หากเปรียบการแข่งขันฟุตบอลบนสนามหญ้า เป็นเหมือนดั่งอาหารที่ถูกเสิร์ฟสักจานบนโต๊ะดี ๆ ยิ่งการแข่งขันมีความเข้มข้น ดุเดือด และตื่นใจมากเท่าไหร่ ความรู้สึกที่ได้รับชมก็เหมือนตอนได้นั่งรับประทานอาหารที่มีความเผ็ดอร่อย เร่าร้อน จัดจ้าน และยั่วเย้าอรรถรส มอบความรู้สึกดีที่ซาบซ่านไปทั่วทั้งอณูที่ได้สัมผัสลิ้มรสชาติ แน่นอนว่าความพิเศษที่เกิดขึ้นล้วนมาจากบรรยากาศที่น่าจดจำ

หากกล่าวถึงการแข่งขันฟุตบอลที่คนเกือบทั้งโลกให้ความนิยมไม่ต่างกับแฟนบอลชาวไทยที่ยกให้ “ศึกแดงเดือด” ของ 2 ทีมที่ยิ่งใหญ่อย่างปีศาจแดง “แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด” และหงส์แดง “ลิเวอร์พูล” เมื่อไหร่ที่การขับเคี่ยวของ 2 ทีมนี้เกิดขึ้น มันมอบความรู้สึกตามชื่อที่ถูกตั้งไว้ โดยรับประกันในความสนุก ตื่นเต้น และลุ้นระทึก เพราะไม่ว่าจะแข่งเมื่อไหร่ หรือได้แข่งในถ้วยไหน มันก็พร้อมมอบรสชาติที่ดุเด็ด เผ็ดมัน พร้อมให้แฟนบอลได้ระอุไปตามช่วงเวลาการแข่งขันราวกับได้ทานน้ำพริกรสชาติเผ็ดร้อน อร่อยจนไม่อยากหยุดรับประทานได้

สำหรับเนื้อหานี้อาจไม่ได้เจาะลึกถึงประวัติศาสตร์หรือที่มาเชิงลึก แต่จะเน้นให้ได้เห็นถึงความน่าสนใจของการพบกันของทั้ง 2 ทีมใหญ่แห่งเกาะอังกฤษ เพราะพวกเขาเหล่านี้ต่างมีทั้งความสำเร็จและประวัติศาสตร์ที่สำคัญต่อโลกลูกหนังเกิดขึ้นมาอย่างยาวนาน และไม่ใช่แค่การเจอกันเพียงแค่ใน “พรีเมียร์ลีก” เท่านั้น ยังมีการพบเจอกันในการแข่งขันรายการอื่น ๆ ที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นถ้วยในประเทศอย่าง “เอฟเอคัพและลีกคัพ” ถ้วยระดับทวีปอย่าง “ยูฟ่า ยูโรป้าลีก” หรือการแข่งแบบกระชับมิตรนอกประเทศที่เคยจัดแข่งในประเทศสหรัฐอเมริกา หรือแม้กระทั่งบ้านเราอย่างประเทศไทยก็เคยมีศึกแดงเดือดที่ถูกจัดขึ้น ณ “สนามราชมังคลากีฬาสถาน”

ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ อยากหยิบยกย้อนถึงนัดสำคัญของศึกแดงเดือดที่น่าสนใจในแต่ละถ้วยที่เกิดขึ้น เพราะการเจอกันของทั้งคู่มันมีมาเนิ่นนานนม นับตั้งแต่ปีศาจแดงยังใช้ชื่อเก่าว่า “นิวตันฮีธ” จนกระทั่งเป็นแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในปัจจุบัน ขอเริ่มต้นเรื่องราวที่พบกันมากสุดคือการแข่งขันในถ้วยหลักอย่าง “พรีเมียร์ลีก” โดยเนื้อหาที่อยากนำเสนอคือเรื่องราวที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้

ศึกแดงเดือดเริ่มในลีกอังกฤษมาอย่างช้านานโดยทั้งคู่ต่างผ่านช่วงเวลาที่แตกต่างกันและแก่งแยกความสำเร็จสลับกันไปมาในช่วงปีที่พวกเขาได้ครองความยิ่งใหญ่ของตัวเองเอาไว้ โดยปีศาจแดงคือทีมที่ได้แชมป์ลีกมากที่สุด 20 สมัย เหนือกว่าหงส์แดงที่คว้าแชมป์มาได้เพียง 19 สมัย แม้จะไม่ห่างกันมาก แต่ทั้งคู่คือทีมที่คว้าความสำเร็จมากสุดเมื่อเทียบกับทีมต่าง ๆ ในลีกเดียวกัน นั่นทำให้แฟนบอลของทั้งคู่ต่างอวดอ้างสรรพคุณของตัวเองและเหยียดหยามต่อทีมอริเพื่อเย้ยหยัน ป่าวประกาศเชิดชูความยิ่งใหญ่ของตน และพยายามยัดเยียดความปราชัยต่อทีมตรงข้ามด้วยศักดิ์ศรี

กระทั่งในฤดูกาลที่แล้ว 2022/23 ปีศาจแดงภายใต้การคุมทีมของ “เอริก เทน ฮาก” ที่เพิ่งเข้ามาคุมทีม หลังจากในฤดูกาลก่อนหน้านั้นที่ทัพปีศาจมีช่วงเวลาย่ำแย่ และพ่ายแพ้ต่อหงส์แดงในบ้าน 0-5 และพ่ายเกมเยือน 4-0 เป็นผลรวมกลับไปถึง 9 ประตู นับเป็นความอัปยศและอับอายเป็นอย่างมากต่อทีมในตอนนั้น ก่อนเปิดฤดูกาลดังกล่าวได้มีการจัดศึกแดงเดือดขึ้นที่ประเทศไทยเป็นครั้งแรก และเป็นปีศาจที่ชำระแค้นไปได้ถึง 4-0 ยัดความปราชัยให้หงส์แดงในแดนสยามของเกมกระชับมิตร และเมื่อเปิดฤดูกาลเกมแรกของศึกแดงเดือด เป็นลูกทีมของเทน ฮากที่สามารถเฉือนเอาชนะอริรักไปได้ 2-1 และในปีนั้นเป็นช่วงเวลาที่ดีของปีศาจแดงหลังจากฟื้นจากความเจ็บปวดจากฤดูกาลก่อนไปได้

ในทางกลับกันหงส์แดงที่นำทีมโดย “เจอร์เก้น คล็อปป์” ดันพบกับปัญหาในอาการบาดเจ็บของผู้เล่นเป็นจำนวนมาก ทำให้หงส์แดงในตอนนั้นอาจไม่แข็งแกร่งเท่ากับก่อนหน้านั้นที่พวกเขามีจุดเด่นของพลังงานเกมรุกที่สามารถกดดันคู่แข่งได้อย่างดุดัน จนถึงศึกแดงเดือดที่พวกเขากลับมาเปิดบ้านรับการมาเยือนของปีศาจแดงที่มีฟอร์มการเล่นร้อนแรงในเวลานั้น โดยก่อนเกมใครหลายคนเชื่อว่าปีศาจแดงมีดีพอที่จะคว้าชัยชนะต่อเจ้าบ้านไปได้ แต่นั่นกลับกลายเป็นแค่ความคิดผิดคาดพลาดไป และอาจกลายเป็นฝันร้ายที่สุดของทัพขุนพลปีศาจแดงที่กำลังจะเกิดขึ้น

ครึ่งแรกของเกมเป็นไปอย่างสูสีจนกระทั่งก่อนหมดเวลาครึ่งแรก เป็นเจ้าบ้านนำไปก่อน 1-0 และเมื่อกลับมาครึ่งหลังใคร ๆ ต่างก็คิดว่าทีมเยือนอาจเสมอหรือพลิกกลับมาชนะได้ แต่มันไม่เป็นเช่นนั้น เพราะกลายเป็นเจ้าบ้านที่ถือในศักดิ์ศรีไล่ขย่มทีมเยือนอย่างโหดร้าย และค่อย ๆ บุกพับสนามยิงประตูอย่างย่อยยับ และจบการแข่งขันไปด้วยสกอร์ 7-0 นับเป็นการยิงที่มากสุดในศึกแดงเดือด และยังเป็นความอัปยศของปีศาจแดงที่พ่ายแพ้ต่ออริตลอดกาลของพวกเขาด้วยจำนวนประตูที่ไม่มีใครอยากเชื่อว่ามันจะเกิดขึ้น แม้จะเป็นปีที่ไม่ดีพอของหงส์แดง แต่การเอาชนะคู่แข่งตลอดกาลไปได้ ทำให้การเจอกันในศึกแดงเดือดมันไม่การันตีว่าจะเกิดอะไรขึ้น แม้ว่าทีมใดจะเสียเปรียบต่ออีกทีมก็ตาม แต่ศึกแห่งศักดิ์ศรีเกียรติยศมันไม่ปรานีต่อผู้ที่ชะล่าใจ และนำพาสู่ความปราชัยที่ไม่อาจจะหลีกหนีไปได้

หรือในบอลถ้วยรองยุโรปศึกแดงเดือดก็เคยเกิดขึ้นมาแล้วใน “ยูฟ่า ยูโรป้าลีก” ฤดูกาล 2015/16 รอบ 16 ทีมสุดท้าย เมื่อทั้งคู่พบเจอกันครั้งแรกในระดับทวีป และในฤดูกาลนั้นเป็นฤดูกาลที่ปีศาจแดงยังไม่เคยพ่ายแพ้ต่อหงส์แดงในลีกอังกฤษเลย ทำให้หลายคนมองว่าความได้เปรียบเอียงเอนไปทางปีศาจแดงที่มีโอกาสมากกว่า โดยเกมแรกเป็นการเปิดบ้านของลิเวอร์พูล ณ ถิ่น “แอนฟิลด์” ต้องกล่าวก่อนว่าสนามแห่งนี้ต่อให้จะเก่งกาจมากแค่ไหน แต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะลงสนามภายใต้ความกดดันจากแฟนบอลลิเวอร์พูล ที่พร้อมจะสร้างความกดดันให้ผู้มาเยือนได้ทุกครั้งที่ได้ไปเยือนบนสนาม และแน่นอนว่ามันก็เกิดขึ้นอีกครั้งกับปีศาจแดง เมื่อหงส์แดงคว้าชัยไปก่อน 2-0 ทำให้ต้องไปพบกับยูไนเต็ดอีกครั้งที่ “โอลด์แทรฟฟอร์ด” โดยเกมที่ 2 เจ้าถิ่นนำไปก่อนจากจุดโทษ 1-0 ทำให้มีความหวังที่จะได้อีกประตูเพื่อผลเสมอหรือโอกาสชนะสำหรับเข้าสู่รอบถัดไปอย่างที่พวกเขาปรารถนาไว้ แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับพวกเขา

กลายเป็นกองกลางของทีมเยือนอย่าง “ฟิลิปเป้ คูติญโญ่” ที่โชว์สักยภาพอันยอดเยี่ยมด้วยการลากเลื้อยจากริมเส้น และดกบอลข้ามตัวผู้รักษาประตูของเจ้าบ้านเข้าไปสู่ก้นตาข่าย จบเกมด้วยผลเสมอ 1-1 ทำให้ผลรวมทั้ง 2 นัด จบด้วยการที่ลิเวอร์พูลมีประตูรวม 3-1 ทำให้ได้เข้าสู่รอบต่อไป และนั่นเป็นหนึ่งในครั้งแรกที่ศึกแดงเดือดได้มีการแข่งขันขึ้นในระดับทวีปตัวเอง

ใครที่อ่านมาถึงตรงนี้ หากคุณเป็นแฟนบอลปีศาจแดง อย่าเพิ่งโกรธเกรี้ยว เกลียดชัง หรือโมโหผู้เขียนไปก่อนนะครับ เพราะแม้เรื่องราวที่ผ่านมาเหมือนว่าปีศาจแดงมักจะพบเจอกับความพ่ายแพ้เสียมากกว่า หรือมีประวัติที่ไม่ค่อยน่าจดจำแทบทุกครั้งในการแข่งขันของศึกแห่งศักดิ์ศรีนี้ แต่ถ้ามองไปที่ถ้วยสมาคมอังกฤษ หรือที่เรียกว่า “เอฟเอคัพ” กลายเป็นทีมปีศาจแดงที่มักจะทำแสบกับทัพหงส์แดงแทบทุกครั้งที่ได้พบกัน และกลายเป็นปีศาจแดงที่อยู่เหนือกว่าหงส์แดงในการชิงชัยของถ้วยใบนี้ได้ถึง 2 ครั้ง

โดยการพบกันของทั้งคู่ที่น่าจดจำคือการเข้าชิงถ้วยสมาคมในฤดูกาล 1976/77 และ 1995/96 หากย้อนไปที่นัดชิงครั้งแรกของศึกแดงเดือดในถ้วยนี้ หงส์แดง ณ เวลานั้นคือทีมที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก และกำลังจะมีลุ้นได้แชมป์ลีกอังกฤษ รวมทั้งกำลังเข้าชิงบอลยุโรปในปีนั้น ถือเป็นโอกาสดีที่หงส์แดงจะมีสิทธิ์ได้ลุ้น “ทริปเปิ้ลแชมป์” ถ้าหากพวกเขาสามารถเอาชนะปีศาจแดงได้ในถ้วยใบนี้ กลายเป็นภารกิจสุดแสบของปีศาจแดงที่ต้องจัดการขัดขาคว้าแชมป์ในรอบชิงนี้ให้ได้ เป็นยูไนเต็ดที่ขึ้นนำก่อนในนาทีที่ 51 แต่ไม่ทันไรด้วยความยอดเยี่ยมของหงส์แดงในช่วงนั้นทำให้สามารถตีเสมอได้ใน 2 นาทีถัดมา แต่ยังไม่ทันได้อุ่นใจจากการตีเสมอ กลายเป็นปีศาจแดงได้ยิงฝังในนาทีใกล้กันตามมาแค่ 3 นาที และกลายเป็นประตูชัยเกมนี้ที่ทำให้ปีศาจแดงสามารถคว้าแชมป์มาครอง และเป็นการสกัดขว้างเส้นทางทริปเปิ้ลแชมป์ของอริรักตลอดกาลอย่างน่าเจ็บใจ

และอีกครั้งในนัดชิงเมื่อปี ค.ศ. 1996 ซึ่งเชื่อว่าผู้อ่านหลายคนน่าจะจดจำได้ถึงนัดชิงครั้งนี้ ที่เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในรอบชิงที่ถูกจดจำ และแสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่และเก่งกาจของตำนานปีศาจแดงขวัญใจชาวเสื้อบอลคอปกตั้งอย่าง “เอริก คันโตน่า” โดยปีดังกล่าวเป็นปีที่ทั้งคู่เป็นทีมที่มีเกมรุกอันตรายเป็นอย่างมาก และในเกมนั้นทั้งคู่ต่างเล่นอย่างรัดกุมเพื่อกันการเสียประตูจากคู่แข่ง เป็นเกมที่ลุ้นและอึดอัดเกมนึงในประวัติศาสตร์ลูกหนัง เมื่อเวลาใกล้จะจบเกือบครบ 90 นาที กองหน้าฝรั่งเศสได้ยิงลูกวอลเลย์สุดสวยลูกหนึ่งในประวัติศาสตร์ของรอบชิงชนะเลิศ โดยลูกยิงนั้นเป็นการยิงที่ผ่านแนวรับของหงส์แดงจากนอกกรอบเขตโทษ 1-0 เป็น 1 ประตูที่สวยงาม และส่งผลให้พวกเขาปีศาจแดงสามารถเอาชนะอริตลอดกาลไปได้อีกครั้งในบอลถ้วยนี้

ในวันอาทิตย์ที่ 17 มีนาคม เวลา 4 ทุ่มครึ่ง ตามเวลาประเทศไทย ทีมแดงเดือดกลับมาโคจรพบกันอีกครั้งในรอบก่อนรองชนะเลิศ 8 ทีมสุดท้าย โดยลิเวอร์พูลต้องการคว้าชัยเพื่อฉลองฤดูกาลสุดท้ายของโค้ชอย่างเจอร์เก้น คล็อปป์ที่ประกาศอำลาทีมในฤดูกาลนี้ ในส่วนของศัตรูคู่รักอย่างยูไนเต็ดที่เป็นรองจากสภาพทีมในปีนี้ รวมทั้งการเดิมพันของเทน ฮากที่มีโอกาสจะหลุดออกจากทีม หลังจากมีกระแสถูกขับไล่ที่เกิดขึ้น และต้องพิสูจน์ตัวเองจากการคว้าแชมป์ในถ้วยนี้ให้ได้ กลายเป็นอีกหนึ่งนัดของแดงเดือดที่มีความสำคัญต่อทั้งคู่ และพร้อมมอบความตื่นเต้นให้กับแฟนบอลว่าใครจะได้เข้ารอบและลุ้นที่จะคว้าแชมป์ถ้วยสมาคมใบนี้ไปได้

อ้างอิง