สิทธิเนื้อตัวร่างกาย สิทธิของฉัน ในสิ่งที่ฉันเป็น
ชีวิตของ แน๊ต เกศริน ชัยเฉลิมพล เริ่มต้นจากที่ตัดสินใจออกจากบ้านมาคนเดียว แน๊ตเคยเป็นเด็กเสิร์ฟในร้านข้าวต้ม ต่อมาได้เข้าสู่วงการในแบบที่ใคร ๆ เรียกเธอว่า ‘น้องแน๊ต’ วันเวลาเดินผ่าน ทุกอย่างแปรเปลี่ยนไปตามกาล แน๊ตมีโอกาสเข้าสู่วงการบันเทิง ได้ทำงาน และหาเงินทุกบาททุกสตางค์ด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง แน๊ตบอกกับเราว่า ไม่มีใครสามารถรู้อนาคตได้หรอก ว่าวันหนึ่งเราจะกลายเป็นใคร หรือใครจะวางเราไว้ตำแหน่งไหน แม้กระทั่งตัวของแน๊ตเอง แน๊ตก็ไม่เคยคิดเหมือนกันว่าตัวเองจะได้รับโอกาสดี ๆ มากมายจากกัลยาณมิตรรอบข้าง ในวันนี้เธอจึงกลายเป็น ‘จุติณัฏฐ์’ คนใหม่ที่หมายถึงคนเดิม และยังคงเป็น ‘แน๊ต’ ที่เคยแสนดีของตัวเอง มีเป้าหมายในการดำรงอยู่ และเป็นนักสู้ขาดใจ…ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
“พ่อกับแม่แน๊ตหย่ากันตั้งแต่แน๊ตเป็นเด็ก แน๊ตต้องมาอยู่กับคุณย่า เวลาเรียนต้องมาอยู่กับคุณอาผู้หญิง แน๊ตลำบากมาตั้งแต่เด็ก พอเลิกเรียนปุ๊บ แน๊ตก็ต้องไปปีนโรงเรียนไปเก็บแก้วเทียน เคยเห็นแก้วเทียนไหมคะ แก้วเทียนที่สามารถจุดไฟได้ ไปเอามาขาย ไปพับถุงขาย พอโตขึ้นหน่อย คุณอาที่ส่งเราเรียนฐานะดีขึ้น เขาจะสอนให้เราทำงานบ้าน เรียนเสร็จอยากให้กลับบ้าน แต่เราชอบทำงานหาเงิน แล้วเราไม่ชอบให้ใครมาบังคับ นี่เป็นเหตุให้เราต้องออกจากบ้าน เข้ากรุงเทพฯ มาก็มาทำงานหาเงิน ไปเป็นเด็กเสิร์ฟ แล้วก็เริ่มเข้าสู่วงการอย่างที่ทุกคนรู้
แน๊ตมองว่า ทุกคนเกิดมามีเป้าหมายของชีวิตอยู่แล้ว ว่าเราต้องการที่จะทำอะไร แต่จะไปถึงหรือได้ทำสิ่งที่ตั้งใจไว้รึเปล่า ก็อยู่ที่ตัวเราและปัจจัยรอบด้านอีกมากมาย ตอนเด็ก ๆ แน๊ตก็ตั้งเป้าหมายว่าโตมาฉันอยากมีอาชีพอะไร แต่พอเส้นทางชีวิตมันเปลี่ยน เป้าหมายที่เราวางไว้มันก็เปลี่ยนไปด้วย ก็เหมือนกับอาชีพของแน๊ต แน่นอนว่ามันเกี่ยวข้องกับเนื้อตัวร่างกายของเรา การแต่งกายที่ชัดเจนว่า เราขายความเซ็กซี่ ซึ่งต้องเป็นเสื้อผ้าที่น้อยชิ้น movement ของเรา การโพสต์ท่าของเรา ภาษากายต่าง ๆ ที่ออกจะดูยั่วยวน แต่ทุกอย่างคือองค์ประกอบในอาชีพของแน๊ต และสำคัญที่สุด ที่เรียกว่า “สิทธิเนื้อตัวร่างกาย” แน่นอนว่าสิ่งนี้เราทุกคนมีสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย เป็นสิ่งที่ติดตัวเราออกมาแต่เกิด เราควรเคารพและให้เกียรติในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่เท่ากัน”
“ถ้าคุณไม่ชอบ คุณก็แค่เลื่อนผ่าน ที่ผ่านมาแน๊ตถูกสร้างความเกลียดชัง คำด่าที่รุนแรง คำดูถูกเหยียดหยามมากมาย เหมือนด่าเราแล้วเขารู้สึกสะใจ เราโดนอะไรแบบนี้มามาก โดนมาตลอด”
“เราอยู่ในสังคมที่เปิดกว้างมากขึ้น ก้าวหน้ามากขึ้น มีอาชีพอีกมากมายที่ใช้ร่างกายของตัวเราเองหาเงินมาให้ครอบครัว หาเงินมาเลี้ยงชีพตัวเอง ซึ่งแน๊ตอยากให้สังคมมองสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องปกติ เราไม่ได้เป็นโจร ไม่ได้ก่ออาชญากรรม อย่างคนที่เป็น sex worker กฎหมายควรรับรองหรือสนับสนุนพวกเขาด้วยซ้ำ เพราะนั่นคืออาชีพ”
เราถามมุมมองของแน๊ตถึง OnlyFans ที่นักท่องเว็บคงรู้จักกันเป็นอย่างดี เวทีออนไลน์ระดับโลกที่มีการโชว์อย่างไร้ขีดจำกัด หลากหลาย Sex Creator ที่ดีไซน์เรื่องราวของตัวเองไว้บริการ มีการซื้อ มีการขาย อยู่ที่ผู้จ่ายว่าต้องการเสพรสนิยมแบบไหน และเหนือสิ่งอื่นใด นี่เป็นเรื่องของ Consent
“แน๊ตยังคงมองว่าสิ่งเหล่านี้คืออาชีพ เราไม่ได้ไปละเมิดใคร สิทธิของใครของมัน ใน OnlyFans ไม่ฟรีนะ คุณต้องจ่าย คุณถึงจะได้ดูในสิ่งที่คุณต้องการ ไม่มีใครบังคับ เป็นความยินยอมของทั้งสองฝ่าย ตอนแรกแน๊ตไม่รู้จัก ไม่เคยศึกษา ยังรู้สึกแอนตี้ด้วยซ้ำ แต่มีพี่คนหนึ่งมาแนะนำ แน๊ตเลยลองเข้าไปดู ทำให้เรารู้ว่ามันมีหลากหลายนะ มันมีหลายระดับนะ ฮาร์ดคอร์ก็มี ดาร์คไซด์สุดๆ ก็เยอะ ตัวแน๊ตเองก็มี OnlyFans เราก็มีดีไซน์ของเราในนั้นว่าช่องของเราเป็นประมาณไหน เราสามารถเลือกให้ตัวเองได้ในแบบที่เราพอใจ และตอบสนองความต้องการของ subscriber ได้ ซึ่งทั้งหมดคือรายได้”
“มันคืออาชีพ” แน๊ตย้ำให้เราฟังอีกครั้ง
เพราะผู้หญิงแต่งตัวโป๊ ทำให้ผู้ชายมีอารมณ์ คดีข่มขืนจึงไม่จบไม่สิ้น
เราถามถึงมุมมองของแน๊ตจากประโยคด้านบนที่ผู้หญิงมักจะถูกตีตราในเวลาที่เกิดคดีข่มขืน ทั้ง ๆ ที่เหยื่อเป็นผู้หญิง ทั้ง ๆ ที่ผู้ที่ถูกกระทำเป็นผู้หญิง และสุดท้ายผู้หญิงกลับเป็นผู้ที่ถูกโยนบาปใส่ ว่าสาเหตุที่ถูกกระทำเพราะตัวเองแต่งตัวไม่มิดชิด แต่งตัวโป๊ แต่งตัวแล้วทำให้ผู้ชายเกิดอารมณ์ จึงถูกข่มขืน
“คนที่พูดแบบนี้โคตรเห็นแก่ตัว”
“คุณอย่าโยนทุกอย่างมาให้ผู้หญิง หรือโทษว่าเป็นเพราะคนที่แต่งตัวโป๊ คนทำงานเซ็กซี่ หรือคนที่มีอาชีพเป็นนางแบบ ที่แต่งตัวหวือหวา หรือแม้กระทั่งเด็กในเลาจ์ เด็กนั่งดื่ม หรือคนเที่ยวกลางคืนที่แต่งตัวตามแฟชัน เขาไม่ควรจะถูกมองอยู่ในกรอบที่คุณตั้งไว้
คุณผู้ชายหากคุณมีอารมณ์ คุณต้องจัดการกับอารมณ์ของตัวเองให้ได้ ทุกคนมีอารมณ์เหมือนกันหมดค่ะ นี่คือเรื่องธรรมชาติ เลือกจัดการตัวเองสิคะ ไม่ใช่ไปหาเหยื่อข้างนอก สังคมเราพอเกิดอาชญากรรมประเภทนี้ โทษเหยื่อก่อนเลย ก็รู้ว่าเปลี่ยวจะไปเดินทำไม ก็เพราะแต่งตัวแบบนี้ไงถึงโดน สังคมควรเลิกคิดแบบนี้ได้แล้ว”
เกือบหลับแต่กลับมาได้
“เมื่อก่อนแน๊ตเคยมองว่า การที่แน๊ตอยู่ตกในสภาวะที่แน๊ตถูกมองว่าเป็นนางแบบ AV คือ ความเลวร้ายที่สุดของชีวิต แต่ถึงที่สุดแล้ว ตรงนั้นกลับกลายเป็นอาชีพที่เราใช้ทำมาหากิน แต่สิ่งที่ทำให้แน๊ตเกือบตาย คือ เรื่องของความรักค่ะ…”
“ช่วงนั้นอายุ 20 กว่า ๆ แน๊ตมีความรัก แฟนแน๊ตเป็นทอม เรารักเขามาก แต่มีเหตุที่ต้องเลิกกัน แน๊ตเกือบเอาชีวิตไปตายที่วงเวียนพระนารายณ์ ตอนนั้นตีสองหรือตีสามประมาณนี้ เราสติหลุดแล้ว ทั้งร้องไห้ ทั้งเสียใจ แล้วก็ขับรถ จำไม่ได้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะทุกอย่างเร็วมาก รถแน๊ตหมุนแบบที่นักแข่งเขาดริปรถกันอย่างนั้นเลย ยังโชคดีที่เราไม่ได้เป็นอะไร เกือบหลับแต่กลับมาได้ ไม่อย่างนั้นวันนี้ไม่มีแน๊ตอยู่ตรงนี้แน่ๆ เราคงตายที่ลพบุรีคืนนั้นไปแล้ว”
แล้วเอาตัวเองขึ้นมาจากความเสียใจตรงนั้นได้ยังไง?
แน๊ตนิ่งไปพักหนึ่งก่อนตอบกับเราว่า
“แน๊ตหนีไปปฏิบัติธรรมค่ะ”
“พีคสุดแล้วชีวิตช่วงนั้น เราดิ่งจนไม่รู้ว่าต้องพึ่งอะไร ก็เลยเข้าหาวัด เข้าหาธรรมะนี่แหละ ตอนนั้นถึงกับวิปัสสนากรรมฐานเลยนะ กับพระครูที่ภาคอีสาน แน๊ตได้เรียนรู้เรื่องการปล่อยวาง เรียนรู้เหตุแห่งทุกข์ หนทางดับทุกข์ ท่านสอนเรื่องการไม่ยึดติด ไม่ใช่เรื่องความรักอย่างเดียว แต่เป็นกับทุกเรื่องของชีวิต วันนี้ได้มา วันหนึ่งเราจะต้องเสียไป วันนี้เจอกัน วันหนึ่งเรามีอันต้องจากกัน ไม่จากเป็นก็จากตาย ถึงที่สุดแล้วคือการวางให้ลง ปลงให้ได้ นี่คือสิ่งที่แน๊ตไปเรียนรู้มา
มันกลายเป็นว่าพอกลับมา แน๊ตเอาคำสอนเหล่านั้นมาใช้กับทุกเรื่องในชีวิตได้ ตอนแรกเราไม่รู้หรอก แต่พอเราเจออะไรเข้ามาทดสอบ อย่างพวกคอมเมนต์ต่าง ๆ ทำให้แน๊ตไม่เอาใจไปใส่คำดูถูกพวกนั้น แต่ถามว่ามีรึเปล่า? เวลาที่บังเอิญไปอ่านเจอแล้วโกรธ เราปรี๊ดนะ นี่คือความปกติ…มันก็มี มีบ้าง มีบ่อย แน๊ตเคยหลายครั้งมากที่จะพิมพ์ด่าตอบ แต่พอพิมพ์เสร็จจะกดโพสต์ เราก็กดลบๆๆๆๆๆ เหมือนเรากำลังรู้ทันอารมณ์ตัวเอง อยากตอบกลับให้เจ็บแสบ ไม่ใช่เราตอบกลับไม่ได้ คำด่าแรง ๆ เจ็บ ๆ เรามีเยอะ แต่สติทำให้เราไม่ทำอย่างนั้น”
เพราะการเติบโตทำให้เราเป็นแน๊ตในเวอร์ชันที่ดีขึ้น ทั้งความคิดและการใช้ชีวิต
“ทุกอย่างในวันนี้ของแน๊ตไม่ง่าย แน๊ตอยากได้อะไร แน๊ตต้องหามาเอง ด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเองทั้งหมด”
“ทุกวันนี้แน๊ตอยากได้อะไรแน๊ต ต้องพยายามมากกว่าคนอื่น อยากเป็นนักกีฬาแน๊ตก็ต้องหาเงินทำงานให้หนักมากขึ้นเพื่อที่จะเอาเงินมาส่งตัวเองให้สามารถไปแข่งเพาะกายได้เพราะใช้เงินเยอะมาก ทั้งค่ายิม ค่าอาหาร ถึงทุกคนจะมองว่าแน๊ตทำงานแค่ไม่นานก็ได้เงินมาเยอะแล้ว แต่นั่นมันคือการแลกกับทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียง คำดูถูก คลิปที่ออกไปคนจะวิพากษ์วิจารณ์ยังไง แต่สุดท้ายมันก็คือเงินที่มาจากร่างกายของแน๊ต แน๊ตได้ร้องเพลง ได้พยายามที่จะเป็นในสิ่งที่แน๊ตเป็น พยายามที่จะเปลี่ยนให้ตัวเองมี passion ในตัวเอง
แน๊ตเริ่มวางเป้าหมายในการใช้ชีวิตอีกครั้ง มองภาพตัวเราในด้านของกีฬา ถ้าวันหนึ่งเราจบการแข่งขันมา แน๊ตเชื่อว่าโอกาสดี ๆ หลายอย่างจะเข้ามาต่อยอดในชีวิตของแน๊ต ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ แบรนด์ต่าง ๆ อนาคตข้างหน้าอาจจะเป็นนักแสดงดี ๆ ที่ทุกคนไม่ได้มองเพียงแค่ว่า
“ฉันเป็นอดีตนางเอก AV”
บางคนมาบอกกับแน๊ตว่า เสียดายเรื่องราวในอดีตของแน๊ต บางคนบอกว่าอดีตของเราไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ แน๊ตอยากบอกพวกเขาว่า ‘อย่าได้มาย้ำอดีตของคนอื่นเลย แล้วตัวแน๊ตเองก็เดินจากอดีตของตัวเองมาตั้งนานแล้ว ฉันก้าวออกมาตั้งนานแล้ว และปัจจุบันของฉันในวันนี้ต่างหากที่สำคัญกว่าทุกสิ่ง’
แน๊ตโชคดีที่มีทั้งภาพยนต์ netflix เข้ามาให้ได้ลองทำ มีละครช่อง ถ้าเป็นสมัยก่อนกับเส้นทางของแน๊ตไม่มีโอกาสได้เข้าช่องหรอก เพราะชื่อเสียงแน๊ตไม่ดี แต่พอสังคมเปิดมากขึ้น ทุกอย่างเปลี่ยน หนัง ละครให้เข้าโอกาสผู้หญิงอย่างเราได้เข้าไปเล่น ถึงแม้ว่าบทพูดจะน้อย หรือเป็นนักแสดงรับเชิญ เราก็มองว่าเขายังให้โอกาส ให้เราได้เข้าไปมีบทบาท ได้มีเครดิตชื่อ ก็ถือว่าดีมากแล้ว
เราถามแน๊ตต่อว่า “ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ แน๊ตอยากเปลี่ยนอดีตของตัวเองรึเปล่า”
แน๊ตตอบเราว่า “ไม่ … แน๊ตอยากขอบคุณอดีตของตัวแน๊ตเองด้วยซ้ำ”
“แล้วแน๊ตอยากให้ผู้คนจดจำแน๊ตในเวอร์ชันไหน” คำถามที่เราถามต่อ
“เวอร์ชันที่แน๊ตประสบความสำเร็จไม่ว่าจะเป็นเวอร์ชันไหน แน๊ตไม่ติด”
เริ่มต้นที่รักตัวเอง แล้วเราจะอยากทำทุกอย่างเพื่อพัฒนาตัวเราเอง
แน๊ตบอกกับเราว่า เป้าหมายที่เปลี่ยนไปในชีวิต ขึ้นอยู่กับสังคมที่เรากำลังดำเนินอยู่ คนที่กำลังคบ สภาพแวดล้อมที่กำลังหล่อหลอมเรา ในเรื่องของการเป็นนักกีฬาเพาะกายก็เช่นกัน…
“แน๊ตเริ่มเข้ายิมออกกำลังกายตั้งแต่ปี 2560 เราเป็นผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งทั่วไป เข้ายิมมาออกกำลังกาย เล่นโยคะ ว่ายน้ำ แต่พอวันเวลาผ่านไปเรื่อย ๆ พี่ ๆ ในยิมก็เริ่มชวนแน๊ตว่าทำไมไม่ลองไปเวทดูล่ะ ลองสร้างกล้ามเนื้อ ลองคาร์ดิโอดูมั้ย จากที่ลองทำเองก็เริ่มจ้างเทรนเนอร์ ค่อย ๆ พัฒนาไปเรื่อย ๆ”
“แน๊ตมายิมทุกวันมันคือปกติของชีวิต ทุกคนก็มองว่าแน๊ตเข้ายิม แน๊ตแต่งตัวเซ็กซี่ในยิม แต่ยังไม่ได้ทำอะไรที่เป็นรูปธรรม เราก็คิดว่า เราอยู่ตรงนี้มานาน ลองทำอะไรให้จริงจังดูสักที ลองดูซิว่า เราจะไปถึงจุด ๆ นั้นได้ไหม แล้วเราจะไปสุดที่ตรงไหน
จนวันหนึ่งประมาณ 2 เดือนที่แล้ว น้องที่เป็นเทรนเนอร์ของแน๊ตเขาไปแข่งแล้วก็ชนะหลายเวที เทรนเนอร์คนนี้เทรนเรามา 2 ปีแล้ว เขาบอกเราว่าหุ่นเราสามารถแข่งได้เลยนะ เราก็ยังไม่มั่นใจ ยังกลัวอยู่ เรามาสายเซ็กซี่ น่ารัก อวบ อึ๋ม งานที่เราทำด้วย ถ้าเกิดว่าต้องไปสายเพาะกาย ทุกอย่างต้องเปลี่ยนเลยนะ ทุกอย่างต้องลีน กล้ามเนื้อต้องขึ้น แต่สุดท้ายพอเราเริ่มลองที่จะพัฒนาตัวเอง กลับกลายว่ามีผลตอบรับกลับมาดีมาก คนที่ติดตามเราเพิ่มมากขึ้น มีกลุ่มที่ติดตามเป็นอีกกลุ่มที่เป็นคนที่ออกกำลังกายเพาะกาย คนอยากเจอเรา อยากมาเห็นรูปร่างของเราในลักษณะที่เปลี่ยนไป ไม่ใช่มาดูเราในแบบที่หน้าอกตู้ม เต้นเซ็กซี่ ยั่ว ๆ บด ๆ แต่มาดูเราในรูปแบบที่ smart body”
“เราเลยตัดสินใจ เอาวะ!!! บอกโค้ชว่าแน๊ตพร้อม เราไปตรวจสุขภาพทุกอย่างผ่านหมด บางคนที่เห็นแน๊ตโพสต์รูป โพสต์คลิป ยังคิดว่าแน๊ตทำ content รึเปล่า แต่แน๊ตมีความตั้งใจจริง ๆ แน๊ตทุ่มเทกับทุกอย่าง เงินต้องมี วินัยต้องมี 2 อย่างนี้สำคัญพอ ๆ กัน แน๊ตต้องปรับตัว ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน การใช้ชีวิต อาหารต้องถึง ปริมาณน้ำต้องถึง นอนก็ต้องถึง ทุกอย่างยกเครื่องใหม่หมด ถ้าแน๊ตนอนเร็ว เช้ามาของแน๊ตจะตื่นตั้งแต่ตีสี่ จัดการตัวเองเล็กน้อยแล้วลงมาข้างล่างซ้อมเรื่องท่าโพสต์ ชั่งน้ำหนัก ดื่มกาแฟดำ กินวิตามิน อาบน้ำแต่งตัว เดินทางไปยิม
แน๊ตจะมีเทรนเนอร์ มีนักโภชนาการดูแลเรื่องอาหาร วีคนี้ต้องเพิ่มคาร์ป วีคนี้ต้องลดคาร์ป โปรตีนเท่าไหร่ถึงพอ ต้องเพิ่มเรื่องคาร์ดิโอขนาดไหน แต่ละมื้อ แต่ละเดย์ ไม่มีอะไรที่เหมือนกัน
หลังจากนั้นแน๊ตก็ต้องเวท 1 ชั่วโมงเต็ม คาร์ดิโอ 1 ชั่วโมงเต็ม จะเสร็จประมาณเที่ยงก็จะมาทานข้าวที่นักโภชนาการจัดเตรียมไว้ให้ หลังจากทานข้าวเสร็จก็จะกลับบ้าน นอนพัก ตื่นมาอีกก็จะออกไปทำงาน กลับจากทำงานเราก็จะเตรียมวิตามินต่าง ๆ สำหรับพรุ่งนี้ไว้ บางอาทิตย์ต้องมีการไปฝังเข็ม ทำกายภาพ ชีวิตแน๊ตจะวน ๆ แบบนี้ทุกวัน
ถ้าต้องเดินทางไปทำงานต่างจังหวัดก็จะลำบากหน่อย เรื่องอาหารการกินต้องดูแลเป็นอย่างมาก เหล้า เบียร์ที่แขกยื่นมาให้นี่แน๊ตไม่ได้เลย ต้องงดทั้งหมด เรียกได้ว่าทุกอย่างถูกปรับ ถูกจูนใหม่หมด แต่พอพยายามแล้วรู้สึกว่าทำไมผลที่ได้ออกมามันดีจัง มันตอบแทนความพยายามของเราดีมากๆ”
“ทุกวันนี้แน๊ตก็ยังไม่ได้เก่งเลยอะไรเลย ต้องซ้อมโพสต์ท่า ซ้อมในรูปแบบที่สากลเขาซ้อมกัน เพราะว่าแต่ละวิธีไม่เหมือนกัน การโพสต์ไม่เหมือนกัน มันเป็นอะไรที่ยากมากสำหรับคนที่ไม่เคยไดเอท สำหรับคนที่ไม่เคยต้องออกกำลังกายหนักขนาดนี้ ถือเป็นโชคดีที่แน๊ตวอร์มร่างกายมาตั้ง 6 ปีแล้ว โปรแกรมของเรามันหนักด้วย กลายเป็นทุกคนบอกว่าพี่แน๊ตรู้มั้ยมือใหม่อยู่กันไม่ค่อยรอด 2-3 เดือนก็ไปกันหมดแล้ว”
“พอเรามาอยู่เส้นทางนี้กลับกลายเป็นว่าทุกคนให้กำลังใจ”
“พี่แน๊ตแม่งเก่งว่ะ”
“พี่แน๊ตแม่งสู้ว่ะ”
“อีก 2-3 อาทิตย์เองนะพี่สู้ๆ”
“คำพูดพวกนี้เลยทำให้เราฮึด แต่ก็ต้องจัดการกับอารมณ์ตัวเองในเรื่องของความแปรปรวน ช่วงของฮอร์โมนที่ไข่จะตกหรือประจำเดือนจะมา อย่างของแน๊ตต้องคูณสองเลย บางทีอารมณ์หลุดเหวี่ยงเทรนเนอร์ก็มี บางทีกลับบ้านไปร้องไห้ก็มี
ทุกคนยิ่งรู้ว่าแน๊ตตั้งใจเหมือนยิ่งแกล้ง คนรอบข้างทดสอบเราในเรื่องของการกิน เอามายั่วมากกกกก (ลากเสียงยาวยิ้ม ๆ) แล้วบางทีเราก็หลุด ด้วยความที่เห็นพวกเขากินอร่อย เคยท้อเหมือนกัน ถามตัวเองว่าเราคิดถูกรึเปล่า แต่พอวันที่ร่างกายเราเริ่มเข้าที่ เราเริ่มลงผลงานในโซเชียล ทุกคนชื่นชม เรารู้สึกดีมาก ความพยายามที่เราทำส่งผลแบบนี้นี่เอง มันดีมากจริง ๆ สำหรับแน๊ต แน๊ตลืมความท้อทุกอย่างเลยนะ คนที่เขาเป็นนักกีฬาเพาะกายจริงๆ หรือพ่อแม่ที่เขาส่งเสริมลูกเขา เขามาคุยกับเราเรื่องเพาะกาย เราได้แลกเปลี่ยนกัน พัฒนาไปด้วยกันทำให้รู้สึกว่า เราไม่ได้อยู่คนเดียว”
เรานั่งฟังแน๊ตค่อย ๆ เล่า รับรู้ได้ถึงความมุ่งมั่นจริง ๆ ในตัวของเธอคนนี้ แววตา น้ำเสียง สิ่งที่เธอกำลังถ่ายทอดให้พวกเราฟัง ความมุมานะพยายามจนเราอดที่จะถามต่อไม่ได้ถึงความคาดหวังในเส้นทางเพาะกายว่าเธอจะไปสุดที่ตรงไหน
“ทุกคนบอกว่าพี่แน๊ต ไม่จบแค่ Level นี้หรอก ต้องไปได้อีก เพราะว่าเคยได้แล้ว ไม่มีใครไม่ขยับไปต่อ แน๊ตบอกน้อง ๆ ว่า ไม่เอาอ่ะ อยากแค่ beginning พอ เพราะก้าวต่อไปจะเป็นแบบบัคตัวใหญ่ ๆ มีการฉีดสเตียรอยด์ ตรงนี้เรายังกลัว ๆ อยู่ เรื่องภูมิที่จะต้องตก เสียงจะเปลี่ยน ร่างกายต้องเปลี่ยน สีผิว อะไรต่าง ๆ ตอนนี้คิดแบบนี้นะ แต่ตอนหน้าอาจจะเปลี่ยน อย่างที่แน๊ตบอก บางทีเราคิดว่าเราไม่ เราปฏิเสธ แต่วันหนึ่งถ้าผลมันดีเกินที่เราคาด เราอาจจะคิดอีกอย่างหนึ่ง”
“แต่ในเวลานี้ แน๊ตมองว่าเรายังต้องใช้ร่างกายทำงาน ณ วันนี้เราอาจจะไม่ได้ต้องการจบที่การแข่ง แต่เรามองว่าการฝึกฝนของเราสามารถเป็นแรงบันดาลใจที่ส่งต่อได้ สามารถเป็นอีกคนที่คอยให้คำแนะนำคนอื่น ๆ ได้ สำหรับแน๊ต ตรงนี้คิดว่าคุ้มค่ามากแล้ว แน๊ตจึงมองว่า เราต้องต่อยอดให้กับตัวเอง ต้องไปเรียนรู้เพิ่มเติม วันนี้อยากทำตรงนี้ให้ดี อีกใจหนึ่งอยากลบคำสบประมาทด้วยค่ะ
“ฤดูกาลที่แตกต่าง” ของแน๊ทกับ “ความคุ้มค่าที่เฝ้ารอ”
“มันจะมีเพลงอยู่เพลงหนึ่งที่แน๊ทเปิดฟังเป็นประจำ”
“อดทนเวลาที่ฝนพรำ อย่างน้อยก็ทำให้เราได้เห็นถึงความแตกต่าง เมื่อวันเวลาที่ฝนจาง ฟ้าก็คงสว่างแล้วทำให้เราได้เข้าใจ ว่ามันคุ้มค่าแค่ไหนที่เฝ้ารอ”
เธอฮัมเพลงที่บอกว่าชอบขึ้นมาเบาๆ
“ที่ผ่านมาแน๊ตเหนื่อยมากเลยนะคะ ทุกอย่างที่ได้มาแลกมาด้วยน้ำตาล้วน ๆ ที่ยิ่งกว่านั้นคือคำพูดที่มักมีคนบอกว่า เราเป็นผู้หญิงไม่ดี เราไม่มีทางทำอะไรได้ไปมากกว่านี้หรอก แต่วันนี้เราผ่านทุกอย่างมาได้หมด และในวันนี้ ฉันทำสำเร็จแล้ว ไม่แค่นั้นนะคะ แน๊ตยังเคยกลับไปช่วยเหลือคนเหล่านั้น ที่แต่ก่อนเขาดูถูกแน๊ต เคยด่าแน๊ตไว้อีกด้วย”
“แน๊ตเคยมองตัวเองในวันที่ผ่านมา แล้วยังถามตัวเองอยู่เลย “เราผ่านมันมาได้ไงวะ” ช่วงชีวิตหนึ่งทั้งหนัก ทั้งเหนื่อย แบกทุกอย่าง ไม่มีคนรอบข้างที่ support การเงิน การงาน การใช้ชีวิต ความคิดทุกอย่างจะต้องคิดด้วยตัวเอง เดินด้วยตัวเอง ลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง
ชีวิตคนเราเหมือนการขึ้นบันได บางทีเดินดี ๆ ยังพลาดตกลงมาได้เลย ส่วนแน๊ตตกบันไดหลายรอบมาก ทั้งเจ็บ ทั้งปวด แต่ไม่เป็นไร พอหายเจ็บ เราก็เดินขึ้นไปใหม่ เราอาจจะก้าวช้าหน่อย แต่แน๊ตก็จะค่อย ๆ ก้าวอย่างมั่นคง เส้นทางของแน๊ตอาจจะเป๋บ้าง เซบ้าง แต่สุดท้ายก็คือเส้นทางที่แน๊ตเลือก และทุก ๆ เส้นทางที่แน๊ตแวะ แน๊ตมองว่านั่นคือประสบการณ์”
หลายเรื่องในชีวิตของแน๊ต แน๊ตสามารถเอามาแนะนำน้อง ๆ ได้ บางคนบอกว่า “พี่แน๊ตเป็นไอดอลของหนูเลยนะ” แต่แน๊ตก็จะแนะนำเขากลับไปว่า ชีวิตของแน๊ตดูได้ เรียนรู้ได้ แต่ที่สำคัญต้องมีสติ”
“เราก็เป็นมนุษย์ธรรมดาทั่วไปคนหนึ่ง เป็นผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง ในวันที่เราเติบโต ทั้งสังคมและคนรอบข้างให้อะไรกับชีวิตแน๊ตมากมาย วันนี้แน๊ตยืนอยู่จุดนี้ ในบทบาทนี้ แต่แน๊ตไม่สามารถลบความทรงจำของใครต่อใครที่ยังจดจำแน๊ตในวันที่ผ่านมาได้ อย่างที่แน๊ตบอกว่า แน๊ตไม่ติด หากคุณสบายใจและมีความสุขในการจดจำแน๊ตว่าแน๊ตอยู่ในบทบาทไหน แน๊ตก็จะมีความสุขกับคุณด้วยเช่นกัน” (หัวเราะ)
“ทุกวันนี้แน๊ตมีความภูมิใจในตัวเอง กับความสำเร็จในวันนี้ กับความสุขในวันนี้ กับปัจจุบันของแน๊ต แน๊ตคิดว่าถ้าพ่อยังมีชีวิตอยู่ พ่อต้องรู้สึกดีที่ลูกสาวคนนี้ทำอะไรได้ขนาดนี้ เส้นทางของแน๊ตไม่ได้ราบรื่นหรอก ถ้าภาษาสวย ๆ อย่างที่เขาเรียกว่า ชีวิตเราไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่แน๊ตไม่ใช่เป็นคนที่ต้องนั่งจมกับอะไรที่ทุกข์นาน ๆ แน๊ตรู้ว่าเราทุกข์ เราเสียใจ เราเจ็บปวด เออ รู้แล้ว ร้องไห้แล้ว เจ็บแล้ว และสิ่งที่ต้องทำ คือ “แน๊ตต้องไปต่อ ต้องใช้ชีวิตต่อค่ะ” …”
“…อย่าไปกลัวเวลาที่ฟ้าไม่เป็นใจ อย่าไปคิดว่ามันเป็นวันสุดท้าย น้ำตาที่ไหลย่อมมีวันจางหาย หากไม่รู้จักเจ็บปวด ก็คงไม่ซึ้งถึงความสุขใจ…”
ขอขอบคุณ Muscle Factory สุขุมวิท 56 สำหรับการเอื้อเฟื้อสถานที่