“มีบางคนพยายามใช้ชีวิตเป็นตัวอย่างให้เรา
แต่อย่าไปเชื่อใคร ต้องคิดด้วยตัวเองให้ได้”
บางถ้อยคำจาก หนุ่ม-จักรพงษ์ เมษพันธ์ เจ้าของเพจแทคติกด้านการเงินอย่าง ‘Money Coach’ ขณะขึ้นพูดในงาน Creative Talk Conference 2024 (CTC 2024) ที่จัดขึ้นที่ ไบเทค บางนา ในส่วนของการบรรยายเกี่ยวกับเรื่องการเงินและการบริหารสินทรัพย์ที่อาจต้องมองให้ครอบคลุมหลายอย่าง ไม่ใช่แค่เงินหรือรายได้ที่ต้องโฟกัส แต่อย่าลืมให้ความสำคัญกับชีวิตและความเป็นอยู่ด้วย หรือที่หนุ่มเรียกว่า ‘Money Life Balance’ หรือการหาความพอดีที่ลงตัวในเส้นทางการเงิน
หนุ่มเสนอแนวทางการบริหารเงินง่าย ๆ ผ่านการกำหนดเป้าหมาย 4 อย่าง ได้แก่ กำหนดรูปแบบชีวิตที่ต้องการ, ประเมินค่าใช้จ่ายไลฟ์สไตล์ที่ต้องการ, ตั้งเป้าหมายทางการเงิน และวางแผนสร้างทรัพย์สินพร้อมลงมือทำ
กำหนดรูปแบบชีวิตที่ต้องการ
กำหนดรูปแบบชีวิตที่ต้องการ รวมถึงสิ่งสนับสนุนชีวิตต่าง ๆ ที่ต้องมี อาทิ บ้าน รถ การท่องเที่ยว ค่าใช้จ่ายในครอบครัว หรือค่าเทอมลูก เป็นต้น แล้วนำทุกอย่างมาวางไว้เพื่อกำหนดทิศทางต่าง ๆ ต่อไป และที่สำคัญคือพยายามกำหนดสิ่งที่ต้องการและสำคัญจริง ๆ
ประเมินค่าใช้จ่ายของไลฟ์สไตล์ที่ต้องการ
เมื่อวางแผนไว้แล้วว่าเราต้องการอะไรบ้างในชีวิต หลังจากนั้นเราต้องมาคำนวณค่าใช้จ่ายของสิ่งต่าง ๆ เช่น ถ้าค่าผ่อนบ้าน 20,000 บาท/เดือน ค่าผ่อนรถ 10,000 บาท/เดือน ก็นำค่าใช้จ่ายเหล่านี้มาบวกรวมกัน เราก็จะรู้ว่าในหนึ่งเดือนเราจะมีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่
ตั้งเป้าหมายทางการเงิน
เมื่อเรารู้แล้วว่าค่าใช้จ่ายต่อเดือนของเราทั้งหมดเท่าไหร่ เราต้องเริ่มวางแผนว่าจะหาเงินในจำนวนที่ครอบคลุมรายจ่ายทั้งหมดได้อย่างไร และต้องมีการเก็บออมเผื่อไว้ฉุกเฉินเท่าไหร่ สมมติคุณมีค่าใช้จ่ายต่อเดือน 110,000 บาท คุณต้องบวก Passaive Income เพิ่มเข้าไปอีก 9 – 10% นั่นเท่ากับคุณต้องมีรายได้ 120,000 บาท/เดือน ถึงจะพอต่อรายจ่ายที่มี
วางแผนการสร้างทรัพย์สินและลงมือทำ
เมื่อเรารู้ว่าต้องหาเงินเท่าไหร่ สิ่งที่ต้องทำต่อไปคือหาหนทางให้ได้เงินจำนวนนั้นมา ผ่านการวางแผนการทำงานที่จะทำให้เราได้รับเงินเพียงพอต่อค่าใช้จ่าย ซึ่งอาจแบ่งเป็นรายได้จากงานประจำหรือธุรกิจเสริมต่าง ๆ
นอกเหนือจากวิธีบริหารการเงิน หนุ่มยังอธิบายให้เห็นภาพถึงความแตกต่างระหว่างรายได้จากการทำงาน (Active Income) และรายได้จากทรัพย์สิน (Passive Income) ว่ามีข้อดีข้อเสียอย่างไร ซึ่งหนุ่มสรุปมาง่าย ๆ ว่า Active Income สร้างคุณค่าจากการทำงาน Passive Income ช่วยผ่อนแรงจากการทำงาน ไม่มีอะไรที่ดีกว่าหรือควรให้ความสำคัญมากกว่า แต่ทั้งสองสิ่งนั้นสำคัญเท่ากัน เพราะรายได้สองทาง (Multi – income stream) เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
สุดท้ายหนุ่มพยายามย้ำชัดว่าเรื่องการเงินคือเรื่องชีวิต ซึ่งไม่มีใครสั่งสอนกันและกันได้ เราต้องเรียนรู้ด้วยตนเอง ชีวิตการเงินก็เหมือนการเดินบนเส้นลวด ถ้าคุณโน้มเอียงไปเน้นหนักเรื่องการทำงานมากเกินไปคุณก็จะตก ถ้าคุณโน้มเอียงไปเน้นหนักเรื่องการเที่ยวพักผ่อนมากเกินไปคุณก็จะตก ดังนั้นใช้สติดึงตัวเองกลับมาบาลานซ์ชีวิตให้ได้ แล้วคุณจะสามารถเดินบนเส้นทางนี้ได้ต่อไปเรื่อย ๆ เพราะชีวิตบนเส้นทางการเงินนั้นยาวไกลมาก คุณอาจต้องใช้เวลากว่าอะไรบางอย่างจะบรรลุผล