“ถ้าไม่มีฉัน นายจะเป็นยังไง”
No Hard Feeling (2023)
“ผมก็คงยังซิงอยู่”
ปรากฎเป็น Meme สุดฮา ในงานประกาศรางวัล Golden Globe ครั้งที่ 81 เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา เมือนักแสดงนำหญิง Jennifer Lawrence ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม ในประเภทภาพยนตร์ตลกและมิวสิคัล จาก No Hard Feeling ถึงแม้รางวัลนี้จะตกไปเป็นของเพื่อนสนิทของเธออย่าง Emma Stone จาก Poor Thing แต่มีมที่เธอหันมาพูดกับกล้องว่า “ถ้าฉันไม่ชนะ ฉันกลับแน่!” ก็กลายเป็น Viral จากงานไปในชั่วข้ามคืน
แม้จะเป็นเรื่องตลกขำขัน แต่การพลิกบทบาทของเธอมารับงานแสดงภาพยนตร์ประเภท Romantic Comedy ของเธอ ก็นับเป็นก้าวสำคัญในช่วงที่ภาพยนตร์ออกฉาย ด้วยบทบาทก่อนหน้าในฐานะนักแสดงรางวัลออสการ์ของเธอ เต็มไปด้วยการใช้พลังการแสดงมาหลายเรื่อง ทั้งเป็นบทบาทดราม่า แอคชั่น การเป็นวัยรุ่นนักปฏิวัติ ไปยันซุบเปอร์ฮีโร่ แต่ครั้งนี้เธอเลือกที่จะรับบท Maddie สาววัยทำงานที่กำลังถังแตก จนเธอต้องรับงานจากครอบครัวหนึ่ง ที่อยากจะให้ลูกชาย Percy ที่เป็นเด็กเก็บตัว ได้ออกมาเจอโลกบ้างโดยไม่เกี่ยงวิธี พล็อตชวนขำขันของสาวใหญ่ที่จะพาเด็กวัยรุ่นเปิดซิงจึงกลายเป็นผลงานเดียวของเธอในปี 2023 ที่ผ่านมา
นอกจากบทนักแสดงนำหญิงสุดโบ๊ะบ๊ะที่เธอรับในเรื่องนี้ ตัวเธอก็ขึ้นแท่นเป็นโปรดิวเซอร์เองด้วย สะท้อนให้เห็นว่าตัวเธอ อยากจะลงมาทำงานภาพยนตร์แนวคอมเมดี้อย่างจริงจัง ซึ่งก็ต้องถือว่าเหมาะกับบุคคลิกของตัวเธอเองเป็นอย่างมาก และยังเป็นความท้าทายอย่างมากในยุคที่อุตสาหกรรมภาพยนตร์ช่วงหลังปี 2015 เป็นต้นมา ภาพยนตร์แนวตลกและโรแมนติกมีจำนวนลดน้อยลงอย่างน่าสงสัย รวมถึงนักแสดงเบอร์ใหญ่ ๆ ของอุตสาหกรรมก็เลือกรับบทบาทในภาพยนตร์แนวนี้ลดลงอีกด้วย

หากย้อนกลับไปในช่วงปลายปี 90’s มาจนช่วง 2000 เราจะพบว่าภาพยนตร์แนวโรแมนติกคอมเมดี้ มีหลายเรื่องที่ขึ้นแท่นเป็นภาพยนตร์ขึ้นหิ้ง เป็นต้นฉบับของคำคมจากภาพยนตร์ แนวทางความรัก และมุกตลกอยู่มากมาย ทั้ง Nothing Hill ที่สร้างชื่อให้กับ Julia Robert และเพลงรักอมตะ When You Say Nothing At All หรือแม้แต่ภาพยนตร์ตลกตกต่ำหยาบคายสุดขั้วอย่าง Hangover ที่ไม่ต้องมีสาระอะไรมาก แต่เอาฮา หยาบ แบบสุด ๆ เพียงอย่างเดียว
สิ่งที่พอจะอธิบายปรากฎการณ์ Less-Jokes Era (ยุคมุกตลกหดหาย) ได้ คงจะเป็นพลวัฒน์ทางสังคมที่เปลี่ยนไปแล้วเกี่ยวกับการใช้มุกตลก ความขำขันกลายเป็นเรื่องที่ตัวภาพยนตร์จะต้องใช้อย่างระมัดระวังมากขึ้นต่อบุคคลที่นำมาใช้เป็นเป้าของการใช้ความตลก หรือแม้แต่ในหมวดของความรักก็เช่นกัน ในปัจจุบันที่ความรักเป็นเรื่องเฉพาะตัว มีความหลากหลาย และอยู่นอกกฎเกณฑ์อนุรักษ์นิยมและมาตรฐานความรักมากขึ้น การลงไปเจาะเรื่องราวของความรัก จึงไม่ใช่แค่เรื่่องราวเกี่ยวกับความหอมหวานโรแมนติกหรือคำคมสอนใจอย่างเดียวก็พอ แต่ปัจจัยอื่น ๆ รายล้อมทั้งชีวิต ความเหลื่อมล้ำ ปัญหาอัตลักษณ์ ย่อมส่งผลต่อตัวตนของคู่ความสัมพันธ์ได้เช่นกัน
ภาพยนตร์ในยุคปัจจุบัน จึงไม่เพียงแต่พากลุ่มผู้ชมออกจากความเป็นจริงไปสู่ความบันเทิงอย่างเดียว แต่จำเป็นที่จะต้องใส่ความเป็นชีวิตที่ผู้ชมเกี่ยวข้องเข้าไปด้วย No Hard Feeling จึงเป็นหนึ่งในภาพยนตร์รอม-คอม ที่อยู่ในเส้นกลางระหว่างความตลกโบ๊ะบ๊ะ กับความเป็นชีวิตที่เกิดขึ้นจริง
“สมัยนี้คนไม่เอากันในปาร์ตี้แล้วเหรอ”
เมื่อสาวใหญ่ถูกโยนเข้าไปในสังคมวัยรุ่น Maddie เปิดประตูเข้าห้องไปในงานปาร์ตี้ หนุ่มสาวต่างนั่งดูคลิปมือถือและหัวเราะกันอยู่บนเตียงอย่างเงียบสงบ ทำเอาเธอตื่นตาที่ว่าหนุ่มสาวสมัยใหม่กลับจมอยู่กับโซเชียลมีเดีย อยู่ในโลกของตัวเองมากจนไม่มีเซ็กซ์กันในโอกาสดี ๆ แบบนี้แล้วเหรอ แต่ขณะเดียวกันภารกิจที่เธอต้องพิชิตใน Percy กลับต้องพบว่าเด็กชายวัยรุ่นคนหนึ่ง เขาก็ไม่ได้ผิดปกติอะไร เพียงแต่เขาได้เลือกใช้ชีวิตแบบนี้อย่างแน่วแน่แต่แรกแล้ว เขาเองต่างหากที่มาทำให้ชีวิตของ Maddie เปลี่ยนแปลงไป

กลับกลายเป็นว่าภาพยนตร์รอม-คอม โบ๊ะบ๊ะอย่างเดียวนั้นไม่พอ แต่ต้องเพิ่มเติมประเด็นการเติบโต (Coming Of Age) เข้าไปด้วย ปรับให้กลิ่นอายของเรื่อง สลับมาเป็นโทนจริงจัง มุกตลกต่าง ๆ ไม่ได้ดำเนินอยู่บนความแฟนตาซี หรือโลกอื่นที่คนดูจะเข้าไปบันเทิง แต่เป็นความตลกที่ชวนให้คิดถึงสถานการณ์ที่กระทบตัวละครจริง ๆ ซึ่งจะพาให้คนดูได้ตั้งคำถามกับชีวิตมากขึ้นได้
เหตุผลเหล่านี้นั้นคงจะมากพอให้ Jennifer Lawrence ทุ่มเทให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้ เล่นเองเปลือยเองในหลายฉาก และส่งผลให้เธอได้เข้าชิงรางวัลในที่สุด และปลุกให้ผู้ชมต้องไปหาดู No Hard Feeling อีกครั้งในระบบ Streaming และค้นพบว่า กลิ่นอายภาพยนตร์รอม-คอม นั้นไม่ได้หายไป แต่ต่างต้องปรับตัวให้กลายเป็นภาพยนตร์ที่ปักหมุดหมายลงในอุตสาหกรรมในยุคสมัยที่เปลี่ยนไปแล้วให้ได้นั่นเอง