‘เก่าไป ใหม่มา’ คือสัจธรรมของโลกใบนี้ที่เราทุกคนยอมรับให้มันเป็นไปตามสายธารของกาลเวลาที่ไม่เคยหยุดนิ่ง ทุกสิ่งไม่จีรัง จะมีก็แต่การพังสลายจนไร้ตัวตน
หากมองในแง่รูปธรรม เบื้องหน้าของสถานที่ที่ทีม SUM UP เดินทางไปในครั้งนี้ อย่างหน้าทางเข้า ‘ท่าเรือท่าเตียน’ บริเวณสุดถนนท้ายวัง ก็ทำให้เราเข้าใจสัจธรรมนี้ได้แบบเห็นภาพชัดเจน
ขวามือของเราคือทางเข้าท่าเรือท่าเตียนเก่าที่กลายเป็นซากอาคารไม้ กลิ่นอับของฝุ่นที่คละคลุ้งกับความมืดและความชื้นในช่วงเวลาเย็น ๆ แบบนี้ ยิ่งทำให้บรรยากาศอึมครึมกว่าเดิม สติกเกอร์โฆษณาและกองไม้ที่วางสุมกันโอบล้อมความรู้สึกของยุคสมัยเก่าไว้ทุกพื้นที่
ห่างกันเพียงไม่กี่ก้าวเดิน ท่าเรือท่าเตียนโฉมใหม่ที่มีทางเข้าอยู่เคียงข้างกันก็เปิดประตูรั้วสังกะสีรอต้อนรับนักท่องเที่ยว และผู้ที่ต้องการใช้บริการการคมนาคมทางน้ำ หรือใช้เป็นที่พักผ่อนและชมวิวแม่น้ำเจ้าพระยา หรือพระปรางค์วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหารที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
ท่าเรือแห่งใหม่นี้คือนโยบายการพัฒนาท่าเรือโดยสารของ ‘กรมเจ้าท่า’ ทั้ง 29 ท่าเรือ ให้ทันสมัย สวยงาม และเหมาะสมกลมกลืนกับสภาพแวดล้อมข้างเคียงโดยรวม พื้นที่ใช้สอยบนท่าเรือใหม่นี้มีพื้นที่ลานโล่งกว่า 1,320 ตารางเมตร เพื่อรอบรับผู้ใช้งานและใช้เป็นแหล่งพักผ่อน ทางฝั่งจุดบริการท่าเรือหลักมีจุดโดยสารเรือ 4 จุด คือท่าเรือข้ามฟากและท่าเรือโดยสารอย่างละ 2 จุด อีกทั้้งยังมีอาคารพักคอย 2 หลัง พร้อมการออกแบบที่สอดรับกับหลัก Universal Design รวมถึงมีระบบการประชาสัมพันธ์ด้วยภาพและเสียงครบถ้วน อย่างป้ายบอกท่าเรือทั้งหมดที่เชื่อมต่อกัน
ทั้งหมดนี้อยู่ในงบประมาณ 39.047 ล้านบาท และเพิ่งเปิดใช้งานไปเมื่อช่วงต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา หน้าตาโดยรวมก็สวยงามและทันสมัย แต่กลายเป็นความไร้ชีวิตชีวาเมื่อท่าเรือแห่งนี้ยังดูตัดขาดจากโลกภายนอกข้างเคียงด้วยรั้วสังกะสีที่ปิดอาคารเก่าในย่านท่าเตียนจนมิดชิด จนในมุมหนึ่งราวกับว่าวิถีชีวิตของผู้คนที่อยู่ (หรือเคยอยู่) ข้างเคียง ‘ท่าเรือใหม่’ แห่งนี้ถูกหลงลืมไป และกลายเป็นย่านเก่าที่เคยมีชีวิต และกำลังถูกแต่งหน้า แต่งตัวใหม่เพื่อรับใช้สังคมไทยในช่วงเวลาที่ไม่เคยหยุดนิ่งแบบนี้







ที่มา
- https://www.amarintv.com/spotlight/economy/detail/60522
- https://spacebar.th/culture/Ta-tien-wind-of-hope