ทำไมเราถึงเริ่ม “ชอบ” อะไรบางอย่างโดยไม่รู้ตัว? เชื่อว่าทุกคนเคยทีประสบการณ์ที่ฟังเพลงในห้างสรรพสินค้าหรือในโซเชียลมีเดียอย่าง TikTok แล้วรู้สึกว่าเพลงนี้เป็นธรรมดา ไม่ได้ชอบอะไรเป็นพิเศษ แต่หากเพลงนั้นถูกพูดถึงและเป็นกระแสอยู่ในปัจจุบัน สุดท้ายก็อาจทำให้เรากลับมาฮัมท่อนฮุกโดยไม่รู้ตัว บางคนถึงขั้นเข้า Spotify ไปฟังเวอร์ชันเต็มแล้วกลายเป็นเพลงโปรดเข้าไปอยู่ในเพลย์ลิสต์เลยก็ว่าได้
แล้วทำไมสมองของเราถึงเป็นแบบนั้น เพื่อให้ทุกคนเข้าใจได้ง่าย ๆ สมองของเราทำงานเหมือนระบบประมวลผลที่ซับซ้อนแต่ขี้เกียจ มันพยายามหาทางลัด หรือที่ภาษาอังกฤษจะเรียกการทำงานของสมองแบบนี้ว่า Cognitive Shortcut และหนึ่งในทางลัดที่สมองใช้ก็คือการตีความว่า ความคุ้นเคย เท่ากับ ความปลอดภัย

ในอดีตของมนุษย์ยุคโบราณ ช่วงยุคน้ำแข็ง มีช้างแมมมอธ หรือเสื้อเขียวโค้ง ในโลกที่เต็มไปด้วยอันตรายความไม่คุ้นเคยมักเท่ากับความเสี่ยง เช่น ถ้าเราเห็นพืชหน้าตาแปลก ๆ หรือได้ยินเสียงสัตว์ที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน สมองจะเตือนให้ระวัง เพราะมันอาจเป็นพิษหรือเป็นอันตรายได้ ในขณะที่สิ่งที่เคยเห็นมาก่อน เจอมาแล้วหลายครั้งและไม่เคยทำร้ายเรา สมองก็จะเรียนรู้ว่ามันปลอดภัย และค่อย ๆ ลดการระแวงสิ่งแวดล้อมรอบตัวลง เช่น มีผลไม้สีเขียวที่ติดอยู่ตามพุ่มไม้ ดูซีดๆ ไม่น่ากิน แต่เราก็เห็นมันอยู่รอบๆ พื้นที่อาศัยอยู่บ่อยครั้ง แล้วมีใครคนใดคนหนึ่งบังเอิญหยิบมากิน ไปหลายครั้งแต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น หลาย ๆ คนจึงได้ลองหยิบมากินตามโดยไม่ลังเล สมองของเราก็จะมีการยอมรับว่า พืชชนิดนี้ปลอดภัย ทั้งๆ ที่มันอาจจะมีรสชาติที่ไม่อร่อย หรือแม้กระทั่งไม่มีคุณค่าทางโภชนาการเลยก็ตาม
หมายความว่าการที่เราเห็นสิ่งเดิม ๆ ซ้ำ ๆ หลายครั้งโดยไม่มีผลร้าย ทำให้สมองเริ่มเปลี่ยนจากความเฉยชา → ไปสู่ความคุ้นเคย → จนกลายเป็นความชอบ
จริง ๆ แล้วสมองของเรามีกลไกที่มีความเชื่อมโยงกันระหว่างเรื่องระบบประสาทกับอารมณ์อยู่เหมือนกัน ซึ่งจะมีส่วนเล็ก ๆ ส่วนหนึ่งที่เรียกว่า ต่อมอะมิกดะลา (Amygdala) เป็นส่วนเล็ก ๆ รูปร่างคล้ายเมล็ดอัลมอนด์ อยู่ลึกเข้าไปในสมองส่วนกลางบริเวณกลีบขมับ และสมองส่วนฮิปโปแคมปัส (Hippocampus) อยู่ใกล้กับอะมิกดะลาในสมองส่วนกลีบขมับเช่นกันที่ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์และความจำ โดยเมื่อเราเห็นสิ่งนั้นซ้ำ ๆ วนไปวนมาเรื่อย ๆ โดยไม่ได้มีภัยอันตรายต่อเรา ต่อมอะมิกดะลาจะลดสัญญาณเตือนลงไป ส่วนสมองส่วนฮิปโปแคมปัสเองก็จะส่งสัญญาณออกมาในทำนองว่า “เคยเห็นแล้ว ไม่อันตราย” พอเกิดบ่อยครั้งซ้ำ ๆ สมองก็เริ่มสร้างความสัมพันธ์เชิงบวกไปโดยปริยาย

หลังจากนั้นสมองของเราก็จะหลั่งฮอร์โมนที่เรียกว่า ‘โดพามีน’ ซึ่งเป็นสารเคมีที่เกี่ยวข้องกับความสุขและความพึงพอใจออกมาเล็กน้อย โดยปกติแล้วสมองมักจะหลั่งโดพามีนตอนที่เราทำกิจกรรม อย่างเช่น ตอนที่เราได้ฟังเพลงโปรดที่ชอบฟัง หรือตอนที่เราไปออกกำลังกายแล้วเล่นได้เท่ากับหรือมากกว่าจำนวนที่เราตั้งเป้าไว้ เป็นต้น และกลไกเหล่านี้เองก็ทำให้เรารู้สึกดีอย่างไม่รู้ตัว จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่เราเริ่มอยากเห็นสิ่งนั้นซ้ำ ๆ จนสุดท้ายอาจกลายเป็น ‘ชอบ’ ไปเลยแบบที่เราเองก็ไม่รู้ตัว
ที่มาที่ไปของ Mass Exposure Effect มาจากแนวคิดที่นักวิทยาศาสตร์เรียกกันว่า Mere Exposure Effect ซึ่งมีการศึกษาและตั้งชื่อไว้ครั้งแรกโดย Robert Zajonc นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน ในปี 1968 เขาได้ทำการทดลองด้วยการให้กลุ่มตัวอย่างได้ลองดูภาพ หรือคำศัพท์ต่างประเทศที่พวกเขาไม่เข้าใจความหมายมาก่อน แล้วลองสังเกตพฤติกรรม พบว่ายิ่งผู้เข้าร่วมได้เห็นสิ่งเดิมซ้ำหลายครั้ง พวกเขายิ่งรู้สึก “ชอบ” สิ่งนั้นมากขึ้น แม้จะไม่มีบริบทหรือเหตุผลเลยก็ตาม ภายหลังเมื่อเข้าสู่ยุคของสื่อดิจิทัลที่มีข้อมูลเป็นจำนวนมาก แนวคิดนี้เลยถูกต่อยอดและเรียกขยายให้สอดคล้องกับบริบทในปัจจุบันว่า Mass Exposure Effect นั่นเอง
สรุปแล้ว Mass Exposure Effect คือปรากฏการณ์ที่ทำให้เรารู้สึกชอบสิ่งหนึ่งมากขึ้นเพียงเพราะเราเห็นหรือเจอมันซ้ำ ๆ โดยไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลรองรับว่ามันดีจริงหรือไม่ ซึ่งสาเหตุสำคัญเกิดจากที่สมองของมนุษย์ชอบความคุ้นเคย เพราะมันให้ความรู้สึกปลอดภัย ไม่เสี่ยง ไม่ต้องประมวลผลซับซ้อน ปรากฏการณ์นี้จึงมีอิทธิพลต่อหลายมุมในชีวิต ตั้งแต่พฤติกรรมการบริโภค การเมือง ความรัก ไปจนถึงการตัดสินใจต่าง ๆ ที่เรานึกว่า ‘เลือกเอง’ แต่จริง ๆ แล้วสมองอาจโดนความคุ้นเคยครอบงำอยู่เงียบ ๆ หรือ “บางที… สิ่งที่เรารู้สึกว่าใช่ อาจไม่ได้มาจากใจของเรา แต่อาจมาจากสิ่งที่เราถูกป้อนซ้ำ ๆ ทุกวันก็ได้”
เรื่องโดย : วรัญชิต เกษตรสุนทร (สแตมป์ The Principia)
อ้างอิง
- https://www.ncbi.nlm.nih.gov/books/NBK537102/
- https://www.annualreviews.org/content/journals/10.1146/annurev.neuro.23.1.155
- https://www.simplypsychology.org/mere-exposure-effect.html