับได้ไม่ได้ เราไม่รู้ แต่เรากลัว เรากลัวที่จะเผชิญหน้ากับเขา เราก็เอากิจกรรมอื่น ๆ ให้เผชิญหน้าไป แล้วก็อย่างที่บอกว่า ทำไมชีวิตมันไม่ง่ายในการที่บอกว่า “แม่นี่คือแฟนหนูนะ” แต่กลับกลายต้องกลายเป็นคนจัดงานใหญ่โต หรือต้องเป็น Speaker เท่านั้นเหรอ”

“เราคิดว่าสังคมมันใจร้ายเกินไปกับพวกเรา แต่เราใช้กลไกบางอย่างที่บอกพ่อกับแม่ อย่างเช่น พาเขามาเดินงาน Pride เขาก็เดินงาน Pride เราเชื่อศักยภาพของพ่อกับแม่ที่เรียนรู้ เหมือนเรื่องทำแท้ง แม่ก็ไม่เห็นด้วยหรอก แม่ไม่พูดเรื่องนี้ เรื่อง Sex worker แม่ก็ไม่ให้พูด แต่แม่ก็มาเดินงาน Pride แล้วแม่ก็ไปเห็นว่าเป็นยังไง แล้วก็มีเพื่อนชื่อ ทาทา นางก็พาแม่ไปรู้จักเพื่อนคนนู้นคนนี้ พาแม่มานั่งฟังเรื่องสิทธิของพนักงานบริการเป็นยังไง คือว่าให้เขาได้มาอยู่ในโลกใบนี้ แล้วเราก็เชื่อว่าพ่อกับแม่ก็คือมนุษย์คนหนึ่งที่เขาเรียนรู้ สิ่งที่เขาต้องการก็เหมือนเรา ก็คือต้องการเห็นแต่ละคนมีความสุข ต้องการเห็นสังคมที่มันดี ๆ เพราะเราเชื่อในมิตินี้ 

แม้ว่าเขาจะมีทัศนคติทางการเมืองแบบไหน เขาจะมีความเห็นเรื่องเพศเป็นแบบไหน มันก็จะทำให้เป็นทางลงที่มันไม่หักหาญน้ำใจเขาจนเกินไป เหมือนกับการ Come out ของเราก็ไม่ต้องผลักเราให้มีความกล้าที่อยู่กับความกลัวมากจนเกินไป แล้วก็คิดว่ามันเป็นการเจรจาในครอบครัวที่ลงตัวระดับหนึ่ง”

พื้นที่ปลอดภัย พื้นที่ของเรา 

“ดาวคิดว่าสมาชิกครอบครัวทุกคนไม่ได้เป็นคนที่เข้าใจเรา เพราะว่าเขาถูกสร้างมาแบบค่านิยมเดิม แต่ดาวมีคนที่เป็นคีย์ในครอบครัวที่สำคัญก็คือน้องสาวของดาวที่จะเป็นคนเชื่อมให้สังคมในครอบครัวของเราเข้าใจ พอเราหาเจอคีย์คนนั้นก็ทำงานกับเขา เพื่อให้เขาได้ทำงานกับคนอื่น ๆ ในครอบครัว 

ดาวเคยฟังสิ่งที่พี่คนหนึ่งเขาพูดว่า “จะแก้ไขปัญหายังไง ถ้าหากว่าพ่อแม่ไม่เข้าใจแล้วก็ใช้ความรุนแรงกับเรา” ความไม่เข้าใจ การบังคับ การไม่ให้โอกาส การไม่ส่งเสริม คือ ความรุนแรง จะทำยังไงถ้าหากว่าพ่อแม่และคนในครอบครัวไม่เข้าใจเรา เขาบอกว่าให้เอาเขาออกมาจากครอบครัว 

ดาวก็ตั้งคำถามนี้มาตลอดเวลาทำงาน 10 ปี จนถึงวันนี้ดาวเชื่อว่าทันทีที่คนคนหนึ่งต้องเผชิญหน้ากับความไม่เข้าใจและความรุนแรง ให้เอาเขาออกมาจากครอบครัว เอาเขาออกมาจากความสัมพันธ์ ถ้าหากว่าคนสองคนที่อยู่ในความสัมพันธ์ที่รุนแรง ให้เอาเขาออกมาจากความรุนแรง และเดี๋ยวเขาจะมีปัญญาและศักยภาพของเขาไปต่อได้ว่าเขาจะไปต่อที่ทางไหน 

หน้าที่ของเราอย่างเช่นหน้าที่ของรัฐทำยังไงในระยะสั้นให้พื้นที่ Empower และก็พื้นที่ Mental heath ในระยะยาว ในระยะกลาง และระยะยาว เขาเลือกชีวิตของเขาเอง หน้าที่ของพวกเราถ้าเจอคนที่อยู่ในความเป็นครอบครัว เราจะไม่พูดเลยว่าพ่อแม่ต้องเข้าใจ เพราะเขาไม่เข้าใจ เขาจะเข้าใจต่อเมื่อ เขากำลังจะสูญเสียคนในครอบครัว คือ ลูกไม่คุยด้วย ก็ออกจากครอบครัวไปไม่ต้องคุยกับพ่อแม่  ไม่เข้าใจก็ออกมาจากครอบครัว ออกมาจากความรุนแรง แล้วก็เป็นหน้าที่ของสังคมและรัฐที่จะ Support คนเหล่านั้น หรือต้องหาพื้นที่ ในมิติหนึ่งรัฐต้องทำงานอย่างหนัก เพื่อทำให้พ่อแม่เข้าใจ ไม่ใช่จะต้องเอาลูกไปเผชิญหน้ากับความรุนแรง 

ดาวผ่านเรื่องเจ็บปวดเหล่านี้บ่อยมาก ที่ดาวต้องนั่งอยู่กับพ่อแม่แล้วก็เคลียร์ปัญหาที่เขาต้องการจะสอนดาว จะสอนกูทำไมกูรู้เรื่อง แต่สิ่งที่เกิดความขัดแย้ง คือคุณไม่เข้าใจเรา แล้วคุณกำลังจะแก้เราให้ตรงตามแบบที่คุณต้องการ เราก็ต้องนั่งทรมานกับสิ่งที่เขาสอน ให้ยกมือไหว้ก็ยกมือไหว้ เดินออกมาก็ไม่เข้าใจอยู่ดี เราก็ไม่เข้าใจเขาอยู่ดี 

ดาวจัดการกับครอบครัวได้ เพราะว่าดาวเอาตัวเองออกจากครอบครัว เรารู้ว่าครอบครัวเราเป็นครอบครัวที่ใช้ความรุนแรง อาจจะคิดไม่เหมือนคนอื่น แต่ดาวยืนยันว่า 1 วัน 1 เดือน 1 ปีที่อยู่ใน Mental heath ที่แย่มันแก้ไขยากอีกยาวนาน เอาตัวเองออกมาทำมาหากินได้ก็ออกมาเลย ส่วนพ่อกับแม่ถ้าหากว่าเราอยากจะดูแลเขา เราสามารถดูแลทางอื่นได้ แล้วกลายเป็นว่าครอบครัวดาววันนี้กลับมามีความสุขมองหน้าและก็เข้าใจกันได้ เพราะวันนั้นดาวเลือกเดินออกจากครอบครัว แล้วดาวก็ได้คุยกับพ่อแม่ กับพี่ดาวที่เป็นทหาร เขาก็ยังคงจำความทรงจำที่ดาวเลือกเดินออกมาจากครอบครัวเป็นตัวของตัวเอง แล้วก็มีปัญญาในการใช้ชีวิตของเราเองได้ 

เราต้องเชื่อว่าทุกคนมีปัญญาในการใช้ชีวิต เราต้องเชื่อว่าเขาทำมาหากินได้ เราต้องเชื่อว่าเขาต้องทำอย่างอื่นให้ชีวิตเขารอดได้ แล้วถ้าชีวิตเขารอดได้ เขากลับไปบ้าน ความสำเร็จ คือ การยืนยันตัวเองที่ดีที่สุด เพราะฉะนั้นครอบครัวไหนที่ไม่เห็นด้วยและใช้ความรุนแรงกับลูกที่เป็น LGBT ให้น้องเดินออกมา หาทาง Support ตัวเอง”

วาดดาว-อรรณว์ ชุมาพร, บางกอก ไพรด์, Bangkok Pride

ความรักของวาดดาว

“สนุกมากเพราะว่าดาวค้นพบว่าความรักของดาวกับแฟนคือ Twin Frame เพราะฉะนั้นมันก็เลยแตกต่างกับสภาวะที่ทุกคนจะเข้าใจว่าความรัก คือ ความเข้าใจ ความรัก คือ การเดินทางอะไรก็ไม่รู้ แต่เรานิยามว่าเราคือ Twin Frame ที่ในช่วงเวลานี้เดินทางมาเจอกัน ก็เลยเจอทั้งการเดินทางชีวิตที่ไปด้วยกัน 

คุณสมบัติไหนมากกว่าที่เราให้กับความรัก ดาวให้คุณสมบัติของเสรีภาพและความไว้วางใจ ถ้าหากว่าคนรักของดาวไม่ได้ให้อิสรเสรีภาพและความไว้วางใจกับดาว ดาวคิดว่าความรักนั้นน่าจะไม่โอเคแล้ว เหมือนกับคุณสมบัติไหนที่คนรักของเราอยากได้จากความรักครั้งนี้ เขาก็อยากจะได้ความเข้าใจ เวลา ความรักของเราก็เลยเป็นสิ่งที่เราต้องหาคุณสมบัติที่เราต้องการจากอีกฝ่ายหนึ่งให้เจอ”

23 มกราคม 2568 จดทะเบียนสมรสเท่าเทียม

“โจทย์วันที่ 23 ทุกคนอาจจะเข้าใจผิดว่าเราอยากจะจัดงานใหญ่ ๆ แต่โจทย์ของเราเกิดขึ้นจากการที่ว่า เราจะทำยังไงให้ทุกอำเภอและทุกพื้นที่ของการจดทะเบียนเคารพพวกเราแบบจริง ๆ ไม่มีคำถามที่สร้างอคติกับพวกเรา และทำให้การจดทะเบียนเหล่านั้นเป็นการจดทะเบียนที่ปกติทั่วไป เรากลัวมากว่าจะมีคู่เกย์ คู่เลสเบี้ยน คู่ LGBT ที่เดินไปจดทะเบียนแล้วต้องถูกตั้งคำถามมากกว่าเดิม อย่างเช่นว่า แล้วฝ่ายไหนเป็นฝ่ายรับ ฝ่ายไหนเป็นฝ่ายรุก แล้วแต่งงานเนี่ยใครเป็นผัวเป็นเมีย หรือว่าแน่ใจแล้วไหม หรือว่าน้องคุยกับที่บ้านหรือยังคะ ผู้หญิงชายเดินไปจดทะเบียนไม่เห็นจำเป็นต้องถามว่าคุยกับที่บ้านเลย 
เรากลัวคำถามเหล่านี้เลยเป็นโจทย์ที่ว่า ถ้าอย่างนั้นเราต้องทำให้วันแรกของการจดทะเบียนเป็นวันที่รัฐเตรียมพร้อมเยอะที่สุด เพื่อที่จะยืนยันว่าจะไม่มีใครที่ไปจดทะเบียนและเจอคำถามที่อคติเจอการปฏิเสธว่าไม่รู้จักกฎหมายฉบับนี้ เราก็เลยเอาโจทย์ของที่ 23 มาเป็นโจทย์หลักว่างั้นเราจะจัดงาน พอเราจัดงาน เราเชิญรัฐมาร่วมงาน เป็นเจ้าภาพร่วม เราเชิญกทม. มาร่วมงานเป็นเจ้าภาพร่วม ทำให้องคาพยบของรัฐเริ่มวางแผนปรับตัว และความน่ารักที่เราไม่คิดมาก่อน เรามักชอบคิดว่ารัฐไม่ปรับตัว แต่กลายเป็นว่าพวกเราทำงานกับกรมการปกครองที่เป็นคนที่ทำงานก้าวหน้ามาก แล้วพยายามคิดหาทางตลอดเวลาว่า ทำยังไงให้สมรสเท่าเทียมในการจดทะเบียนทั้ง 878 อำเภอมีความหมายที่สุด กลายเป็นว่าวัตถุประสงค์ของเราที่อยากให้ทุกอำเภอมีพื้นที่ของความเป็นธรรมในการจดทะเบียนเป็นจริง เกิดขึ้นได้”

วาดดาว-อรรณว์ ชุมาพร, บางกอก ไพรด์, Bangkok Pride

“อีกโจทย์หนึ่ง เรารู้สึกว่าเราทำงานโดยที่เรารู้สึกว่าเราอยากให้คนคิดถึงเรื่องสมรสเท่าเทียม ถ้านึกถึงสมรสเท่าเทียมเราอยากฝากความรู้สึกของการเฉลิมฉลอง แล้วก็มองเห็นเราว่าเรามีความสุข เพราะฉะนั้น วันที่ 23 มกราคมก็จะเป็นวันที่เราชวนคนที่อยากจะมาจดทะเบียน มาจดทะเบียนด้วยความสุข แล้วเราจะชวนเจ้าหน้าที่รัฐมาต้อนรับพวกเขา คืนศักดิ์ศรีของพวกเรา การจดทะเบียนในนี้เป็นการเปิดประตูสู่สมรสเท่าเทียมที่ประเทศไทยจะหันหลังกลับในเรื่องนี้ไม่ได้อีกแล้ว และคำที่เคยบอกกันไว้ว่า พวกคุณที่ต้องการกฎหมายฉบับนี้มีสักกี่คนเชียวจะถูกพิสูจน์ให้เห็นว่ามีคนต้องการกฎหมายฉบับนี้จริง ๆ 

น่าจะเป็นฉากปิดของการเคลื่อนไหวเรื่องสมรสเท่าเทียมของพวกเราอย่างเป็นทางการ หลังจากนี้พวกเราทำหน้าที่ของเราเสร็จแล้ว หลังจากนี้เป็นหน้าที่ของคู่รักแต่ละคู่ที่คุณจะใช้ชีวิตและพิสูจน์ให้สังคมเห็นว่าความรักของเรามันเกิดขึ้นได้ เกิดขึ้นจริง”

“เราคิดว่าหน้าที่ต่อไปเป็นหน้าที่ของคู่รักแต่ละคู่แล้ว”

วาดดาว-อรรณว์ ชุมาพร, บางกอก ไพรด์, Bangkok Pride

สิ่งที่มาพร้อมกับการเคลื่อนไหวนี้ คือ การต่อสู้เพื่อความเท่าเทียมในสังคม ที่ไม่เพียงแค่เป็นการเปลี่ยนแปลงในกฎหมาย แต่ยังเป็นการสร้างความเข้าใจให้กับผู้คนในสังคมทั้งหมด ว่า “ทุกคนมีสิทธิในความรักและการเลือกครอบครัวของตัวเองอย่างเสรี”

จากความยากลำบากและการต่อสู้ที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด แต่ท้ายที่สุด ความสำเร็จที่เกิดขึ้นทำให้เห็นว่าความเท่าเทียมไม่ใช่แค่ความฝัน แต่มันคือสิ่งที่สามารถทำให้เกิดขึ้นจริง และวันนี้เรากำลังยืนอยู่บนจุดที่ได้เห็นผลลัพธ์จากความพยายามเหล่านั้น

พฤหัสบดีที่ 23 มกราคม พุทธศักราช 2568
กฎหมายสมรสเท่าเทียมมีผลบังคับใช้ครั้งแรก
นั่นไม่ได้แค่หมายถึงคนที่รักกันสองคนจะสามารถจดทะเบียนสมรสกันได้
แต่ยังหมายถึงหมุดหมายอันดีงาม
ที่บอกกล่าวด้วยกฎหมายว่า คน=คน
อย่างสมศักดิ์ศรี

CREATED BY

ทะเล จำปี ดนตรี ทราย และ ฉัน