ในโลกของลูกหนัง หนึ่งในการแข่งขันที่ยิ่งใหญ่ที่สุด จะถูกนิยามชื่อในการแข่งขันว่า “ดาร์บี้แมตช์ (Derby Match)” เมื่อไหร่ที่ชื่อนี้ถูกระบุในการแข่งขัน สงครามลูกหนังที่แย่งชิงศักดิ์ศรีเป็นเดิมพันมันการันตีว่าการแข่งขันเหล่านี้ มันระอุ สะเด่า เร้าใจแก่คนรับชมอย่างแน่นอน และยังสื่อถึงการครองอำนาจในช่วงเวลานั้นของทีมยักษ์ใหญ่ หรือทีมร่วมเมืองที่ผู้ชนะเท่านั้นคือผู้ที่ถือครองอำนาจนั้นอย่างแท้จริง

โดยในดาร์บี้แมตซ์ส่วนใหญ่ที่มักจะพบเห็นกันบ่อย ๆ คือ “การแข่งขันของทีมร่วมเมือง” ไม่ว่าเมืองเหล่านั้นจะเป็นเมืองเล็กหรือเมืองใหญ่ก็ตาม แต่ศักดิ์ศรีและเกียรติยศของชาวเมืองมันค้ำคอให้พวกเขาต้องลุยให้แหลกในสนามเพื่อผลลัพธ์ที่นำไปสู่ชัยชนะของทีมเดียวในเมืองเหล่านั้น และดาร์บี้แมตซ์ที่ถูกนิยมเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก คงหนีไม่พ้นการแข่งขันสุดเจ็บแสบของ “เมืองแมนเชสเตอร์” ในประเทศอังกฤษ

ในดินแดนถิ่นใหญ่ของเมืองแมนเชสเตอร์มีสโมสรฟุตบอลอยู่มากมาย แต่ที่เด่นชัดและเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างมากคือสองสโมสรใหญ่อย่าง “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ โดยทัพเรือใบคือสโมสรที่ถูกก่อตั้งมาก่อนทัพปีศาจแดง แต่เมื่อพูดถึงชื่อเสียงและผลงานความสำเร็จกลายเป็นทัพปีศาจแดงที่คว้ารางวัลเข้ามาสู่สโมสรมากกว่าทัพเรือใบ ทำให้คนส่วนใหญ่ในเมืองแมนเชสเตอร์นิยมยูไนเต็ดมากกว่าซิตี้ และมีนิยามดังที่เรียกว่า “แมนเชสเตอร์เป็นสีแดง ไม่ใช่สีฟ้า”

จุดฉนวนสำคัญที่ทำให้ความคับแค้นของเรือใบสีฟ้ามีมากเป็นทวีคูณ มันเริ่มมาจากอดีตกุนซือตำนานของปีศาจแดง “เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน”ผู้ที่ทำให้ปีศาจแดงเป็นที่รู้จัก และเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ปีศาจแดงกลายเป็นทีมที่ยิ่งใหญ่ หนึ่งในนั้นคือการพาทีมคว้าแชมป์สูงสุดของอังกฤษได้ ในช่วงที่คุมทีมปีศาจแดง เพื่อนข้างบ้านอย่างทีมเรือใบคือหนึ่งในทีมที่มักจะพยายามเทียบรัศมีขึ้นมาเคียงคู่กับปีศาจแดง ซึ่งในยุคเฟอร์กี้ยังเป็นกุนซืออยู่ เขามักจะหงุดหงิดกับสิ่งที่ทีมเรือใบทำ และถากถางกลับว่าเป็น “เพื่อนบ้านที่น่ารำคาญ” เป็นได้แค่ทีมกินน้ำใต้ศอกร่วมเมืองเท่านั้น สิ่งนี้หากใครได้ยินก็คงรู้สึกแย่ไม่แพ้กัน และแน่นอนว่าในเมืองแมนเชสเตอร์ต่อให้จะเป็นสีแดงส่วนใหญ่ แต่สีฟ้าก็ยังคงอยู่ร่วมคู่กันไป ความอัดอั้นตันใจมันค่อย ๆ สะสมและรอวันที่สีฟ้าจะค่อย ๆ กลบสีแดงและระบายให้แมนเชสเตอร์เกิดความสมดุล หรืออาจจะทำให้เมืองเต็มไปด้วยสีฟ้าที่บดบังสีแดงอย่างเต็มตัว

ความหวังใหม่เริ่มเข้ามาสู่เรือใบสีฟ้า เมื่อปี ค.ศ. 2008 กลุ่มทุน “Abu Dhabi United Group” ได้เข้ามาลงทุนกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ และค่อย ๆ เริ่มวางโครงสร้าง ปรับสโมสรเพื่อนำไปสู่ความสำเร็จในอนาคต แต่เฟอร์กี้ก็ยังไม่เชื่อว่าทีมเรือใบจะสามารถทำสำเร็จได้ในช่วงชีวิตที่เขายังอยู่บนโลกนี้

จนกระทั่งในฤดูกาล 2011/12 สิ่งที่ใครต่างไม่คาดคิดมันก็ได้เกิดขึ้นจริง เพราะในปีดังกล่าวซิตี้ได้เอาชนะในถิ่นรังเหย้าปีศาจแดง “โอลด์แทรฟฟอร์ด”  ถึง 1-6 และยังเอาชนะทีมร่วมเมืองสีแดงในสนามเหย้าตัวเอง “เอติฮัด สเตเดี้ยม” 1-0 มากกว่านั้นพวกเขายังสามารถปล้นแชมป์จากยูไนเต็ด ที่มีคะแนนในปีนั้นเท่ากัน 89 คะแนน แต่ต่างกันที่ประตูได้เสียถึง 8 ประตู มันเจ็บปวดตรงที่ยูไนเต็ดในนัดสุดท้ายสามารถชนะมาได้ และกำลังจะเป็นแชมป์ เพราะซิตี้ที่แข่งพร้อมกันโดนนำอยู่ 1-2 แต่ชะตาลิขิตหรือบาปกรรมของเฟอร์กี้ทำให้ช่วงทดเวลาสุดท้าย 90+4 เรือใบสามารถเอาชนะมาได้ และปาดถ้วยแชมป์ที่ปีศาจแดงกำลังจะได้ชูฉลองไปต่อหน้าต่อตา ในปีนั้นเรียกได้ว่าจุดเริ่มต้นของจากล้างแค้นทัพเรือใบสีฟ้าอย่างแท้จริง และเริ่มภารกิจชโลมสีฟ้ากลบแดงในเมืองแมนเชสเตอร์นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

หลังจากผ่านฤดูกาลดังกล่าว แม้ยูไนเต็ดจะกลับมาได้ในปีถัดไป แต่ความสลดกำลังจะมาเยือนสู่ทีม เพราะป๋าเฟอร์กี้ตัดสินใจหยุดเส้นทางการคุมทีมในปีนั้น และแน่นอนว่ายูไนเต็ดจะมีทิศทางที่ไม่เหมือนเดิมที่มีเฟอร์กี้อยู่กับสโมสร แต่ทว่าเมื่อหันหน้ามองไปข้าง ๆ กลับกลายเป็นซิตี้ที่ค่อย ๆ ต่อเติบความสำเร็จขึ้นมาทีละเล็กทีละน้อย ลงทุนทั้งที่ผิดพลาดและสมหวัง หกล้มคลุกคลานจนเจอกุนซือที่ใช่อย่าง “เป๊ป กวาร์ดิโอล่า” เข้ามาคุมทีม กลายเป็นทัพเรือใบที่เข้ามาเติมเต็มความสำเร็จมากมายให้กับทีมสีฟ้าจนถึงปัจจุบัน ในขณะที่ยูไนเต็ดหลังจากนั้น กลายเป็นทีมที่ “เคย” ประสบความสำเร็จจากอดีต มีช่วงเวลาที่ “เกือบ” จะดี และมักจะถูกกดดันจากทีมต่าง ๆ หรือสื่อทั่วโลกที่ทุกคนต่างจับจ้องกระบวนการของทีม เมื่อเปรียบเทียบในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมานี้ กลายเป็นซิตี้ที่คว้าความสำเร็จมามากกว่ายูไนเต็ดที่เคยทำได้ และกลายเป็นแดงในตอนนี้ที่ความนิยมอาจจะยังคงมี แต่แฟนบอลรุ่นใหม่กับหันมาสนับสนุนในสีฟ้ามากขึ้น

จากจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ นำไปสู่การแข่งขันที่เดิมพันด้วยศักดิ์ศรีในสนาม แม้ซิตี้ที่เคยเป็นเพื่อนบ้านที่น่ารำคาญสำหรับยูไนเต็ด แต่ในปัจจุบันด้วยความสำเร็จที่ซิตี้ค่อย ๆ เสมอตัวขึ้นมาทำให้ยูไนเต็ดเริ่มเกรงกลัวในศักยภาพทีมเรือใบสีฟ้า โดยในฤดูกาลนี้เกมแรกที่บ้านของยูไนเต็ด ซิตี้ที่แกร่งกว่าสามารถเอาชนะคาถิ่นปีศาจแดงไปได้ 0-3 และด้วยตำแหน่งในตารางที่อยู่สูงกว่ายูไนเต็ด ความได้เปรียบของซิตี้มีมากกว่าเมื่อต้องกลับมาเล่นในบ้านของตัวเองที่เอติฮัด สเตเดี้ยม แต่ด้วยความเป็นดาร์บี้แมตช์ อะไรก็เกิดขึ้นได้ และสถานการณ์ของยูไนเต็ดหากปล้นคะแนนสำคัญจากซิตี้ออกมาได้ อย่างน้อยก็ช่วยให้พวกเขาอาจจะกลับมาคึกคักอีกครั้ง หลังจากที่ได้กลุ่มทุน “INEOS Group” ที่เข้ามาลงทุนกับยูไนเต็ดล่าสุด ชัยชนะที่เกิดขึ้นมันส่งผลต่ออนาคตของสองทีมในเมืองแมนเชสเตอร์ ที่สีใดจะเป็นสีที่ถูกจดจำ ระหว่างแดงหรือฟ้า และมากกว่านั้นคือใครที่จะกลายเป็นเพื่อนบ้านที่น่ารำคาญต่อกัน วันอาทิตย์ที่ 3 มีนาคมนี้ ศึกใหญ่ร่วมเมืองแมนเชสเตอร์ พรีเมียร์ลีกอังกฤษ ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง ใครสีแดงหรือสีฟ้า! แสดงตัวกันได้นะครับ