“ดูละคร แล้วย้อนดูตัว” ประโยคนี้หลายคนคงคุ้นเคยกัน แต่เราว่าโดยรวมความหมายยังแคบไป หากจะพูดให้ถูกกว่านั้นคงเป็น “ดูวงการบันเทิง แล้วย้อนดูความจริงในสังคม” แบบนี้น่าจะเหมาะกว่า
เพราะตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน สื่อมวลชนเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งที่ทำให้สังคมไทยมีพลวัตไปข้างหน้าอยู่เสมอมาไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง และเป็นหางเสือที่สามารถชี้ทางไปต่อให้กับผู้คนเลยก็ว่าได้ ฉะนั้นการที่สื่อมีอิทธิพลต่อผู้รับสารขนาดนี้ นั่นแปลว่าการสร้างสรรค์สิ่งที่จะบอกเล่าออกไปนั้นสำคัญ และต้องคิดทุกอย่างให้ถี่ถ้วนรอบคอบเพียงพอ
แต่กลับกลายเป็นว่ามีหลายครั้งที่สื่อตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน สะท้อนชุดความคิดที่แปร่ง และดูไม่ได้เหมาะสมขนาดนั้นทุกเรื่องไป ยิ่งการที่สื่อมวลชนในยุคนี้มีมากขึ้น ก็ยิ่งทำให้สารและวิธีการส่งสารยุคนี้แตกต่างออกไปมากมาย
ตัวอย่างที่เห็นภาพชัด นั่นคือเรื่องของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTQ+) ที่จากอดีตจนถึงปัจจุบันนั้นมีภาพสะท้อนมากมายที่สื่อทิ้งไว้ในชีวิตจริงของผู้คนในสังคม และกลายเป็นว่าผู้คนในยุคนี้ก็ต้องค้นหาทิศทางในการนำเสนอเพื่อส่งต่อ Mindset ที่ไม่ล้าหลังสู่คนรุ่นนี้
ในงานเสวนา ‘สื่อสารอย่างไรให้เท่าเทียม: สิทธิของ LGBTQIAN+ กับการเปิดรับของสังคม’ เมื่อวันที่ 20 เมษายนที่ผ่านมา ก็พูดถึงประเด็นนี้กันไว้อย่างน่าสนใจ วันนี้เราเลยดึงตัว ‘นุ่น – ดารัณ ฐิตะกวิน’ หนึ่งในผู้อภิปรายที่เป็นนักแสดงซึ่งคร่ำหวอดในวงการนี้อย่างยาวนาน มาสะท้อนภาพรวมของวงการ ผ่านการเป็น LGBTQ+ คนหนึ่งในวงการเหมือน ๆ กัน ว่าตลอดดระยะเวลาที่ผ่านมา ประเด็นของ LGBTQ+ ในหลายแง่มุมผ่านคความคดของเธอเป็นอย่างไร

ตั้งแต่ช่วงแรกจนถึงตอนนี้ มุมมองของ ‘สื่อมวลชน’ และความเป็น ‘LGBTQ+’ ทั้งเบื้องหน้าและคนทำงานเบื้องหลังเป็นอย่างไร
มีความแตกต่างมากในแง่มุมของการนำเสนอเบื้องหน้ามากกว่า แต่ว่าคนทำงานเบื้องหลังภายในแล้วในการใช้ชีวิตร่วมกันของทุกคนในทีมพี่ว่าไม่ค่อยมีความแตกต่าง เพราะว่าเรามาก่อนกาล คือเราทำความเข้าใจคนเบื้องหลังจอกันมานานแล้ว ไม่ว่ากะเทยแต่งหน้าหรือคนที่เป็นเกย์ทั้งหลาย เราอยู่กันได้อย่างโอเคมานานแล้ว
แต่พอมันเป็นสื่อปั๊บมันมีมุมมองเยอะมาก ที่สำคัญมันมีเรื่องของความเชื่อ สิ่งที่ยึดถือหรือประเพณีเก่า ๆ มันมีเยอะมานานแล้ว ซึ่งเราก็พยายามทำความเข้าใจแล้วด้วยนะ ไม่ได้แปลว่าไม่ได้เข้าใจเพราะว่าทุกอย่างมันมีที่มาที่ไป ประโยชน์มันมี แต่พอมันเปลี่ยนยุคปั๊บอะไรมันก็เปลี่ยนทุกอย่าง เพราะฉะนั้นตอนนี้พี่หวังเพียงแค่ว่าสื่อจะทำหน้าที่ได้ดีแค่ไหนในการเปลี่ยนแปลงนี้ มันจะสร้างความผาสุก หรือสร้างความแตกร้าว สื่อมีความสำคัญตรงนี้มาก ๆ
ในอีกมุมหนึ่ง กลุ่มเพศหลากหลายที่เป็น ‘หญิงรักหญิง’ ไม่ได้ถูก Spotlight มากในสังคมเหมือนกับกลุ่มความหลากหลายทางเพศกลุ่มอื่น ๆ หรือแม้แต่ในสื่อเองก็ตาม คิดว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
ในความคิดส่วนตัวพี่นะ พี่ก็ยังมองเห็นว่านี่แหละมันเป็นสิ่งที่ส่งผลมาจากการที่เขาเคยให้ความสำคัญให้ความสำคัญกับ ‘ผู้ชาย’ ในหน้าที่การงาน ในสังคม มันก็ส่งผลมาถึงตรงนี้ว่าเพราะหากผู้ชายแบบมีอะไรที่เป็นจุดสนใจเมื่อไหร่ มันถูกโฟกัสทันที
เอาง่าย ๆ ในทางปฏิบัติจริงผู้หญิงเดินจูงมือกันมา มันไม่สะดุดตาเท่าผู้ชายเดินจูงมือกันมา หรือบางทีก็ถูกมองเป็นเรื่องเล็ก ๆ เป็นเรื่องขำๆ แบบเดี๋ยววันหนึ่งเขาก็มีผัวแล้วอะไรแบบนี้ (หัวเราะ)
พอเป็นผู้หญิงมันกลายเป็นเรื่องกุ๊กกิ๊ก ทำอะไรไปมันก็ไม่ได้อยู่ใน Spotlight สักเท่าไหร่ และก็รู้สึกได้ว่าพลังเราน้อยไปหน่อยในการจะผลักดันอะไร พี่มองตรงนี้นี่แหละ ถ้ามันจะเปลี่ยนแปลงมันต้องเปลี่ยนไปถึงต้นทางเลยทีเดียว จะทำยังไงให้มันมันเท่าเทียมกัน เพื่อให้ทุกคนมี Spotlight เหมือนกันหมดไม่ว่าจะเป็นเพศใด

แล้วหลังจากที่มันผ่านกาลเวลามา ความเท่าเทียมบนหน้าจอสื่อค่อนข้างมากขึ้น สุดท้ายแล้วในมุมมองของพี่นุ่นเองคิดว่า ‘สื่อมวลชน’ ทิ้ง Mindset อะไรให้กับคนในสังคมไทยบ้าง
ในการนำเสนอ ถ้าบอกว่าความเท่าเทียมมันมากขึ้น เราต้องยอมรับว่าบ้านเราเน้นกระแส เวลากระแสอะไรมาทุกคนก็จะไปพยายามทำ ๆ ๆ เพราะต้องการเม็ดเงินหรือว่าผลกำไร บางมุมมันเลยมองเป็นการยัดเยียด อย่างพี่เองเคยมีประสบการณ์ในการดูละคร หรือเห็นคนทำละครที่ทำโดยคนที่เข้าใจเรื่องแบบนี้จริง ๆ มันรู้สึกโอเค มันละมุน ดูแล้วมันลื่นไหล แต่คนที่พยายามทำตามกระแสแต่ไม่ได้เข้าใจจริง ๆ ก็ดับสูญหายไป ไม่ได้รับการตอบรับที่ดี
หรือข่าวเองเวลานำเสนอเราไม่อยากให้ไปคิดว่ามันเป็นเรื่องของความพิเศษ แล้วไปตีไปขยี้ให้มันฟูขึ้น สมมุติทอมคนหนึ่งมีคดีความ ข่าวก็จะพาดหัวแบบ ‘ทอมรุ่นใหญ่’ อะไรแบบนี้ คือมันก็กลายเป็นว่าไปชี้นำให้คนรู้สึกว่าเนี่ยคือความประหลาด คนเรามันมีคดีความได้ทุกคนคน ตรงนี้แหละที่สื่อควรที่จะให้เกียรติและก็ให้ความเท่าเทียม เพราะว่าสื่อก็เหมือนการทำอาหารแล้วก็ป้อนคน ถ้าทำอาหารดีคนกินก็ได้รับสุขภาพดี ถ้าคนกินอาหารที่ทำมาไม่ดีมันก็เสียสุขภาพคนรับ