ในฐานะแฟนรายการเกมโชว์เดนตายคนหนึ่ง เราหวังอย่างยิ่งให้สล็อตรายการโทรทัศน์ยุคนี้กลับมามีรายการประเภทนี้ให้ดูอีกเยอะ ๆ เพราะเราเชื่อว่าเกมโชว์คือสีสันของความสนุกที่ถูกสะท้อนผ่านเกมการแข่งขัน และความครีเอทีฟในกติกา รวมถึงภาพลักษณ์ที่ทำให้เราเห็นผ่านหน้าตาของรายการที่ออนแอร์ไปบนหน้าจอ
แต่ในทางกลับกัน นับวันรายการประเภทนี้ดูจะกลายเป็นเนื้อหาที่ถูกลืมไปบนหน้าจอทีวีเสียแล้ว แม้เราจะเห็นเนื้อหาประเภทเกมโชว์กลายไปเป็นคอนเทนต์บนช่องทางออนไลน์มากมาย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้อยู่ดีว่าความยิ่งใหญ่ ความแกรนด์ และความทุ่มทุนนั้นต่างกันพอสมควร
ถึงอย่างนั้นก็ยังพอมีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ เมื่อจู่ ๆ ก็มีรายการตอบคำถามที่ชื่อ ‘Genwit อัจฉริยะพันธุ์ใหม่’ เกิดขึ้นมาท่านกลางสมรภูมิรายการโชว์ประกวดร้องเพลงที่ค่อย ๆ ซาลงตามกระแส และสมรภูมิการแข่งขันในช่วงโค้งสุดท้ายของทีวีดิจิทัล
‘Workpoint Entertainment’ จึงเข็นรายการนี้ออกมาบนโจทย์สุดหินจากผู้สนับสนุนรายการหลักอย่างเครือบางจาก ที่ต้องทำให้คนดูทีวียุคนี้อยากดู นั่นคือรายการควิซโชว์ตอบคำถามความรู้เกี่ยวกับ STEM ศึกษา โดยมีผู้เข้าแข่งขันเป็นทีมนักเรียนจากโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ ซึ่งจะต้องทำให้รายการสนุก เข้าใจง่าย เกลียดคณิตศาสตร์หรือวิทยาศาสตร์ก็ยังดูรู้เรื่อง แต่ต้องไม่ทิ้งความยากในตัวคำถามที่ต้องทำให้หัวกะทิจากทุกโรงเรียนได้คิด วิเคราะห์ ผ่านการแข่งขันกันได้อย่างสมน้ำสมเนื้อที่สุด
เป็นเราถ้าเจอโจทย์ในการสร้างสรรค์รายการที่ยากขนาดนี้คงท้อไปแล้ว แต่สำหรับทีมผู้ผลิตรายการ นี่คือความท้าทายที่พวกเขาพร้อมเผชิญ จนทำให้รายการนี้สะท้อนภาพความเจริญงอกงามครั้งใหม่ของรายการแนวควิซโชว์ รูปแบบรายการที่ขายยากที่สุดบนหน้าจอทีวีไทยในขณะนี้
วันนี้ SUM UP เดินทางมาพูดคุยกับตัวแทนทีมผู้ผลิตรายการอย่าง ‘เอ๋ย-ปรวีร์ ศรีอำพันพฤกษ์’ Creative Group Head ประจำรายการ และผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายผลิตรายการของ Workpoint, ‘เจมส์-ภัคพล แซมเพ็ชร’ Creative ประจำรายการ และ ‘นัท-ศิรณัฐ ชัยชนะ Creative ประจำรายการ ถึงที่ไปที่มาในการได้มาทำรายการนี้ของพวกเขา และมุมมองต่อรายการแนวควิซโชว์ในยุคนี้ของประเทศไทยกัน ว่าจากความยากของโจทย์ที่ตั้งต้นมา กลายเป็นรายการทีวีขวัญใจคนดูยุคนี้ได้อย่างไร

ก่อนจะเป็นกลุ่มผู้สร้างสรรค์รายการ ‘Genwit อัจฉริยะพันธุ์ใหม่’
รีแคปสักนิดนึงว่าแต่ละคนเคยผ่านการทำรายการอะไรมาบ้างใน Workpoint
คุณเอ๋ย: “ถ้าในฐานะ Creative รายการแรกที่เราทำเมื่อเข้ามาอยู่ Workpoint คือแฟนพันธุ์แท้ประมาณปี 2007-2008 ปีที่เปลี่ยนจาก ‘ปัญญา นิรันดร์กุล’ มาเป็น ‘แทนคุณ จิตต์อิสระ’ หรือ ‘เอก ฮิมสกุล’ ตอนที่เรายังเป็นเด็ก เราคือแฟนรายการนี้ ตอนสัมภาษณ์งานก็บอกว่าอยากทำรายการแฟนพันธุ์แท้ แล้วพอได้มาทำเขาก็ให้มาทดลอง เห็นว่าทำได้ก็เลยให้ทำจริง”
ในฐานะคนที่ทำเบื้องหลังรายการ คิดยังไงที่คนดูมักนิยามว่าทีมงานรายการนี้ชอบคิดคำถามแบบโรคจิต
คุณเอ๋ย: “พอคนดูบอกว่าทีมงานโรคจิต ความรู้สึกของทีมงานก็คือภูมิใจ (หัวเราะและปรบมือชอบใจ) ถือว่าเป็นคำชมค่ะแล้วเวลาทำ Genwit ก็จะมีคนมา Comment ว่าคำถามโรคจิตคนคิดเป็นทีมงานแฟนพันธุ์แท้หรือเปล่า ก็นั่งมองหน้ากับเจมส์ เพราะเจมส์ก็ทำ ‘แฟนด้อมพันธุ์แท้’ มาด้วยกัน ก็ยิ้มแล้วก็บอกว่าใช่ (หัวเราะ)”
หลังจากนั้นมาได้ดูแลรายการอะไรต่ออีกบ้าง
คุณเอ๋ย: “หลังจากนั้นหลังจากนั้นมาพี่ก็มาทำรายการที่คุณปัญญาเป็นพิธีกรหลังจากพลาดกันมาตอนทำแฟนพันธุ์แท้สุดท้ายก็มาเจอกันอยู่ดี เริ่มจาก ‘ยกสยาม 10 ข้อ’ ช่วงปลาย ๆ แล้ว ตั้งแต่เรายังไม่ได้ทำเต็มตัวจนได้มาทำเต็มตัว แล้วก็มาที่ ‘ราชรถมาเกย’ ที่เราเริ่มต้นตั้งแต่ Day 1 ในวัน Pitching ลูกค้าเหมือนกัน แต่เป็น Creative นะ ก่อนจะมาเป็น Producer ช่วงตอนปลาย ๆ ที่ทำรายการนี้
แล้วก็มาทำ ‘ปริศนาฟ้าแลบ’ อยู่กันไป 4-5 ปี ระหว่างนั้นก็มี ‘ฟ้าแลบเด็ก’ แล้วก็ ‘หัวหน้าห้าขวบ’ แล้วก็ขึ้นมาเป็น Group Head ก่อนที่ปริศนาฟ้าแลบจะเปลี่ยนเป็น ‘กล่องของขวัญ’ พัฒนามาเป็น ‘ปัญญาปันสุข’ และ ‘ปัญญาตลาดแตก’ ก่อนกลับมาเป็นปัญญาปันสุขเหมือนเดิม มันคือแถบรายการ 5 วันของ Workpoint ที่คุณปัญญาเป็นพิธีกร แล้วก็มี ‘แฟนด้อมพันธุ์แท้’”

ความยากง่ายในการทำรายการของช่อง Workpoint เอง เหมือนหรือแตกต่างจากตอนทำให้ช่องฟรีทีวีอย่างไรบ้าง
คุณเอ๋ย: “เหมือนเดิมเลยวิธีการทำงาน แต่อย่างปริศนาฟ้าแลบ เรามองว่าเป็นรายการที่ท้าทายกว่าเดิม เพราะเรารู้ว่านี่จะเป็น 1 ใน 3-4 รายการเปิดช่อง Workpoint หนึ่งในนั้นคือ ‘ไมค์ทองคำ’ แต่ปริศนาฟ้าแลบมันมีการแก้ไขหลายรอบเลยกว่าจะมา ทำให้ออกอากาศช้ากว่ารายการอื่น ๆ อย่างไมค์ทองคำประมาณ 1-2 เดือน ปริศนาฟ้าแลบมาตอนเดือนมิถุนายน แต่สถานีเริ่มตอนเดือนเมษายน
เรารู้ว่านี่เป็นรายการเปิดช่อง และเป็นรายการที่คุณปัญญากลับมาเป็นพิธีกรเอง มันเหมือนตอนนั้นพี่ตาหายไปจากทีวีสักพักหนึ่งแล้ว เพราะจำได้ว่าสปอตตัวแรกใช้คำว่า “นี่คือการกลับมาของเจ้าพ่อเกมโชว์” พอมันกลับมาเป็นรายการ Quiz Show แบบปริศนาฟ้าแลบ และเป็นรายการเปิดช่อง Workpoint พูดถึงรายการของบริษัทยังไงก็ต้องนึกถึงคุณปัญญา ซึ่งหลังจากการลอง Demo รายการมาหลายรอบ เราก็ยิ่งเห็นว่าสุดท้ายรายการนี้ต้องเป็นเขาคนเดียวที่เอาอยู่”
คุณนัท: “ผมมาทันรายการนี้ในช่วงท้าย ๆ ก่อนหน้านั้นในฐานะคนดู ความรู้สึกแรกคือรายการนี้มันแปลกใหม่ คิดว่าคำถามเหล่านี้มันคงไม่มีใครเอามาทำรายการ มันเป็นคำถามที่เหมือนเราเล่นมุกกับเพื่อนมากกว่า
พอได้มาทำก็รู้สึกว่ามันคือการเล่นกับธรรมชาติ ไม่ต้องปรุงแต่งเยอะ ด้วยตัววัตถุดิบที่มันดีอยู่แล้วคือ ‘คำถาม’ กับ ‘คน’ผู้เล่นเขาไม่ต้อง Acting อะไรกับเรามากมาย เขาแค่ไหลไปตามธรรมชาติของคำถามที่ชวนให้เขามึนงงในช่วงเวลากดดัน มันเลยกลายเป็นความสนุกที่ลื่นไหลแบบไม่ต้องพยายาม มันเป็น Concept Quiz Show ที่ร่วมสมัยได้ดีมาก ๆ ในมุมมองของผม”

จุดนี้น่าสนใจ เหมือนกับที่ ‘แฟนพันธุ์แท้’ กลับมากลายร่างในฐานะ ‘แฟนด้อมพันธุ์แท้’ ที่ลดความเครียด กดดันลง กลายเป็น Quiz Show แบบ Fan Service ที่เหมาะในยุคนี้ด้วย อยากรู้ว่า Era ใหม่ของรายการแนวนี้ของ Workpoint มีลีลาเป็นแบบไหน
คุณเอ๋ย: “มันคือ Quiz Show ที่เกิดขึ้นเพื่อยุคนี้เท่านั้น เกิดเร็วกว่านี้ก็ไม่ดี ช้ากว่านี้ก็ไม่ได้ เอาจริง ๆ ถ้าย้อนกลับไปในรายการแฟนพันธุ์แท้ เมื่อสมัย 20 กว่าปีที่แล้ว มันก็คือการเอา Fanclub มาตอบคำถามนั่นแหละ ซึ่งมันเป็นคำใหม่ของยุคนั้น เหมือนกับที่ Fandom เป็นคำใหม่ของยุคนี้
กลับมาที่ยุคนี้ เราก็มองว่าถ้าเราจะเอารายการแฟนพันธุ์แท้กลับมา มันน่าจะกลับมาด้วยหน้าตาแบบไหน ปรึกษากับผู้ใหญ่แล้วก็เกิดไอเดียขึ้นมาว่ายุคนี้ความเป็น Fandom ของศิลปินมันหนาแน่นกันมาก พี่จิก (ประภาส ชลศรานนท์) ก็บอกว่าทำไมเราไม่ลองทำ เขาเป็นผู้ให้กำเนิดรายการนี้ ก็ยังเป็นต้นกำเนิดไอเดียของรายการนี้ด้วย
แล้วในที่ประชุมก็มีคนเสนอชื่อ ‘แฟนด้อมพันธุ์แท้’ มา เราก็ เฮ้ย! พอชื่อนี้ขึ้นมา ภาพในหัวมันมาหมดเลย เรารู้เลยว่าแฟนพันธุ์แท้รอบนี้มันจะไม่ได้กลับมาแบบเครียด ซีเรียส จริงจัง เพราะเนื้อเรื่องก็เป็นแฟนด้อม แล้วการแข่งขันในรายการก็ยังคงเข้มข้นเหมือนเดิม เพียงแต่คลุมรายการด้วยบรรยากาศที่อยากให้เหมือนงาน Fanmeet
ศิลปินก็จะไม่ได้เอาไปซ่อนอยู่หลังเวที แล้วค่อยออกมาเซอร์ไพรส์ช่วงท้ายรายการเหมือนเดิม เดี๋ยวนี้ไม่มีใครเขาเซอร์ไพรส์เรื่องแบบนี้แล้ว เพราะรู้ว่ายังไงก็มา ถ้ามาก็มาเลย มาอยู่ในรายการด้วยกันเลย มานั่งให้กรี๊ด มานั่งให้เขินกันตั้งแต่ต้นรายการ เพื่อให้ทุกคนได้ React กัน ได้จับมงจับมือ ได้อยู่ใกล้ ได้เล่นมุกกันกับศิลปินที่เราชอบตั้งแต่ตรงนั้นตลอด 2-3 ชั่วโมงที่ถ่ายรายการ มันต้องตามยุคสมัย มันต้องไปด้วยกัน”
คุณเจมส์: “ผมมองว่าคำว่า ‘แฟนด้อม’ ดูเหมาะกับยุคนี้ดี เพราะว่าแฟนคลับเองก็อยากมีโอกาสใกล้ชิดศิลปินที่สุด โอเค มันมีงาน Fanmeet ที่ศิลปินเขาจัดไป หรือบางคอนเสิร์ตเขามีการเปิดโอกาสให้คนขึ้นไปอยู่ใกล้ ๆ ศิลปินบนเวทีตามราคาบัตรด้วย เราก็ขยายต่อจากจุดนี้แหละ คือจุดที่ศิลปินมีชื่อเสียง และมีแฟนคลับที่ชื่นชอบ ‘แฟนด้อมพันธุ์แท้’ เลยเป็นตรงกลางที่จะทำให้ 2 สิ่งนี้เชื่อมโยงกัน
เราเชื่อว่าแฟนคลับเขาอยากเจอศิลปินแน่ ๆ แต่เราก็ไม่เคยเห็นเลยว่าในมุมศิลปินเขาจะรู้สึกยังไงเมื่อเขาต้องมาอยู่ร่วมหรือเผชิญหน้ากับแฟนคลับที่รู้ชีวิตเขาลึกกว่าเขาเองด้วยซ้ำจริง ๆ ซึ่งภาพนี้ก็จะเกิดขึ้นในรายการเรา ไม่ว่าจะหัวข้อไหนที่ถ่ายทำไป
ส่วนตัวคำถามเองที่ผู้คนที่ชื่นชอบรายการแฟนพันธุ์แท้ตอนเก่า ๆ จะรู้สึกว่าความขลังหรือความขึ้นหิ้งของมันไม่เท่าเดิม มันต้องยาก มันต้องลึก หรือคนอื่นบนโลกนี้มันต้องตอบไม่ได้ ต้องมีแต่สุดยอดแฟนพันธุ์แท้คนเดียวที่ตอบได้ ภาพนั้นเราก็ยังอยากได้อยู่ แต่พอมันมาอยู่ในรายการแฟนด้อมพันธุ์แท้ เรารู้อยู่แก่ใจว่าแฟน ๆ ทุกคนรู้สิ่งนี้ใกล้ ๆ กัน จากความชื่นชอบที่มีใกล้เคียงกันอยู่แล้วแหละ เพียงแค่ว่าพอมันอยู่ในเกมก็ต้องหาผู้ชนะ
แต่สุดท้ายสิ่งที่เราอยากเล่าจริง ๆ เราไม่ได้อยากเล่าว่าคนนี้เก่งคนเดียว คนที่มาในรายการทุกคนทั้งผู้เข้าแข่งขันหรือคนดูในรายการก็ตาม เขามาเพื่อส่งพลังบวกให้กับศิลปิน และศิลปินก็ส่งพลังบวกให้กับแฟน ๆ เป็นการแชร์ความรู้สึกดี ๆ ร่วมกันมากกว่า ตัวคำถามก็เลยอาจดูไม่ได้ลงลึกขนาดนั้น แต่เน้นไปทางแง่มุมความประทับใจเป็นส่วนสำคัญ ยิ่งเวลาเขาอยู่ร่วมกันข้างหน้า พวกเขาดูสนิทกันมาก ๆ จนแบบ ไม่ว่าใครก็เป็นคนชนะได้กันหมดเลยด้วยซ้ำ เพราะพวกเขาแค่อยากมาแสดงความรักต่อศิลปินของเขาร่วมกันเท่านั้นเอง”

ที่มาที่ไปของรายการ ‘Genwit อัจฉริยะพันธุ์ใหม่’
แล้วจุดเริ่มต้นของรายการจริง ๆ มาจากไหน
คุณเอ๋ย: “จริง ๆ ไอเดียตั้งต้นเกิดจากทางบางจาก ถ้าได้เห็นในงานแถลงข่าวก็จะได้คำตอบนี้เลยว่าบางจากมีไอเดียขึ้นมาก่อนว่าเขาอยากทำรายการ Quiz Show สำหรับเด็ก ม.ปลาย สายสะเต็มศึกษาเลย (STEM ย่อมาจาก Science, Technology, Engineering และ Mathematic – ผู้เขียน) เนื่องจากว่าทางผู้บริหารบางจากเขาอยากเห็นรายการสไตล์นี้กลับมาสู่หน้าจอทีวีอีกครั้งหนึ่ง แล้วเขาก็อยากสนับสนุนเรื่องการศึกษาสาย STEM อยู่แล้ว
จากนั้นก็ถูกส่งตรงมาที่ Workpoint เลยเพราะเขาก็เลยเห็นว่าเราก็เป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้ ทำรายการแนว Edutainment มาอยู่แล้วคือเป้าหมายเขาก็อยากให้มีเด็กๆเข้ามาเรียนด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีแล้วก็ STEM มากขึ้น เพราะมันเป็นสาขาวิชาที่พัฒนาชาติได้ แต่เด็ก ๆ เดี๋ยวนี้อาจจะไปสนใจเรียนในสายการเรียนอื่นมากกว่า หรืออาจจะมองไม่เห็นแล้วว่าการเรียน STEM ไปแล้วได้อะไร เอาไปใช้งานอะไรได้บ้าง
โจทย์นี้ส่งมาที่ทีมพี่นี่แหละ ว่าต้องคิดรูปแบบรายการนี้แต่ก็ต้องนำไปเสนอกับทางบางจากซึ่งก็มีการ Presentation มีการ Pitching อะไรอย่างนี้กว่าจะได้มาเป็นรายการขึ้นมาจริง ๆ”

คิดว่าทำไมรายการแนว Quiz Show ระดับมัธยมศึกษาถึงมีโอกาสกลับมาได้ทำอีกครั้งในยุคนี้
คุณเอ๋ย: “อื้อหือ.. เออ แต่พอมาสังเกตอีกที รายการตอบปัญหามัธยมศึกษามักจะตามมาด้วยชื่อสปอนเซอร์ห้อยมาเสมอ ทุกอันเลย จะมีชื่อสินค้าตามมาที่มันทำให้เห็นว่าหน่วยงานนั้นให้การสนับสนุนเรื่องการศึกษาด้วยนะ
เราว่าส่วนหนึ่งที่มันจางหายไปเพราะ Trend ของรายการยุคนี้ด้วย รวมถึงวงการทีวีเองก็ไม่ได้บูมเท่ากับเมื่อ 20-30 ปีที่แล้ว ก็เลยค่อย ๆ หายไป ทำอะไรมันต้องมีคนสนับสนุน อย่าง ‘วิทยสัประยุทธ์’ เองก็ต้องได้รับการสนับสนุนระหว่าง Workpoint กับ สสวท. มันต้องมีการร่วมมือกันระหว่าง 2 องค์กร จะเกิดขึ้นมาเลยด้วยการที่บริษัท ๆ หนึ่งอยากผลิตขึ้นมาเลยมีน้อยมาก เราเองยังนึกไม่ค่อยออกเลยว่ามีมั้ย
ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล หรือเอกชน รายการแบบนี้มันต้องมีคนสนับสนุน ซึ่งไอเดียของแนวทางแบบนี้ถามว่าดีไหม มันก็ไม่ดีหรอก มันควรเป็นเหมือนรายการประกวดร้องเพลง หรือรายการอะไรทั่วไปที่เราอยากทำแล้วเราก็ได้ทำเลย แต่เราต้องเข้าใจว่ารายการแบบนี้มันเฉพาะกลุ่มมาก ๆ ในการเรื่องการศึกษา วิชาการ การที่คนจะมาสนใจทันทีเลยก็เป็นเรื่องยากอยู่แล้ว”
คุณนัท: “คิดว่าจริง ๆ มันมีโอกาสกลับมาได้หมดครับ แต่สำหรับรายการนี้ส่วนหนึ่งน่าจะเพราะมันหายไปนานด้วย ผมคิดว่าการที่สิ่งที่หายไปนานกลับมาได้จะมีความใหม่ในตัวของมันอยู่ อาจจะมีคนที่คิดถึง คนที่ไม่เคยเห็น อันนี้เป็นโอกาสที่มันน่าจะกลับมาแล้วมีคนดูแน่ ๆ
แล้วก็คิดว่าสิ่งที่ทำให้มันน่าสนใจในการกลับมาในยุคนี้ก็คือตัวของ ‘เด็ก’ ที่พัฒนาจากยุคก่อน ๆมาจนถึงตอนนี้ เด็กสมัยก่อนก็จะเป็นอีกสไตล์หนึ่ง เด็กในยุคนี้ก็จะเป็นอีกสไตล์หนึ่ง ถึงแม้คำถามหรือความรู้มันยังเป็นพื้นฐานรูปแบบเดิมอยู่ แต่วิธีการ Present หรือนำเสนอในเนื้อหาผ่านตัวคนที่ร่วมรายการก็จะมีท่าทีใหม่ ๆ ที่ทำให้รายการน่าสนใจมากขึ้นได้ด้วย”
คุณเจมส์: “ย้อนกลับไปโจทย์ของบางจากนั่นแหละ ตอนแรกที่ได้โจทย์มาเราในฐานะคนทำทีวี เราก็ตกใจนะว่าในยุคนี้ยังมีคนอยากทำรายการวิชาการออกทีวีจริง ๆ หรือ เพราะถ้าว่ากันตามตรง รายการแบบนี้มันขายยาก และมันก็ยากที่จะคาดหวังให้คนมาดู แต่ว่าพอโจทย์มันมา โอเคแหละ บางจากจุดมุ่งหมายที่เขาต้องการ ตัว Workpoint เองก็มีวิธีการเก่า ๆ ที่เคยทำมา แม้ว่ามันจะนานมากแล้วก็ตาม
เราก็เลยพยายามผสมกัน แต่เราทำแบบเดิมไม่ได้ เลยพยายามปรับวิธีที่ทำให้คนดูเห็นว่า Genwit มันคือรายการ Quiz Show วิทยาศาสตร์ก็จริง แต่เราไม่ได้นำเสนอในแบบเดิม ๆ ในขั้นการเตรียมงาน หรือว่าในขั้นการ Pitching รายการ เราก็พยายามตีโจทย์ผ่านวิธีการนำเสนอใหม่ ๆ ให้มันดูแตกต่างจากยุคเก่า เพื่อที่อย่างน้อยถ้าเราทำสิ่งนี้ในยุคนี้มันต้องมีความใหม่ ซึ่งโชคดีที่ในท้ายที่สุด ‘Genwit’ มันก็มีวิธีการเล่าที่ต่างออกไป และก็โชคดีที่คนดูก็ตอบรับด้วยเช่นกันครับ”
คุณเอ๋ย: “เสริมจากที่นัทเล่าเรื่องผู้เข้าแข่งขัน ความหมายของนัทคือเด็กยุคนี้ตรงมากับการมีสื่อเป็นของตัวเอง มีช่อง YouTube มี TikTok มี Social Media เขาจะมีความกล้าแสดงออกมากกว่าเด็กสมัยก่อน ถึงจะเป็นเด็กเรียนดีในระดับโอลิมปิกวิชาการหรืออะไรก็ตาม เด็ก ๆ เหล่านี้ก็แทบจะไม่ใช่เด็กที่พูดกับใครไม่รู้เรื่อง ไม่ใช่เด็กเนิร์ดที่ตอบปัญหาแบบที่พิธีกรถามคำตอบคำ เด็กยุคนี้เด็กเขาเป็นมากกว่านั้น
มันก็เลยเป็นที่มาที่ทำให้พอเราคิดเกมการแข่งขันมา แล้วเราเจอเด็กที่มันมีลักษณะกล้าแสดงออกแบบนั้นจริง ๆ ทั้งเก่งในแต่ละด้าน และเก่งในด้าน Presentation ด้วย มันก็เลยทำให้รายการมันมีความกลมกล่อมไปได้”


คิดว่าส่วนผสมของกลิ่นอายความเป็นรายการนี้ คือรายการไหนของเวิร์คพอยท์บ้าง
คุณเอ๋ย: “อย่างแรกเลยแฟนพันธุ์แท้, อัจฉริยะข้ามคืนแล้วก็จะอาจจะบวกกับบางรายการที่ไม่ใช่รายการของ Workpoint คือรายการแข่งทำอาหาร”
คุณนัท: “หลัก ๆ เหมือนพี่เอ๋ยครับ แฟนพันธุ์แท้กับอัจฉริยะข้ามคืน ถ้าจะเสริมผมรู้สึกว่ามันมีความเป็นชิงร้อยชิงล้านหน่อย ๆ มีความเหมือนแก๊งสามช่าเล่นละครอะไรแบบนี้ คือมีความวาไรตี้อยู่ในรายการแนว Quiz Show ที่มันไม่ได้เป็นแค่ตอบคำถามอย่างเดียว แต่มันมีความหลากหลายอยู่ในตัวรายการด้วย มีการวิ่งไปวิ่งมา กึ่ง ๆ เล่นเกมบ้าง ตามหาข้อมูลนู่นนี่นั่น ซึ่งไม่ได้แค่อยู่กับที่”
คุณเจมส์: “เหมือนกันเลย ภาพในหัวเราคือรายการอัจฉริยะข้ามคืน เพราะชื่อนำหน้ามาก็อัจฉริยะเหมือนกัน แล้วก็มีกลิ่นอายรายการถอดรหัสในห้องอย่างตู้ซ่อนเงินด้วย หรือแม้แต่ความเป็น Game Room ก็มี คือเราจะเห็นว่ารายการ ‘Genwit อัจฉริยะพันธุ์ใหม่’ มันแข่งกัน 4 รอบ รอบ 16 ทีม, 8 ทีม, 4 ทีม แล้วก็รอบชิงชนะเลิศ กติกาเปลี่ยนทุกรอบเลยนะ เพราะว่าพอมีความเป็น Quiz Show ก็จริง แต่เราก็อยากให้มีความเป็น Game Show อยู่ด้วย”
คุณเอ๋ย: “ใช่ ๆ เหมือนที่เด็กแซวเราว่าเหมือนรายการวาไรตี้โชว์ ซึ่งก็ใช่”
คุณนัท: “เพราะฉะนั้นมันมีส่วนผสมของความเป็นเกมด้วยส่วนหนึ่ง แล้วน้อง ๆ ที่มีแข่งก็ไม่ใช่แค่มาเอาชนะโจทย์ในเชิงวิชาการ แต่ต้องเอาชนะวิธีการที่ถูกเล่าผ่านเกมด้วย หรือว่าวิธีการเล่นการ์ด การใช้กล่องสุ่ม ซึ่งรายการนี้ก็มีสิ่งเหล่านี้ผสมอยู่เหมือนกัน”


ภาพจาก Today Play
ฉะนั้นจุดร่วมของกลิ่นอายความเป็น ‘อัจฉริยะข้ามคืน’ คือแก่นหลักที่อยากให้คนนึกตามได้แบบง่าย ๆ หรือเปล่า ในวิธีคิดการทำรายการนี้
คุณเอ๋ย: “สำหรับเราก่อนนะ เราว่าไม่ เพราะรู้ว่าถ้าจะทำรายการใหม่ เราจะต้องไม่ไปยึดกับของเก่าเลย แม้กระทั่ง ‘วิทยสัประยุทธ์’ ที่เป็นรายการคล้าย ๆ กัน เด็ก ม.ปลาย ปัญหาวิทยาศาสตร์เข้มข้น ก็ไม่ได้คิดถึงอันนั้นเลย หรืออัจฉริยะข้ามคืน ก็ไม่กล้าจะเอาตัวเองไปเทียบกับเขาด้วยซ้ำ
วันที่พี่จิกเสนอชื่อว่ารายการนี้ควรชื่อว่า ‘อัจฉริยะพันธุ์ใหม่’ เรายังคิดอยู่เลยว่าคนเขาจะคิดว่ารายการนี้คือตระกูลเดียวกันกับ ‘อัจฉริยะฯ’ หรือเปล่าเหมือนตระกูล ‘ไมค์’ ไมค์ทองคำ ไมค์นู่นไมค์นี่ คนเขาจะเทียบเรากับรายการนั้นหรือเปล่าวะ รายการเราจะทำได้ขนาดนั้นหรือเปล่าเพราะตอนเด็กเราก็ดูรายการนั้นมา แล้วก็รู้สึกว่ามันสุดยอดมากเลย
สุดท้ายแล้วมันก็ไม่ใช่แก่นแกนหลักของรายการนี้ เพียงแต่มันจะมีบางส่วนที่ทำไปทำมา อ้าว เหมือนซะอย่างงั้น อย่างแฟนพันธุ์แท้ พี่ก็ไม่ได้ตั้งธงมาตั้งแต่แรกว่าจะทำท่าทีเหมือนรายการนั้น แต่ทำไปทำมา ปรับกันใหม่ปรับกันมานู่นนี่นั่น อุ๊ย! ทำไมมันเหมือนกันนะ มันมีโครงสร้างบางอย่างที่คล้ายคลึงกัน
แล้วอีกอย่างก็คือ 2 รายการนี้เป็นของ Workpoint ถ้าเราจะไปซ้ำกับรายการใครก็ควรซ้ำกับรายการตัวเองที่เป็นรายการครูของเราสักรายการ แต่เราก็พยายามหนีไปแหละ ซึ่งการนึกไปถึงรายการเก่า ๆ ถามว่าดีไหม เราว่าดี เพราะคนก็จะได้คิดว่านี่แหละคือรายการแบบ Workpoint”
คุณนัท: “ผมว่าเราเหมือนแค่หยิบสิ่งที่เหมาะจะเอามาใช้ได้กับรายการนี้มากกว่า เช่น รูปแบบการวางว่าช่วงแรกอาจจะต้องรวดเร็วเพื่อดึงให้คนดูให้ติดตาม เลยเป็นเกมไว ๆ แบบ 3 วินาทีของแฟนพันธุ์แท้ ช่วงที่ 2 อยากให้มันดูวาไรตี้หน่อย อาจจะเป็นเชิง Action หรือว่ามีการละครเข้ามา
โดยรวมมันคือการดึงเอาจุดเด่นของรายการอื่น ๆ มาใส่ในรายการของเรา ไม่ได้ Fix เลยว่ามันจะถอดไอเดียมาจากรายการไหน เพราะว่ารู้สึกว่ายังไงพื้นฐานของเราก็คือรายการ Quiz Show ของเด็กนักเรียน ซึ่งเราต้องทำให้มันใหม่ เพราะว่าภาพเก่าของ Quiz Show เด็กนักเรียน เราก็เอามา 100% ไม่ได้แน่ ๆ เรารู้เลยว่าในยุคนี้มันเล่นเกมแบบนั้นไม่ได้แล้ว มันน่าจะไม่มีคนดู เลยค้นหากันว่าความสนุกแบบไหนของแต่ละรายการที่หยิบมาผสมกันแล้วมันน่าจะลงตัวได้บ้าง”
คุณเจมส์: “แม้ว่าเราอาจจะมีตัวอย่างรายการที่เราพูดถึงอยู่หลายชื่อ แต่ว่ามันไม่ใช่ทุกรายการรวมกันแล้วจะกลายเป็น Genwit ความจริงแล้วจุดเริ่มต้นของรายการนี้มันเริ่มจาก 0 เรากางกระดาษเปล่ากันเลย แล้วมานั่งคิดว่าจะทำอะไรกันกับสิ่งนี้ดี บนโจทย์ของลูกค้าที่โยนมาให้ และจากความอยากทำของตัวเราเองด้วย
เราค่อย ๆ เริ่มปะติดปะต่อจิ๊กซอว์ชิ้นเล็กชิ้นน้อยเพื่อให้ตอบโจทย์ไอเดียแรก คือการให้เด็กมาตอบคำถามสะสมพลังงานกัน มันเป็นไอเดียตั้งต้นที่ Basic แล้วก็ง่ายมาก แต่พอมันมี How-to จากคนที่เคยทำงานผ่านในอดีตมาก่อน มันก็ทำให้ตัวกติกามันค่อย ๆ พัฒนามากขึ้นเรื่อย ๆ ตามแต่ละรอบของรายการที่ผ่านไป จนสุดท้ายรายการนี้ก็มี Format ของตัวเองขึ้นมา”
กว่าจะมาเป็นรายการที่ทุกคนได้ดูกัน ผ่าน Draft มาเยอะขนาดไหนบ้าง
คุณเจมส์: “ถ้าเป็น Format ใหญ่ ๆ มีประมาณ 3-4 Draft ที่เราเตรียมงานกัน ซึ่งทุก Draft ไม่ได้ปรับกันนิดเดียว มันคือการคิดอันใหม่ ๆ ๆ ๆ ล้วน ๆ เลย ชื่อรายการก็ยังมาตอนท้าย ๆ ด้วยซ้ำ อย่างที่บอกว่ามันเริ่มจากกระดาษเปล่า แล้วมาช่วยกันสร้างในระยะเวลาประมาณ 6 เดือน ณ วันที่เราเริ่มคิดสิ่งนี้กัน รายการแฟนด้อมพันธุ์แท้ยังไม่เริ่มออกอากาศเลย มันคือช่วงเดือนกันยายน – ตุลาคมปีที่แล้ว เราเริ่ม Phishing งานนี้ มันค่อนข้างซ้อนงานกันประมาณหนึ่งเลยสำหรับโปรเจกต์นี้”
จุดที่น่าสนใจของรายการนี้ในมุมผู้สร้างสรรค์ที่เห็นมันตั้งแต่เริ่มจนจบคืออะไร
คุณเอ๋ย: “ขอเรียกมันว่าความท้าทายได้มั้ย มันคือความท้าทายทุกจุด อย่างที่คุณบอกเลยว่า Quiz Show มันหายไปนานมากแล้ว แม้กระทั่ง Workpoint เองที่บอกว่าตัวเองเป็นผู้เชี่ยวชาญรายการด้านนี้ก็ยังไม่ได้มีรายการประเภทนี้ออกมาเลยหลายปีมากแล้ว นั่นคือความท้าทายแรก
สองคือเนื้อหามันโคตรเฉพาะกลุ่มเลย ไม่ใช่แค่เป็นการตอบปัญหาวิชาการ แต่เป็นวิชาการทางวิทยาศาสตร์ และเป็นวิทยาศาสตร์ระดับเด็ก ม.ปลายที่แข่งโอลิมปิกวิชาการด้วย คือแบบ โห! มันไม่ใช่การตอบปัญหาความรู้ทั่วไปที่เอามาแข่งกัน มันไม่ใช่เลย
อีกอย่างที่เราเพิ่งรู้หลังจากทำไปได้สักพักก็คือรายการนี้จะออนแอร์ช่วง Prime Time โอ้โห! ตอนได้ยินครั้งแรกว่าเป็นรายการวิทยาศาสตร์ ภาพคือออกอากาศวันเสาร์-อาทิตย์ ตอนบ่าย ๆ เย็น ๆ (หัวเราะ) เพราะเป็นเวลาปกติที่เขาจะให้กับรายการประเภทนี้ แต่กลายเป็นว่าทาง Workpoint ให้ออนแอร์ช่วงเวลานี้ มันเลยยิ่งท้าทายแบบทวีคูณ สเกลมันจะไม่ใช่ภาพแบบรายการวันหยุดตอนเย็นแล้ว ความยิ่งใหญ่ ความลุ้นจะต้องมีมากกว่านั้น และความคาดหวังที่ผู้ชมมีมันจะสูงขึ้นมหาศาล เราต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ตอบโจทย์นั้นให้ได้ดีที่สุด”

การเอาเรื่องวิชาการอย่าง STEM มาผสมกับ Quiz Show มันยากยังไงบ้าง
คุณเจมส์: “เราเรียนสายวิทย์-คณิตมาตั้งแต่เด็ก เรามองว่าวิทยาศาสตร์แบบ STEM มันครอบคลุมการใช้ชีวิตทั่วไปในทุกวันของเรา แต่คนส่วนใหญ่ก็จะมองว่าวิทยาศาสตร์คือเรื่องน่ากลัว นี่คือโจทย์ที่เราเอามาตีต่อ แล้วก็ทำยังไงก็ได้ให้วิทยาศาสตร์กลายเป็นสิ่งน่ารู้ในทุก ๆ วันได้และเข้าถึงมันได้ง่ายขึ้น
แล้วก็ความท้าทายของการผสมผสานความเป็นวิชาการกับ Quiz Show มันคือการทำยังไงก็ได้ให้สามารถเล่าเนื้อหายาก ๆ เอาเด็กที่เก่ง ๆ มาแข่งด้วยนะ แต่ต้องให้คนดูทุกเพศ ทุกวัย ทุกสาขาอาชีพดูแล้วเข้าใจ อินตามไปด้วยได้ นี่คือธงใหญ่ ๆ ของความยากในการทำรายการ
เรื่องวิทยาศาสตร์มันไม่มีทางง่าย มันถูกสร้างขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหาของคนทุกยุคทุกสมัย แล้วมันก็ค่อย ๆ พัฒนาตัวเองให้มันยากขึ้น แต่เราไม่ได้เล่าความยากออกทีวีตรง ๆ เราแค่หาอะไรสักอย่างมาช่วยเล่าในมุมมองที่ผู้คนเข้าใจตามไปได้ และมีเป้าหมายคือทำให้เขารู้สึกว่าสิ่งนี้ใกล้ตัว แล้วเอาไปทำอะไรกับชีวิตต่อได้ต่างหาก”


ภาพจาก Today Play
คุณเอ๋ย: “จริง ๆ เราจะทำให้มันง่ายขึ้นก็ได้นะในแง่ของคำถาม มีคนบอกเราแบบนั้นเหมือนกัน เราก็จะได้ไม่ลำบาก แต่เราจะทำง่ายไปกว่านี้ได้ยังไง เราจะดูถูกผู้เข้าแข่งขันของเราที่เป็นระดับผู้แทนประเทศในเรื่องวิทยาศาสตร์โอลิมปิกนะเว้ย เรารู้ น้อง ๆ อาจารย์รู้ และคนที่เก่งวิทยาศาสตร์รู้ แม้เขาจะไม่ใช่คนส่วนใหญ่ในประเทศ นั่นแหละคือความซับซ้อน และเรารู้วิธีที่จะทำให้คนดูรู้สึกว่าสามารถกลืนสิ่งเหล่านี้เข้าไปได้อย่างง่ายดาย
ความยากของการทำรายการแบบนี้ คือคนทำรายการทุกคนไม่ใช่คนที่จบสายวิทยาศาสตร์เสียส่วนใหญ่ เราพูดเลยว่า 90% ที่ควานหาในบริษัทมาในบริษัทแล้ว (หัวเราะ) ไม่มีใครจบสายวิทย์แต่น้องนัทกับน้องเจมส์จบสายวิทย์มาโดยตรงเลย”
คิดว่าลีลาการย่อยเนื้อหายาก ๆ ในเข้าถึงง่ายของเวิร์คพอยท์เป็นแบบไหน
คุณเอ๋ย: “บอกเลยว่าตอนทำแฟนพันธุ์แท้ยังไม่ยากขนาดนี้ ถึงจะเป็นเรื่องพระเครื่องหรืออะไรก็ตามนะ มันยังเป็นสายสังคมศาสตร์ ถ้าเราเป็นคนมีความเข้าใจหรือทำความเข้าใจกับอะไรได้ไว ๆ บุคลิกหนึ่งของ Creative รายการแฟนพันธุ์แท้คือต้องเป็นคนอินง่าย และเข้าใจกับทุกเรื่องได้อย่างว่องไว ไม่ว่าเรื่องนั้นจะเป็นเรื่องศิลปินหรือเรื่องแบบไหนก็ตาม
แต่ความยากของ Genwit มันมากไปกว่านั้น เพราะถ้าเราไม่ได้จบสายวิทย์มา เราจะไม่มีทางเข้าใจมันได้อย่างถ่องแท้เลย ไม่อย่างนั้นเราคงเลือกเข้าเรียนมันตั้งแต่ ม.ปลายแล้วล่ะ นั่นคือความยากในมุมมองของเรา
รวมถึงรายการนี้ต้องเป๊ะทุกคนเลย ตั้งแต่ Pre Production ไปถึง Post Production การตัดต่อ ใส่ CG คนทำงานทุกคนไม่ได้มีใครเข้าใจมันจริง ๆ กันหมด (หัวเราะ) มีคนเข้าใจมันจริง ๆ น้อยมากความยากเลยเต็มไปหมด อย่างขั้นตอนก่อนถ่ายทำที่ต้องไปสั่งทำ Prop มันต้องดูกันละเอียด ไม่สามารถฝากให้ใครดูแทนได้ หรืองาน Post Production จะทำ CG ก็ต้องละเอียดมากเพราะหากสมการผิดแค่ 1 สัญลักษณ์หรือตัวเลขผิดไปแม้แต่ตัวเดียว เคาะเว้นวรรคผิดก็ไม่ได้เลย เพราะมันมีคนที่เขารู้
ไหนจะอุปกรณ์ที่ใช้แข่ง ปริมาณน้ำ ภาชนะ อุปกรณ์ชั่ง ตวง วัดต่าง ๆ ของที่ให้ยืมในห้องแลป เอกสารต่าง ๆ ที่มีอยู่ในนั้นข้อมูลถูกต้องมั้ย สะกดถูกหรือเปล่า ตัวเลขถูกไหม เพราะทุกอย่างมันเป็นตัวแปรที่ทำให้เกิดความผิดพลาดได้ในทุกโจทย์”

ทำไมใน Draft สุดท้ายที่เราได้ดูถึงมี 4 รอบการแข่งขัน
คุณเอ๋ย: “จริง ๆ ก็คิดง่าย ๆ ด้วยระยะเวลารายการประมาณนี้ 1 ชั่วโมงถึง 1 ชั่วโมงครึ่ง มันจะถูกแบ่งออกเป็น 4 เบรกอยู่แล้วด้วย งั้นทำเกมให้เล่นกัน 4 รอบเลยแล้วกัน ประมาณนี้ก่อน หลังจากนั้นก็ค่อยคิดลงไปในรายละเอียดว่าในแต่ละเบรกจะทำอะไรบ้าง”
คุณนัท: “เราต้องพยายามวางให้มันรู้สึกว่าก็ไล่ลำดับความสนุกไป อันแรกอยากให้คนดูรู้สึกไม่เอื่อย รู้สึกไปไว ถามไว ตอบไว ให้คนรู้สึกอยากติดตาม ให้เขาเห็นอะไรเยอะ ๆ ก่อน จนรู้สึกว่ารายการนี้มันมีอะไรเยอะ เลยกลายเป็น ‘Speedy Quiz’ เกมตอบคำถาม 3 วินาที ที่ผู้เล่นทุกคนจะต้องตอบคำถามแบบต่างคนต่างเล่น เพื่อให้คนดูเห็นคาแรกเตอร์ของแต่ละคนก่อน สมมติเราให้เกมแรกทุกคนช่วยกัน มันก็อาจจะดูปรือ ๆ แล้วอาจจะมีคนช่วยกันเล่นสัก 3 คนและอีก 1 คนยืนเป็นตัวประกอบแบบนี้หรือเปล่า เกมแรกก็จึงให้ทุกคนมีส่วนร่วมหมดแบบจริง ๆ จัง ๆ เลย”
คุณเจมส์: “ความจริงการคิดเกมทั้ง 4 รอบมันมาจากจุดเริ่มต้นจากสิ่งที่เราเรียกว่า ‘Energy’ คือระบบการคิดคะแนนของรายการ มันเป็นเหตุที่มาของความคิดสร้างสรรค์ในการออกแบบเกมว่าในแต่ละรอบ เราจะเลือกอะไรมาเล่นกัน จะเห็นว่าสิ่งที่เป็นแกนหรือเป็นเส้นเวลาของรายการมันคือ Energy นี่แหละ เกมแรกให้สะสม เกมที่ 2 และ 3 ให้แบ่งมาใช้ ส่วนเกมสุดท้ายถือเป็นโบนัสของทีมที่บริหารเวลาได้ดีจนเหลืออยู่แปลงมาเป็นเงินให้กับทีมตัวเอง”

เหตุผลที่พิธีกรเป็น ‘กันต์ กันตถาวร’ คืออะไร
คุณเอ๋ย: “หนึ่งคือเราต้องการพิธีกรที่มีทักษะทางการทำงานรายการ Quiz Show มาก่อน รายการนี้มันยากในแง่เนื้อหาอยู่แล้ว ผู้เข้าแข่งขันก็เยอะ เป็นเด็กที่ไม่เคยออกทีวี ไม่ใช่ดารา ถ้าผู้เข้าแข่งขันเป็นดารา การทำงานของตัวพิธีกรอาจจะง่ายกว่านี้เพราะเขาจะรู้จังหวะจะโคนกัน มีม้งมีมุก ไม่ต้องมาดึง Energy น้อง ๆ เพื่อให้คนนั้นตอบ คนนี้พูด ฝั่งนี้ Boost พลังเพิ่มหน่อยอะไรทำนองนั้น
ส่วนคาแรคเตอร์ของพี่กันต์ที่เราวางไว้ เขาคือตัวแทนของ ‘คนดู’ ทั้งเวทีมีแต่คนเก่ง อาจารย์ก็เก่ง เด็กก็เก่ง แม้กระทั่ง Lab Boy ก็เป็นครู มันต้องมีสักคนที่เป็นตัวแทนคนดูที่คอย React ว่า “ห๊ะ” “อะไรนะ” เหมือนรายการญี่ปุ่นที่เขาชอบมีดารามานั่งแล้วก็ “ว้าว” “หูว” แต่รายการนี้ไม่ได้มีให้คนดูมานั่ง หรือถ้าจะมีอย่างในตอนสุดท้ายของรายการเด็กที่มานั่งก็คือเด็ก ๆ ที่น่าจะรู้หรือเก่งในวิทยาศาสตร์มันเหมือนกับคนแข่ง
ฉะนั้นมันไม่มีใครเป็นตัวแทนของคนดูเลยที่จะเป็นมิตรกับเขา ว่าฉันไม่รู้เหมือนกับเธอ และฉันตื่นเต้นเหมือนกันที่เขาตอบได้ ฉันก็ทึ่งไปพร้อมกับเธอ ฉันก็ไม่รู้ ไหนน้อง ๆ อธิบายให้ฟังหน่อยอาจารย์เพิ่มเติมข้อมูลให้เราได้ยินหน่อย พี่กันต์คือคนนั้น
“คุณไม่จำเป็นว่าต้องเป็นคนที่เก่ง ไม่ต้องเป็นหมอหรือนักวิทยาศาสตร์มาจากไหนเลย คุณคือตัวแทนคนดู” นี่คือสิ่งที่บอกพี่กันต์ตั้งแต่วันแรกที่เริ่มต้นทำงานในโปรเจกต์นี้ด้วยกัน เพื่อให้เขา Relax ด้วยว่าไม่ต้องเครียด พี่กันต์ไม่ต้องจบสายวิทย์ เขาบอกว่าเขาเครียดมาก เราก็เข้าใจเขาเพราะเราก็ไม่ได้จบสายวิทย์มาเหมือนกัน
เลยบอกเขาว่าเรามาเป็นตัวแทนคนดูกัน มาทำให้คนดูเข้าใจ อันไหนเราไม่เข้าใจเราก็ถามเลย สงสัยแบบไหนก็ถามแบบนั้นเลย แทนใจคนดู เหมือนตอนที่น้อง ๆ ตอบคำถามแล้วพูดสูตรสมการอะไรออกมา พี่กันต์ก็ทำหน้าเหวอจนกลายเป็นพวก Meme ทั้งหลายที่มันออกมาจากการแสดงสีหน้าของเขา มันคือความรู้สึกจริงที่เกิดขึ้นเหมือนกับที่คนดูรู้สึก แม้แต่เราเองฟังแล้วก็ยัง “ ห้ะ เมื่อกี้ว่ายังไงนะลูก””
ออกแบบตำแหน่งของผู้รู้ในรายการทั้ง 2 ท่านและครูกาแฟในฐานะ labboy ยังไงบ้างในรายการนี้เพราะปกติรายการอื่นจะมี Commentator นั่งรวมกัน แต่รายการนี้มีการแบ่งหน้าที่ที่ต่างกัน
คุณเอ๋ย: “จุดเริ่มต้นมาจากที่เรามองว่าเราควรมีอาจารย์ เพราะเรารู้แล้วว่าหน้าที่ของพี่กันต์คือคนดูที่ไม่จำเป็นต้องรู้ทุกเรื่อง เพราะฉะนั้นต้องมีคนที่รู้ลึก รู้จริง ละเอียด และเก่งกว่าเด็ก ๆ ที่เก่งมากแล้วขึ้นไปอีก เพื่อคอยอธิบายให้คนดูฟังว่าโจทย์เมื่อกี๊มันเป็นยังไง หรือถ้าเด็ก ๆ เกิดความสงสัยตรงไหน คน ๆ นี้ก็จะเป็นคนช่วยอธิบายให้เด็กฟังได้
มันก็คล้ายๆ Commentator ในรายการประกวดร้องเพลงนั่นแหละ แต่อันนี้คืออยู่ในรายการวิทยาศาสตร์ มันเลยเป็นที่มาของตำแหน่งอาจารย์ปอ (รศ.ดร.ณัฏฐวี เนียมศิริ อาจารย์ประจำภาควิชาเทคโนโลยีชีวภาพ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล) และอาจารย์ยอ (รศ.ดร.สุรเชษฐ์ หลิมกำเนิด อาจารย์ประจำภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) ที่คอยอยู่เคียงข้างกัน และช่วยกันแล้วก็คอยอธิบายให้คนดูฟังด้วย รวมถึงครูกาแฟเอง (อำพล ขวัญพัก) ในฐานะ Lab Boy ที่ก็มีส่วนช่วยในการพัฒนาเนื้อหารายการเหมือนกัน”


คุณเจมส์: “ถ้าพูดถึงตำแหน่งของอาจารย์ปอกับอาจารย์ยอ แน่นอนที่สุดว่าภาพแทนของเขาคือคนที่เก่งที่สุดในรายการ เพราะนอกจากพวกเขาจะเป็นผู้อธิบายน้อง ๆ และอธิบายคนดูแล้ว อีก พาร์ตหนึ่งเขาก็เป็น Partner ของตัวรายการด้วย ก็คือเป็นที่ปรึกษารายการ รวมถึงตัวอาจารย์ก็ Develop ตัวเองมาเพิ่มเติม
แม้เขาจะเป็น ‘ผู้รู้’ ก็จริง แต่เขาจะไม่ทำให้ตัวเองดูเป็น ‘ผู้สอน’ เขาจะวาง Position ของตัวเองว่าเป็นไม่ได้มาเป็นแค่คนมอบความรู้ แต่ยังมาเป็น ‘เพื่อน’ ที่น้อง ๆ สบายใจด้วยได้ เหมือนที่จะเห็นในรายการว่าอาจารย์จะไม่ทำตัวให้ดูน่ากลัว จนน้อง ๆ ไม่กล้าถามคำถาม เหมือนเวลาเราเจออาจารย์จริง ๆ ในโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย
หลาย ๆ โมเมนต์จะเห็นว่าอาจารย์พยายามส่งกำลังใจให้เด็กอยู่ตลอด ถ้าดูในเทปจะเห็นว่าบางจังหวะที่น้อง ๆ คิดคำตอบกันนาน ๆ อาจารย์ก็จะลงไปดูด้วยความเป็นห่วง อยากเอาใจช่วย อยากรู้ว่าผิดตรงไหน ติดอยู่ตรงไหนอยู่ และเขาพยายามเปิดพื้นที่ให้เด็กมากกว่าตัวเองด้วยซ้ำ มีหลายช็อตที่น้อง ๆ สามารถอธิบายได้ อาจารย์ก็ปล่อยให้พวกเขาได้อธิบายเลย แล้วอาจารย์ค่อยมาเสริมนิดหน่อยในบางประเด็น”
คุณเอ๋ย: “เมื่อกี๊ที่บอกว่ารายการนี้เหมือนรายการแข่งทำอาหารก็ตรงที่ว่าต้องมีเชฟผู้รู้ที่เก่งมาก ๆ มาคอยชิม คอยวิพากษ์วิจารณ์ นี่แหละ อาจารย์ทั้งสองท่านก็ทำหน้าที่นั้น รวมถึงยังคอยทำให้การอธิบายความรู้แก่คนดูง่ายขึ้น เป็นมิตรมากขึ้น ซึ่งเป็นแนวคิดที่เราใช้อยู่ตลอด “โจทย์ข้อนี้เป็นมิตรกับคนดูมั้ย” เจมส์จะชอบพูดประโยคนี้อยู่เสมอ
นี่คือสิ่งที่เราบอกอาจารย์ไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว ว่าเป้าหมายของรายการคือการทำให้วิทยาศาสตร์เป็นเรื่องรอบตัวเรา และทำให้คนรู้สึกใกล้ตัว เพราะฉะนั้นโจทย์ทุกโจทย์ คำอธิบายที่เราเขียนร่วมกับอาจารย์จะพยายามหาทางเชื่อมโยงว่ามันเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันยังไงได้บ้าง อาจารย์ก็จะเข้าใจ Concept ตรงนี้
มันจะมีทั้งข้อมูลที่เราหามาเพื่อให้อาจารย์ช่วยเสริมหรืออธิบายให้คนดูฟังในบางคำอธิบาย หรือบ่อยครั้งอาจารย์ก็ทำการบ้านมาเอง อาจารย์จะได้เห็นโจทย์จากการเอาโจทย์ในรายการไปตรวจก่อน เขาก็จะคิดวิธีการอธิบายให้คนดูเข้าใจง่าย ๆ จากการหาข้อมูลมาให้เราเพิ่ม แล้วก็ยังเสริมว่าบางทีมันอาจจะเชื่อมโยงกับเรื่องนี้ในชีวิตประจำวันได้ด้วยนะ ซึ่งบางทีเราก็ไม่รู้
มีหลายครั้งมากที่เราจะได้ยินอาจารย์บอกว่า “ลองนึกภาพตามดูนะครับ” แม้แต่เราเองฟังอาจารย์แล้วยังทึ่งเลยว่า เออว่ะ ทำไมสมัยเราเรียนไม่มีคนอธิบายแล้วเข้าใจแบบนี้บ้างนะ เราจะได้เข้าใจวิชาเลข เข้าใจฟิสิกส์เบื้องต้นง่าย ๆ แบบนี้บ้าง อาจารย์ทุกคนในรายการมีส่วนในการ Develop สิ่งเหล่านี้ขึ้นมามาก ๆ เลย”

เจาะเบื้องหลังกติกา ที่ต้องเล่าเรื่องยากให้เข้าใจง่าย
เล่าถึงเกม ‘Speedy Quiz’ ให้เราฟังหน่อยว่าเบื้องหลังการสร้างสรรค์ช่วงนี้ทำยังไงกับมันบ้าง
คุณเอ๋ย: “จุดนี้มันคือจุดที่จะทำให้คนดูได้อุ่นเครื่องก่อนที่จะเจอของที่ยากกว่านี้ มันเป็นช่วงที่ดูเป็นมิตรที่สุดแล้วของรายการ ที่พาให้คนดูให้แบบ “โอเค มานะคะ แล้วเราจะได้รู้ว่าวิทยาศาสตร์อยู่รอบตัวเราจริง ๆ”
พวกคำถามที่สร้างสรรค์มาจะเป็นสิ่งที่ถูกคิดบนพื้นฐานที่ว่าสิ่งนี้อยู่ในชีวิตของเราจริง ๆ ใช่ไหม แล้วมันจะต้องหลากหลาย ครอบคลุมทุกวิชาใน 8 ข้อนี้ เราต้องมานั่ง LIst กันว่ามันกินความรายวิชาไหนไปแล้วบ้าง แล้ววิชานี้กินเนื้อหาในสาขาอะไรด้วยนะ ชีววิทยาในแต่ละข้อก็ต้องเป็นชีววิทยาที่ไม่เหมือนกัน บางข้อเกี่ยวกับร่างกายมนุษย์ บางข้อเกี่ยวกับพืช บางข้ออาจจะเป็นชีววิทยาผสมเคมีเลยด้วยซ้ำ
เราต้องพยายามกระจายความรู้ให้ครบทุกสาขา แล้วก็ค่อย ๆ ไล่ลำดับไปจากเรื่องใกล้ตัวสุด ๆ และค่อนข้างเดาได้ง่าย รึเปล่านะ (หัวเราะ) บางทีน้อง ๆ ก็ตอบผิดตั้งแต่ข้อแรกก็มี ข้อหลัง ๆ ถึงจะเริ่มออกไปอวกาศบ้างแล้ว
สำคัญเลยคือหลักสูตรของการทำ Quiz Show คือการทำให้คนดูอยากมีส่วนร่วมกับรายการ ก็คือฟังโจทย์แล้วอยากเล่น อยากทายด้วย มันต้องไม่ง่ายซะจนรู้ว่ายังไงก็ตอบข้อ A ง่ายมาก มันไม่สนุกที่จะเล่น ต้องทำให้ตอบมันได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ให้เป็นสีสัน แล้วก็เราดีใจมากที่มีคนบอกว่าอยู่บ้านก็นั่งตอบคำถามแข่งกันกับลูก มันทำให้คนดูรู้สึกว่าเริ่มเป็นส่วนหนึ่งของรายการก็ตั้งแต่เบรกนี้นี่แหละ”
มาที่เบรกสอง น่าสนใจมาก อยู่ ๆ มันก็มาเป็น ‘Scene Analysis’ เลย ไอเดียมันมาจากไหน
คุณเจมส์: “ความจริง ‘Scene Analysis’ มันแทบจะเป็นโครงสร้างแรกของรายการเลยตอนที่คิดรายการ Draft ต้น ๆ ด้วยซ้ำ คือเราคิดภาพรายการนี้เป็นเหมือนเกมไขปัญหาจากสถานการณ์สมมติ ซึ่งมันเป็นไอเดียที่คนทำอยากทำมากเลย มันเหมือนการ์ตูนหรือหนังสืบสวนสอบสวนที่มันดูสนุก เราอยากให้มีภาพแบบนี้ในรายการ แต่มันต้องถูกเล่าด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์นะ ช่วงนี้มันเลยเกิดขึ้นมา”
คุณเอ๋ย: “ใช่ ๆ เป็นเกมแรก ๆ ที่เกิดขึ้นมาในรายการ”
คุณเจมส์: “เราว่าเรื่องของการเกิดคดี หรือการไขปริศนาที่เกิดขึ้นในภายในรายการมันเป็นการเอาสถานการณ์ในชีวิตประจำวันมาใส่ การพายเรือในน้ำ การเปิดร้านชาบู เราก็เอามาทำเป็น Scene Analysis ได้เหมือนกัน มันคือเรื่องปกติที่ถ้าคนรู้เรื่องวิทยาศาสตร์หรือ STEM สักนิดนึง จะเข้าใจสิ่งนี้ได้มากขึ้น
แต่อย่างในเกมพอมันเป็นโจทย์ที่ต้องใช้วิธีการสืบหาคำตอบ มันก็ต้องมีการเตรียมการแล้วว่าหากเราจะถามสิ่งนี้ เราต้องเอากุญแจสำคัญไปซ่อนไว้ตรงไหนดี อันนี้คือหลักการทางการออกแบบรายการที่ทำให้ช่วงนี้มีการผสมผสานกันของหลาย ๆ อย่างที่เราอยากเล่าเพื่อทำให้เรื่องเหล่านี้มันใกล้ตัวคนดู อยากให้มันสนุก แต่ก็อยากให้มันเป็นเกม ซึ่งในมุมคนทำเราสนุกมาก และเชื่อว่าคนดูน่าจะอยากเห็นสิ่งนี้บนรายการทีวี”


เอาจริง ๆ หากเราเอาความเป็นเกมออก เอาภาพของความเป็นรายการตอบปัญหา STEM ออก มองแค่โจทย์ในแต่ละข้อของช่วงที่ 2 และ 3 มันเป็นโจทย์ที่ยาวมาก เหมือนคำถาม O-NET เลย เราทำยังไงให้คำถามเหล่านั้นย่อยง่ายและน่าติดตาม
คุณเจมส์: “เอาจริง ๆ คำถามนี้ตลกมาก เพราะตั้งแต่แรกโจทย์เหล่านี้มันก็อยู่บนกระดาษทั้งหมดเลยที่เราร่างและสร้างสรรค์ไว้แล้วในไบเบิล แล้วไบเบิลนี้ต่อเทปมันคือ 30-40 หน้ากระดาษเลยที่อาจารย์ยอและอาจารย์ปอจะได้อ่านก่อนมาออกรายการ
ตอนคิดคำถาม เราก็ต้องไม่คิดว่าตัวเองเป็นคนออกข้อสอบในสำนักงานสอบวัดผลการเรียนรู้ระดับชาติ แต่เราเป็นคนเล่าเรื่องที่ต้องคิดคำถามเพื่อให้ทั้งน้อง ๆ และคนดูเข้าใจ ตัวคำถามสุดท้ายที่จะนำมาซึ่งคำตอบที่ระบุโจทย์เป็นจำนวนตัวเลขก็ถือเป็นคำถามไป แต่องค์ประกอบรอบ ๆ คำถามนั้นจะต้องมีความเป็นเหตุเป็นผลรองรับ ข้อมูลมีอะไรบ้างที่บอกได้ ใครเป็นคนบอก บอกได้แค่ไหน ข้อมูลอื่น ๆ ที่น้องจะต้องค้นหาเองมีอะไรบ้างด้วยความรู้ที่มีอยู่ และมีข้อมูลไหนบ้างที่น้อง ๆ น่าจะต้องเข้าไปหาในห้องแลปเพื่อเอามาประกอบ
สิ่งเหล่านี้เราจำเป็นต้องใช้เวลาในการออกแบบตัวคำถามอยู่นาน นานกว่าตอนคิดโจทย์ด้วยซ้ำ เพราะพอเราได้โครงร่างคำถาม เราต้องทำให้มันดูเป็นจริงได้ในเชิงภาพบนทีวี เรื่องนี้คือเรื่องที่ Workpoint เข้ามาเสริมในการสร้างสรรค์รายการนี้ออกมา ทำให้ตัวรายการนี้ต้องแสดงภาพชัดทั้งในเรื่องของวิชาการและการเล่าเรื่อง คนที่ชอบวิชาการต้องฟินกับสิ่งนี้ได้ และคนที่ดูทีวีปกติก็ต้องเข้าใจมันได้ด้วย ถามว่ายากมั้ย ยาก และมันต้องใช้เวลามากด้วย บางทีเราใช้เวลากระชั้นชิดก่อนจะใช้งานจริงในรายการก็มี
ก็ถ้าจะให้เล่าการทำงานให้เข้าใจแบบง่าย ๆ เนื้อหาแบบนี้มันก็เริ่มจากโครงร่างโจทย์ก่อน แล้วก็สิ่งที่เราอยากถาม หลังจากนั้นเราก็ไปออกแบบตัวละครประกอบที่เกี่ยวข้องโจทย์นี้ว่าจะมีกี่คน รวมถึงคิดธีมสถานการณ์สมมติมาประกอบ”
คุณเอ๋ย: “บางทีธีมเกิดก่อน บางทีโจทย์เกิดก่อนจะคิดธีมมารองรับโจทย์นี้ มันมีทุกท่าเลย”
คุณเจมส์: “พอวางตัวละครเสร็จ ก็มาลองดึงเนื้อหาที่อาจจะเป็นโจทย์เพื่อกำหนดตัวแปรว่าตัวละครแต่ละตัว ใครจะเป็นคนกุมกุญแจอะไรในการตอบคำถามทั้งหมดได้บ้าง”
คุณเอ๋ย: “แล้วต้องให้มันสมเหตุสมผลด้วยนะ บางที่ตัวละครแม่ในเรื่องนี้ที่ไม่มีทางรู้เรื่องนี้ได้จะรู้เรื่องนี้ได้ยังไง ตัวละครนี้ที่ไม่มีทางตอบเรื่องนี้ได้อย่างสมเหตุสมผล เขาจะให้ข้อมูลเรื่องนี้ได้ยังไง มันก็ต้องสร้างอีกตัวละครหนึ่งมารองรับ แล้วก็ต้องเป็นละครด้วย ต้องเขียนสคริปต์ให้พิธีกรหรือตัวละครพูดจาเป็นบทละคร ทุกคนมีหน้าที่ในการเล่าเรื่องทั้งหมดเพื่อครอบเนื้อหาให้มันกลมกล่อม จากความตั้งใจที่เราไม่ได้อยากให้มันเป็นข้อสอบ แต่นี่คือละคร สถานการณ์ในการทำให้โจทย์ปัญหาน่าสนใจขึ้น
อย่างตอนแม่นาค ที่เราก็ต้องให้แม่นาคพูดหน่วยมาตรวัดแบบไทยดั้งเดิม เพราะแม่นาคไม่มีทางเทียบค่าเป็นแบบสากลได้แน่ ๆ หรือตอนคู่กรรมที่อยู่ดี ๆ อังศุมาลินก็พูดถึงระยะทางไปทางช้างเผือก ถามว่ารู้ได้ยังไง อ๋อ เพราะอังศุมาลินเป็นสาวอักษรศาสตร์ที่อ่านหนังสือเยอะมาก เพราะฉะนั้นเขาก็ต้องบอกว่าทำไมเขาถึงรู้ข้อมูลนี้ได้ แม้แต่โจทย์บางข้อที่ไม่สมเหตุสมผลเลย อาจารย์ยอเห็นเขาก็จะทัก ตัวเลขความสูงที่บั้งไฟลูกนี้ขึ้นไปมันน่าจะเป็นตัวเลขนี้ไม่ได้นะ มันน่าจะสูงเกินความเป็นจริงไปแล้วอะไรประมาณนี้”
มันจะดูไม่เวอร์เหมือนตัวอย่างการคิดโจทย์ปัญหาที่ไม่สมเหตุสมผลอย่าง “สมพงศ์มีกล้วย 8,000 ลูก” ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้
คุณเอ๋ย: “ใช่ เราไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้น อย่างที่เราบอกว่าวิทยาศาสตร์ และมันคือโลกแห่งความเป็นจริง พายเรือด้วยความเร็วเท่านี้ กี่นาที กี่วินาที ระเบิดตกแล้วโกโบริตายห่างจากจุดศูนย์กลางกี่เมตร มันก็ต้องเป็นค่าตามความเป็นจริงที่โกโบริมีโอกาสเสียชีวิตได้ แต่ก็ไม่ใช่การตายร่างแหลก มันต้องตายในแบบที่บทประพันธ์ของสถานการณ์สมมติว่าเอาไว้ ทุกอย่างมันจะต้องสมเหตุสมผล และสมจริงที่สุดเท่าที่จะทำได้”


เพราะการทำ Quiz Show ยุคนี้มันไม่ง่าย
การทำรายการนี้ทำให้ทั้ง 3 คนเห็นความเป็นไปได้ใหม่ ๆ อะไรในการทำ Quiz Show ยุคนี้ในไทยอย่างไรบ้าง
คุณนัท: “อย่างแรกที่นึกออกคือรายการ Quiz Show มันน่าจะไม่ได้มีแค่คำถามอย่างเดียวแล้วในยุคนี้ ตัวคำถามอาจจะแบกเนื้อหาทั้งรายการไม่ได้ขนาดนั้น อาจจะหาได้ยากมาก ต้องหาอย่างอื่นมาผสม สร้างความสนุกสนาน ใส่ความเป็นวาไรตี้หน่อย ๆ
มันคงไม่ได้เป็นเหมือนเมื่อก่อนที่รายการเน้นถามคำถามกันอย่างเดียว ความขี้เล่นและการคาดเดาไม่ได้อาจจะเป็นลีลาสำคัญของรายการ ผมว่าถ้ามันเป็นอะไรเดิม ๆ ไปเรื่อย ๆ คนดูอาจจะรู้สึกเบื่อ อย่าง Genwit ที่เรายังคง Pattern เดิม แต่เปลี่ยนกติกาบ่อยจนคนดูตามไม่ทัน ต้องมาทำความเข้าใจใหม่ คนแข่งจะได้เจอเกมใหม่ด้วย คนดูก็จะได้รู้สึกถึงความเข้มข้นขึ้นด้วย”
คุณเจมส์: “ความจริงมันแปลกมากเลย เทรนด์การดูทีวีหรือดูสื่อของคนไทยเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ถ้ายุคเก่าเราอาจจะดูรายการตอบคำถามแบบนี้เป็นชั่วโมงได้โดยไม่เบื่อ และยอมรับในการติดตามเนื้อหาไปทั้งรายการด้วย จนมาถึงยุคที่เราดูคลิปความยาว 7 วินาทีแล้วก็เปลี่ยน จนมายุคนี้ คนก็กลับมาดูรายการยาวอีกที
เทรนด์มันเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาได้เรื่อย ๆ จนมองภาพรวมแบบกว้างไม่ได้มาก แต่ถ้ากลับมามองในตัวรายการ Genwit ว่ามีอะไรที่น่าจะไปต่อได้สำหรับเราเลยคือคนดูรู้สึกว่าเนื้อหาวิชาการแบบนี้ก็ยังมีที่มีทาง มีจุดที่ไปต่อได้ในยุคนี้ เหมือนที่รายการบนช่องทางออนไลน์ก็เล่าเรื่องประวัติศาสตร์หนัก ๆ ลึก ๆ กันเยอะขึ้น คนดูก็ตามดูเพราะความอยากรู้ เนื้อหาเหล่านี้มันยังมีทั้งคนทำและคนดูอยู่เสมอเลย สิ่งเหล่านี้จะไม่เปลี่ยนไป แต่วิธีการเล่าต้องเปลี่ยนไปตามยุคสมัย และก็หวังว่าเนื้อหาเหล่านี้จะช่วยสร้างสังคมที่ดีขึ้นในมุมนี้ได้ดีมากกว่าเดิม”
คุณเอ๋ย: “เห็นด้วยกับเจมส์เลย คือมันเป็นเรื่องวิชาการ เรื่อง Niche เรื่องเฉพาะกลุ่มที่คนบางคนอาจจะเชื่อว่ามันไม่มีคนฟัง แต่จริง ๆ มันมีคนฟังและคนสนใจ เหมือนอย่างที่ช่องยูทูปที่เล่าเรื่องแนวนี้อย่าง Farose หรือ Point of View ที่เล่าเรื่องประวัติศาสตร์เฉพาะทางแล้วมีคนรอฟัง เพียงแต่เราทำรายการทีวี ไม่ใช่ Podcast การจะย่อยเนื้อหาให้เข้าใจง่ายและน่าติดตาม มันก็ต้องใช้ศาสตร์การสร้างสรรค์ในรูปแบบรายการทีวีมาทำให้เนื้อหาแบบนี้มีคนสนใจมากขึ้นเหมือนอย่างที่เราทำ”

เรียนรู้อะไรจากการทำงานโปรเจกต์นี้บ้าง
คุณเอ๋ย: “ในฐานะที่เป็นคนทำรายการทีวี เรานำเสนอเนื้อหาผ่านรายการ Game Show หรือ Quiz Show โปรเจกต์นี้มันทำให้เรามั่นใจมากขึ้นว่าจริง ๆ ต่อให้มันจะยากแค่ไหน ก็น่าจะทำมันได้ ต่อให้โจทย์มันท้าทายสุด ๆ สุดท้ายมันจะมีทางให้เราไปถึงเป้าหมายของเราได้”
คุณเจมส์: “ผมว่าในมุมคนดู เรื่องที่ในโลกแห่งความเป็นจริงมันดูยาก แต่เราเชื่อว่าจะมีคนดูให้การตอบรับมันอยู่เสมอ มันคือจุดเริ่มต้นของคำว่าสังคมแห่งการเรียนรู้ คนดูที่เขาพร้อมเปิดรับสิ่งเหล่านี้มีอยู่จริง ๆ ในจำนวนไม่น้อยเลย แล้วก็เชื่อว่าคนไทยเองก็ไม่ได้อี๋กับรายการวิทยาศาสตร์ แล้วดูแค่รายการประกวดร้องเพลง เขามีมุมอื่นในชีวิตที่อยากลองเปิดรับเนื้อหามุมอื่น ๆ ด้วยเหมือนกัน ที่มันจะกลายเป็นประโยชน์ในชีวิตให้กับเขาได้”
คุณนัท: “สิ่งที่สัมผัสได้เลยคือเรื่องแบบนี้มันอยู่ที่จังหวะและยุคสมัยด้วย อาจเป็นเพราะว่าช่วงนี้รายการมันคล้ายกันไปหมดด้วย ลึก ๆ แล้วคนดูก็ต้องการเปิดรับรายการแนวใหม่ในยุคนี้ ที่อาจจะดูเป็นแนวเก่า ๆ ในยุคก่อนที่หายไปจากความคิดของคน อาจจะเป็นสิ่งที่เคยมีหรือไม่มีมาก่อนก็ตาม พอมันมีสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา คนก็พร้อมที่จะสนใจและเรียนรู้ที่จะลองดูเนื้อหาเหล่านี้ด้วยเหมือนกัน ถึงเราจะไม่ใช่รายการท่ามาตรฐาน เกมจ๋า วาไรตี้จ๋า หรือร้องเพลงจ๋าก็ตาม”

ข้อสุดท้าย มีเกร็ดความรู้อะไรที่แต่ละคนเพิ่งได้รู้จากการทำรายการนี้
คุณนัท: “สิ่งที่ผมว้าวมาก ซึ่งไม่รู้คนอื่นจะว้าวเหมือนผมรึเปล่า คือผมเพิ่งรู้ว่าการที่เครื่องบินมันลอยได้ มันไม่ได้มีแรงผลักจากด้านล่าง แต่มันลอยได้จากแรงดันอากาศของเหนือปีกกับใต้ปีกที่มันไม่เท่ากัน มันเลยเกิดแรงยกให้เครื่องบินขึ้นในแนวดิ่งได้ เรานึกว่ามันจะมีไอพ่นส่งขึ้นไป แล้วส่งแรงไปข้างหน้าอีกทีหนึ่งเสียอีก แต่มันมีไอพ่นแค่แนวเดียว กับเรื่องการดีไซน์ปีกให้โค้งรับกับอากาศ”
คุณเจมส์: “มีข้อหนึ่งที่มีคำถามที่ถามว่าทำไมไฟบนเรือไดหมึกถึงเป็นสีเขียว แล้วตัวเลือกเรามี 3 ข้อ คือหมึกชอบสีเขียว อาหารของหมึกชอบสีเขียว หรือชาวประมงชอบสีเขียว ในรายการเราเฉลยไปว่าเพราะอาหารของหมึกชอบสีเขียว หมึกเลยตามมากินอาหารของมัน
เราว้าวตรงที่หลังจากคำถามข้อนี้ออกไป มันเกิดการพูดต่อ มันถูกนักวิทยาศาสตร์ในหลาย ๆ แขนงมาอธิบายเรื่องนี้ต่อ จนทำให้เรารู้ว่าจริง ๆ แล้วมันเป็นไปได้ทั้ง 3 ข้อเลยต่างหาก ทั้งเรื่องของการที่หมึกสามารถรับความเข้มแสงได้เหมือนกัน ซึ่งแสงสีเขียวก็เป็นแสงที่มีความเข้มที่ชัดเจนในมุมมองของหมึกด้วย หรือข้อสองมันก็ถูกส่วนหนึ่งในแง่ของการเฉลย และข้อสาม ชาวประมงชอบสีเขียวที่เรากะตั้งโจทย์มาเอาฮาเลย ก็มีคนอธิบายว่าอาจจะเป็นไปได้ เพราะประเทศอื่นเขาไม่ได้ใช้สีเขียวกัน คือการเฉลยคำตอบข้อที่ 2 ของเรามันมีเรื่องราวที่เราต้องการเล่า แต่มันน่าว้าวตรงที่แม้แต่เรื่องแค่นี้ในรายการ ยังมีคนเอาไปขยายต่อได้เป็นเรื่องเป็นราว แล้วน่าสนใจด้วย ซึ่งเราดีใจมากที่มีคนพูดต่อ แล้วพยายามหาเหตุผลมาช่วยอธิบาย ทำให้เกิดสังคมแห่งการเรียนรู้ขึ้นได้จริง ๆ”
คุณเอ๋ย: “ถ้าที่เราชอบเลยคือการทดลองทรายสั่นที่เอาขวดน้ำวางบนทราย แล้วสั่นถังทราย ขวดนั้นก็จมลง คือแบบ โห เราโหหลายโหมากว่ามันเกิดสิ่งนี้ได้จริงเหรอ เราสนุกมากตอนทดลองหลาย ๆ ครั้ง เอามือตัวเองลงไปลอง เอาของนู่นนี่ลงไปลอง แล้วพอยิ่งรู้ว่ามันเชื่อมโยงกับทรายดูดก็ยิ่งว้าวไปใหญ่ เพราะทั้งชีวิตก็ไม่เคยสงสัยเลยว่าทำไมทรายถึงดูดได้นะ ทำไมฉันไม่เคยสงสัยวะ ทำไมฉันไม่เคยถามว่าทรายมันดูดได้ยังไง”
คุณเจมส์: “คือข้อนี้เป็นตัวอย่างที่ดีของการเอาวิทยาศาสตร์มาประยุกต์ในชีวิตประจำวันเลย มันเชื่อมโยงกับความสงสัยในชีวิตประจำวันของผู้คน จากจุดเริ่มต้นของคำถามที่มันเป็นหลักการทางวิทยาศาสตร์ พอเราเอามาเล่ามันก็เชื่อมโยงไปสู่วิธีการแก้ปัญหาอันตรายในชีวิตจริงได้ด้วยว่าถ้าเราเจอทรายดูดจะทำยังไง มันจะช่วยชีวิตเราได้”
คุณเอ๋ย: “แล้วตอนนั้นมันมีหนังเรื่อง Dune เข้ามาอีก แล้วก็มีคนมาเชื่อมโยงว่านี่แหละคือสาเหตุที่หนอนทะเลทรายในเรื่องมันผุดขึ้นมาจากใต้ดิน เพราะมันวิ่งถึงใต้ดินแล้วพื้นดินมันสั่นอะไรอย่างนี้ คือมันประจวบเหมาะกันไปหมดเลย เราได้ทดลองมันก็สนุก พอได้ดูหนังมาแล้วรู้เรื่องราวมันก็ยิ่งอิน เราเป็นตัวแทนคนดูอย่างที่บอก เราไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ แต่เราเชื่อว่าอะไรที่เราว้าว คนดูก็จะว้าวไปกับมันได้เหมือนกัน”
