ความเป็นไม้เบื่อไม้เบาของสองทีมร่วมเมืองแมนเชสเตอร์ อย่าง “ปีศาจแดง” ยูไนเต็ด และ “เรือใบสีฟ้า” ซิตี้ เราเคยนำเสนอในเรื่อง “เพื่อนบ้านที่น่ารำคาญ” ของความเป็นอริร่วมเมือง ที่ฝั่งสีแดงจากอดีตทีมยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษ ถูกเพื่อนบ้านที่เคยถากถางไว้ ค่อย ๆ พัฒนาขึ้นจากกลุ่มทุน “Abu Dhabi United Group” ทำให้เรือใบจากใต้รัศมีของพื้นดินสีแดงในแมนเชสเตอร์ ค่อย ๆ ล่องเรือใบสีฟ้ากลบเคลือบแทนที่สิ่งที่ “เซอร์ อเล็ก เฟอร์กูสัน” ได้ทิ้งผลงานความสำเร็จเอาไว้ก่อนหน้านั้น
และหากจะหาจุดเริ่มต้นของสิ่งที่ทำให้ซิตี้ “ยุคปัจจุบัน” เริ่มพิชิตยูไนเต็ดได้ครั้งแรก อาจไม่ใช่การปาดคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาล 2011/12 แต่ย้อนกลับในฤดูกาลก่อนหน้านั้นที่พวกเขาสามารถคว้าแชมป์ถ้วยเก่าแก่ที่สุดในโลกอย่าง “เอฟเอ คัพ” ไปครองได้ และยิ่งไปกว่านั้นคือในรอบรองชนะเลิศ พวกเขาที่ต้องพบยูไนเต็ดในการแข่งที่สนาม “เวมบลีย์” การชนะในครั้งนั้นอาจเป็นสัญญานเตือนที่ทำให้พวกเขา (ซิตี้) ข่มยูไนเต็ดได้จนถึงทุกวันนี้
รู้จักถ้วยเก่าแก่ที่สุดในโลก ⚽
“เอฟเอคัพ” หรือชื่อเต็ม “Football Association Challenge Cup” เป็นการแข่งขันที่ถูกจัดขึ้นจากสมาคมฟุตบอลประเทศอังกฤษ หรือที่รู้จักกันในชื่อ “the FA” ได้จัดตั้งขึ้นในปี 1863 เปิดตัวเป็นครั้งแรกโดยทำหน้าที่เผยแพร่กติกาฟุตบอลของสมาคม และรวบรวมกฏเกณฑ์ต่าง ๆ ในเวลานั้นเกี่ยวกับฟุตบอล
ในเวลาถัดมาปี 1871 “ชาร์ลส์ ดับเบิลยู. อัลค็อก” เลขาธิการสมาคมฟุตบอลในเวลานั้น ได้นำเสนอต่อสมาคมฟุตบอลว่าควรมีการแข่งขันฟุตบอลที่จัดขึ้นโดยสมาคมขึ้น และเชิญชวนบรรดาสโมสรภายใต้สังกัดของสมาคม และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจึงเกิดการแข่งขันขึ้นครั้งแรกในปีนั้น และได้แชมป์สมัยแรกในปีนั้นคือทีม “วันเดอเรอส์”
หลังจากจุดเริ่มต้นการแข่งขันของสมาคมที่ถูกจัดขึ้น เริ่มมีทีมที่เป็นส่วนหนึ่งของสมาคมเพิ่มขึ้น และในฤดูกาล 1888/89 จึงเริ่มต้นการแข่งแบบมีรอบคัดเลือกขึ้นเหมือนที่ใช้กันในปัจจุบัน แม้ช่วงเวลาที่มีการจัดการแข่งขันตรงกับเหตุการณ์สำคัญของโลกอย่างเช่น สงครามโลกทั้งครั้งที่ 1 และ 2 ทำให้มีการถูกระงับการแข่งขันไปบ้าง แต่มันก็บ่งบอกได้ว่าถ้วยใบนี้มีความเก่าแก่ตามยุคสมัยเป็นอย่างมาก
ถ้วยที่ให้โอกาสทุกทีม ⚽
จากช่วงที่เคยผ่านสงครามโลกครั้งที่ 1 มีช่วงระงับการแข่งขันและกลับมาแข่งกันอีกครั้ง หนึ่งในสเน่ห์ที่จะขาดไปไม่ได้ของถ้วยนี้คือการแข่งรอบชิงชนะเลิศที่สนามเวมบลีย์ ในยุคนั้นถูกเรียกเป็นเหตุการณ์สำคัญว่า “ไวต์ฮอร์สไฟนอล” ที่แข่งรอบชิงสนามหลัก “เอ็มไพร์สสเตเดี้ยม” หรือก็คือ เวมบลีย์นั้นเอง
หนึ่งสิ่งที่ทำให้ถ้วยใบนี้เป็นดั่งหวังของทีมผู้น้อย คือการเปิดโอกาสให้สโมสรต่าง ๆ ภายใต้สมาคมสามารถเข้ามาทำการแข่งขันได้ในถ้วยนี้ ทำให้ทีมที่เข้าทำการแข่งขันในรายการนี้มีมากถึง 700 ทีม โดยจะมีรอบการแข่งขันรวมทั้งหมด 6 รอบ ก่อนจะคัดกันจนถึง 4 ทีมสุดท้ายเพื่อเข้าชิงกันที่สนามเวมบลีย์ และประกบคู่เพื่อรอทีมที่จะชิงถ้วยใบนี้กัน
โอกาสของซิตี้ที่เวมบลีย์ ⚽
ในปี 2011 ของการแข่งขันถ้วยเอฟเอคัพมาถึงรอบรองชนะเลิศ 4 ทีมสุดท้าย ผลประกบคู่ของปีนั้นนำพาสองทีมร่วมเมืองแมนเชสเตอร์มาพบเจอกัน
โดยปีดังกล่าวแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดภายใต้การคุมทีมของป๋า (เซอร์ อเล็ก เฟอร์กูสัน) กำลังพาทีมปีศาจแดงก้าวขึ้นสู่แชมป์สูงสุดอังกฤษที่ 19 สมัย แซงอริตลอดกาลอย่างลิเวอร์พูลที่ทำได้อยู่ 18 สมัย และกำลังจะเข้าชิงถ้วยยุโรป “แชมเปี้ยนส์ลีก” กับทีม “ต่างดาว” บาร์เซโลน่า ที่สนามเดียวกันนี้ในรอบเอฟเอคัพ
ในส่วนของเรือใบอย่างซิตี้ที่เพิ่งเสริมทัพนักเตะยกระดับขึ้นมาด้วยเงินทุนที่เข้ามาพัฒนาสโมสร หลายคนมองว่าเป็นเกมที่ยูไนเต็ดอาจได้เปรียบด้วยผลงานที่แข็งแกร่งในช่วงนั้น แต่แรงแค้นบวกกับการอยากหักปากกาเซียนของเพื่อนร่วมเมือง ทำให้พวกเขาต้องการโอกาสสำคัญในการตบให้ยูไนเต็ดพลาดตกรอบนี้โดยพวกเขาให้ได้
เกมเริ่มอย่างสูสีและเป็นทางปีศาจแดงที่มีโอกาสได้ลุ้นทำประตูได้ จากดาวซัลโว (ผู้ทำประตูมากสุด) ของทีมอย่าง “ดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ” ที่มีโอกาสยิงหลายครั้งแต่เป็นประตูขึ้นนำไม่ได้ กลายเป็นความได้เปรียบของยูไนเต็ดที่อาจจะชนะในเกมนี้และผ่านเข้ารอบไปได้
แต่เรื่องที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อกองหลังของยูไนเต็ดเตรียมจะพาบอลขึ้นหน้าจากแดนหลังของฝั่งตัวเอง และเป็น “ไมเคิล คาร์ริค” กองกลางของยูไนเต็ดที่เปิดบอลและโดนกองกลางของคู่แข่ง อย่าง “ยาย่า ตูเร” ตัดบอลและสับไกเข้าเสียบมุมขึ้นนำไปได้ 1 – 0 ความสะใจของผู้อยู่ใต้ร่มเงากึกก้องไปทั่วสนาม ด้วยความเชื่อว่าโอกาสที่จะเขี่ยได้สำเร็จมันมีขึ้นมาจากจังหวะดังกล่าว
และโอกาสที่ยูไนเต็ดจะได้ก็ถูกปิดลง เมื่อตำนานขวัญใจของทีม “พอล สโคลส์” โดนใบแดงไล่ออกจากสนามจากจังหวะยกขาสกัดแบบ 50/50 และไปยันเขาตัว “ปาโบล ซาบาเลต้า” ทำให้ขาดตัวผู้เล่นเหลือ 10 คน และจบเกมเป็นเรือใบลำใหม่ที่สามารถแล่นสอยเพื่อนบ้านไปได้
หลังจากที่สามารถทำภารกิจสำเร็จเสร็จสิ้น พวกเขาได้กลับมาสนามเวมบลีย์อีกครั้ง และเป็นพวกเขาที่สามารถคว้าแชมป์เอฟเอคัพในปี 2011 ไปได้ แน่นอนว่าการคว้าความสำเร็จนี้มันอาจจะเป็นหนึ่งในประวัติศาสตร์ที่ดีของสโมสร แต่มันอาจมากไปกว่านั้นตรงที่พวกเขาได้เริ่มส่งสัญญานเตือนแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดตั้งแต่ปีนั้น และเริ่มที่จะกวาดกลบความเป็นสีแดงให้ค่อยจางหายไปจากในเมืองนี้ทีละเล็กทีน้อย
จนล่าสุดที่ทั้งสองทีมจะต้องมาชิงกันอีกครั้งในสนามเวมบลีย์ โอกาสสำคัญอีกครั้งหลังจากที่ได้เจอกันในรอบชิงเป็นครั้งแรกของประวัติศาสตร์ของเมืองแมนเชสเตอร์ที่สามารถมาแย่งชิงแชมป์กันที่เมืองหลวงลอนดอน เป็นซิตี้ที่สามารถเอาชนะไปได้ 2 – 1 สร้างประวัติศาสตร์ “ทริปเปิ้ล แชมป์” ที่ยิ่งใหญ่หลังจากเอาชนะยูไนเต็ดไปได้ในถ้วยเอฟเอคัพ
แม้จะเป็นผู้แพ้แต่โอกาสที่ยูไนเต็ดเองก็มีโอกาสจะทำได้ แม้จะไม่ใช่ทีมเล็กหรือเป็นทีมที่ประสบความสำเร็จในอดีต แต่พวกเขาก็มีโอกาสที่จะล้างแค้นซิตี้ และกลับมากู้ชื่อเสียงที่ห่างหายไปอย่างยาวนานเกือบ 10 ปี
นี่เป็นโอกาสครั้งสำคัญที่พร้อมจะมอบสิ่งที่ยิ่งใหญ่สำหรับผู้ที่ได้คว้ามันไปครอง ทำให้ได้สัมผัสถึงมนต์สเน่ห์ หรือความขลังในประวัติศาสตร์ลูกหนังถ่ายทอดผ่านเรื่องราวบนถ้วยเก่าแก่ที่สุดในโลกใบนี้
อ้างอิง
- https://www.facebook.com/photo.php?fbid=122131509908122738&set=pb.61553682156687.-2207520000&type=3
- https://en.wikipedia.org/wiki/FA_Cup
- https://en.wikipedia.org/wiki/Charles_W._Alcock
- https://mainstand.co.th/th/features/5/article/4123
- https://sport.trueid.net/detail/1B7P5G51Q6MW
- https://www.komchadluek.net/news/sport/550157#google_vignette
- https://www.mancity.com/features/mots-manu-2011/
- https://www.bbc.com/sport/football/articles/c0kk8qz87yeo