หากพูดถึงคำว่า ‘ทรงเอ’ แล้ว หลายคนอาจจะมีทัศนคติที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่กับคนกลุ่มนี้ ซึ่งเอาเขาจริง ๆ แล้ว คำจัดกัดความของวัยรุ่นทรงเอไม่ได้มีคำจัดกันความตายตัว แต่เป็นเพียงการจำกัดกลุ่มที่มีรสนิยมที่ชื่นชอบเป็นของตนเอง ซึ่งรสนิยมเป็น ‘เรื่องส่วนตัว’ ดังนั้นการที่เรากำลังดูถูกหรือด้อยค่ารสนิยมของคนอีกกลุ่มอาจจะเป็นเรื่องที่ไม่ควรจะมีแล้วในปี 2024 โดยอีกหนึ่งคนที่ถูกจำกัดความว่าเป็นหนึ่งในวัยรุ่นทรงเอก็คือ เติ้ล-ณัฐกร เจนกิจ เจ้าของร้าน Option วัยรุ่นบางแสน ร้านขายเสื้อผ้าที่ถูกขนานนามว่าเป็นศูนย์รวมแฟชั่นสำหรับทรงเอโดยเฉพาะ
จุดเริ่มต้นการทำธุรกิจของ เติ้ล-ณัฐกร เกิดจากความอยากประสบความสำเร็จ จึงได้ลองทำมาสารพัดอาชีพและมาประสบความสำเร็จกับธุรกิจเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย เพราะส่วนตัวเป็นคนชอบการแต่งตัวเป็นทุน วันนี้เราได้มีโอกาสบุกมาถึงร้าน Option วัยรุ่นบางแสน เพื่อนั่งพูดคุยกับเจ้าของธุรกิจที่พลิกคำว่า ‘ทรงเอ’ ให้กลายเป็นกำไร เรื่องราวจุดเริ่มต้นไปจนถึงเบื้องหลังการทำธุรกิจจะเป็นอย่างไร สามารถอ่านบทสัมภาษณ์เต็ม ๆ ได้เลย ตอนนี้
จากเด็กแว๊นซ์สู่ CEO จุดพลิกผันคือ ‘ครอบครัว’
ผมเกิดมาในบ้านที่ไม่ค่อยอบอุ่นเท่าไหร่ ครอบครัวแตกแยก พอเริ่มโตเป็นวัยรุ่นก็เริ่มทำตัวเสเพล กินเหล้าตั้งแต่ 15 – 16 พอกินแล้วเราไม่ชอบเราก็กินแต่น้ำแข็ง ใส่โค้กเยอะ ๆ เหล้าน้อย ๆ แต่อย่างที่ผมบอกว่าด้วยความที่เราใจแตกมาตั้งแต่เด็ก ๆ มันก็มีข้อดีของมันคือมันก็ได้เรียนรู้เร็ว ถ้าผมมาใจแตกเอาตอน 28 – 29 ผมก็ตายเหมือนกันนะ สมัยก่อนวงการสีเทาผมก็เคยอยู่ รับหวยลาว ผมทำหมด ผมเป็นคนโลภ อยากจะได้อยากจะมีแบบชาวบ้านเขาเพราะผมจน อยากจะมีเงินล้านแบบเขาบ้าง อยากจะทำทุกวิถีทาง แต่พวกธุรกิจสีดำผมไม่เคยยุ่งเลยเพราะเห็นประสบการณ์จากคนรอบข้างว่าไม่รอดสักรายมากสุดก็แค่หวยแต่อย่างยาเสพติดนี่ไม่เคย
ผมก็ใช้ชีวิตของผมเกเรมาเรื่อย ๆ มาคิดได้คือ หนึ่งคิดได้ด้วยตัวเอง และสองคือเรามีครอบครัวมีลูก ตอนนี้ผมมีลูกสองคนครับ คนแรก 10 ขวบกับอีกคนประมาณ 8 ขวบ แต่คนละครอบครัวนะ ครอบครัวแรกตอนนั้นเรายังเด็กอยู่ คิดไม่ได้ ยังเกเรอยู่ เราให้ค่าใช้จ่ายไปแล้วและมีการแยกทางกัน ส่วนคนที่สองเราเริ่มโต เราเริ่มคิดได้ เลยตัดสินใจเริ่มต้นใหม่ทุกอย่าง คือต่อให้คนเรามันจะอายุเท่าไหร่ มันก็เริ่มใหม่ได้ ไม่สายใช่ไหมครับ ผมก็เลยติดสินใจว่าถ้าเราคิดได้เร็ว เราก็จะประสบความสำเร็จเร็ว
สารพัดอาชีพของ ‘เติ้ล-ณัฐกร’ ก่อนจะมาเป็นเจ้าของธุรกิจ ‘Option วัยรุ่นบางแสน’
ธุรกิจเสื้อผ้าทำมาประมาณ 6 ปีแล้วครับ แต่ก่อนหน้านั้นก็ทำมาหลายอาชีพมาก ถ้าจะให้เล่าทั้งหมดคือยาวมากจริง ๆ เดี๋ยวค่อย ๆ เล่าไปละกัน ย้อนกลับไปตั้งแต่เด็ก ๆ ผมไม่ได้เกิดมาบนกองเงินกองทอง บวกกับเป็นเด็กที่เกเรด้วย เป็นเด็กแว๊นซ์ปกติทั่วไปเลย แต่นิสัยส่วนตัวคือเป็นคนชอบแต่งตัวประมาณหนึ่ง ก็พยายามหาทุนหาอะไรมาเพื่อทำธุรกิจ ซึ่งกว่าจะมาเป็นธุรกิจเสื้อป้าที่ประสบความสำเร็จแบบทุกวันนี้ผมทำมาเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็น แมสเซนเจอร์ส่งของเพราะเราชอบขับมอเตอร์ไซค์อยู่แล้วด้วย รับจ้าง รับจ็อบรายวัน หรือรับจ้างล้างรถก็ทำครับ ไม่ใช่ล้างรถแบบในคาร์แคร์นะ แต่ไปตามบ่อน คนที่ไปบ่อนเขาก็ไปเล่นการพนันกัน ส่วนผมก็ไปรับจ้างล้างรถให้เขาวันหนึ่งได้ 400 – 500 บาทก็เอา คืออะไรที่ได้เงินผมเอาหมด และก็มีขายขนมปัง เปิดแบรนด์ของตัวเองด้วย แต่ตอนนั้นเรายังทำธุรกิจไม่ป็นมุมมองด้านธุรกิจเรามันยังไม่มาก เจ๊งไม่เป็นท่า เดี๋ยวรับมาแพง เอามาขายถูก ก็เลยขาดทุน ส่วนตอนขายผักพี่รู้ไหมว่าเวลาคนในตลาดมองเรามันทำให้ผมรู้ดีเลยว่าการโดนดูถูกเหยียดหยามมันจะมีลักษณะประมาณไหน แต่ผมก็เป็นคนมุ่งมั่นและก็อยากจะประสบความสำเร็จอย่างที่วัยรุ่นทั่ว ๆ ไปเขาฝันครับ

มายาคติกับคำว่า ‘วัยรุ่นทรงเอ’
คำว่า ‘วัยรุ่นทรงเอ’ ผมคิดว่าตลอดที่ผมทำธุรกิจหรือที่ผมขายของมานะ ในมุมเราวัยรุ่นทรงเอก็จะเป็นคนที่สัก ใส่กางเกง ใส่เสื้อลาย ๆ คนก็จะเรียกว่าวัยรุ่นทรงเอ แต่ผมมองว่าการเป็นวัยรุ่นทรงเอหรือวัยรุ่นเทสดีต่าง ๆ ทุกคนล้วนมีมุมมองที่เป็นของตัวเองกันทั้งนั้น ต่อให้พี่ไม่ชอบผม หรือว่าผมไม่ชอบพี่ แต่ผมไม่พูด เพราะมุมมองของเราไม่เหมือนกัน แต่มันอยู่ที่จิตใจมากกว่าครับ อย่างถ้าให้ผมแต่งตัวเรียบ ๆ แต่งตัวสบาย ๆ สำหรับผมมันก็เหมือนการกินข้าวแต่ไมไ่ด้เอาไปผัด มันไม่มีรสชาติชีวิต เรื่องพวกนี้ผมว่ามันแล้วแต่คนมองครับ มันเป็นรสนิยมของแต่ละคน มันอยู่ที่ความคิดของคนเรามากกว่า เราจะไปบังคับใครให้มาตัดสินเราไม่ได้หรอก ซึ่งการแต่งตัวเดี๋ยวนี้โลกมันเปิดกว้างมาก ๆ เราอยากจะแต่งแบบไหน แต่งไปเลย ถ้ามันไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน ไม่ต้องไปเอาคนอื่นมาตัดสิน เราที่เรามั่นใจในตัวเอง และส่วนตัวผมมองว่า การเป็นวัยรุ่นทรงเอ หรือจะเป็นวัยรุ่นทรงไหน ๆ เอาแค่เป็นเป็นคนที่เป็นคนดีในสังคมก็พอแล้วครับ
จุดเริ่มต้นของธุรกิจ ‘Option วัยรุ่นบางแสน’ ศูนย์รวมแฟชั่นสำหรับทรงเอ
ตอนแรกเริ่มทำธุรกิจนี้ขายออนไลน์ครับ ตอนตัดสินใจว่าจะทำจริงจังเพราะตอนนั้นผมอยู่ในช่วงวัยทำงาน ผมทำงานได้ต่อวันอยู่ที่ประมาณ 400 – 500 บาท สูงที่สุดก็ประมาณ 800 บาท ไม่เกินนี้ ผมเลยมีความรู้สึกว่าเราชอบในการขายของอยู่แล้ว ขายเสื้อผ้าขอแค่กำไรตัวละ 100 บาท 8 ตัว เราก็ไม่ต้องไปวิ่งขับรถมอเตอร์ไซค์ หรือถ้ามันจะเกินกว่านั้น ผมก็รู้สึกว่ามันก็อยู่ได้ละ คือจุดเริ่มต้นมันมาจากการคิดน้อย หวังน้อย เพราะเราไม่อยากไปจขับมอเตอร์ไซค์ให้เสี่ยงอันตราย ซึ่งตอนนั้นผมทำงานประจำเป้นแมสเซนเจอร์อยู่ช่วงหนึ่งบวกกับขายเสื้อผ้าออนไลน์ควบคู่ไปด้วย พอผมมั่นใจว่าพอจะมีทุนเปิดร้านเลยออกจากงานมาเปิดร้านเอง ตอนแรกไม่รู้ว่าด้วยซ้ำ ว่ามันจะประสบความสำเร็จแบบนี้ไหม คิดแค่ว่าขายได้ 5 – 6 ตัวก็พอแล้วมีรายได้เท่าค่าแรงขั้นต่ำก็พอใจแล้ว
ตอนที่ผมเปิดร้าน Option ขึ้นมา ผมเปิดสวนกระแสตอนช่วงโควิด-19 ระบาด ตอนโควิดระบาดทุกคนไม่ทำอะไรเลย ห้างก็ปิด ซึ่งนิสัยคนไทยเขาชอบช็อปปิ้ง เขาอยากใช้ตังค์กัน คือต่อให้เขาซื้อไปแต่งตัวอยู่บ้านไม่ได้ออกไปไหน หรือแค่ได้ใช้เงิน คนเขาก็รู้สึกคลายเครียดกันแล้ว มันเลยมาบูมเอามาก ๆ ช่วงโควิดจนผมต้องขยายร้าน ซึ่งทุกวิกฤตเศรษฐกิจมันจะมีเศรษฐีใหม่เสมอและผมก็เป็นหนึ่งในนั้นที่หยิบวิกฤตมาเป็นโอกาส แต่ไมไ่ด้หมายความว่าคนอื่นทุกข์แล้วเราสุขนะ อันนั้นไม่ใช่ แต่แค่มันคือโอกาสในการทำธุรกิจของเรา
ส่วนตอนนี้ Option มีทั้งหมด 4 สาขาครับ สาขาแรกของผมคือ Option วัยรุ่นศรีราชา เป็นร้านเล็ก ๆ แต่ตอนนี้ขยายให้ใหญ่ขึ้นล่ะ สาขาสองจะเป็นที่บางแสน ซึ่งสาขาบางแสนเมื่อก่อนผมเห็นว่าคนอยากมาร้านกันเยอะและคนก็มาเที่ยวบางแสนกันเยอะ ผมเลยยก Option มาไว้ที่บางแสนด้วยเลย ซึ่งกระแสดีมากครับ ใครมาเที่ยวบางแสน สมมุติเป็นกลุ่มวัยรุ่นที่แต่งตัวแบบเรา ๆ ก็จะแวะมาทุกคน 70 – 80% ที่แวะมาเนี่ย แวะมาซื้อ มาเที่ยว ไม่แวะซื้อแวะเที่ยวก็แวะเยี่ยวก็ยังดี มาตากแอร์ก็ได้ครับ (หัวเราะ) ส่วนอีก 2 สาขาจะเป็นแฟรนไชส์ก็คือ Option วัยรุ่นพัทยา และก็ Option วัยรุ่นบ่อวิน คือเราก็มีการเป็นขายแฟรนไชส์ด้วย

Bussiness Model ของ ‘Option วัยรุ่นบางแสน’
การทำธุรกิจหลัก ๆ ผมเน้นในตัวคอนเทนต์ออนไลน์มากกว่า ซึ่งก็จะทำคอนเทนต์เกี่ยวกับร้าน ผมพยายามทำกระแสทุกอย่างว่าเมื่อคิดถึงเสื้อผ้าต้องคิดถึงผม อันนี้เป็นปัจจัยหลัก หัวใจสำคัญของผมเลย อยากจะซื้อเป็นของขวัญ อยากจะซื้อเสื้อผ้าใส่ ต้องนึกถึงเรา อีกอย่างหนึ่งคือเราต้องมีทำเลที่มันสะดวกสบาย คนต้องไม่วนหาที่จอดนานเกินไป มาถึงร้านลงมาซื้อของได้เลยภายใน 5 นาที โดยเฉพาะสำหรับคนที่ตั้งใจจะมาซื้อชิ้นนั้น ก็มีหลายคนถามว่าทำไมแบรนด์เราไม่ไปเปิดบนห้าง แต่ผมมองว่าการเปิดบนห้าง คนมันเข้ามาจริง แต่เราไม่รู้ว่าคนจะเข้ามาซื้อเยอะไหม คือเข้ามาดูมีเข้ามาแน่ล่ะ เพราะห้างมันเป็นหัวใจสำคัญกับอะไรหลาย ๆ อย่าง เช่น โชว์รูม แต่ถ้าร้านเราคือ คนเข้ามาแล้วเข้ามาซื้อแน่นนอนเพราะร้านเราไม่ใช่ห้าง ร้านเราเป็นร้านเสื้อผ้า กางเกง ที่เป็นจุดสำคัญที่คนจะเข้ามา เพราะฉะนัั้นเข้าร้านมาร้อยละ 80% คือผมขายได้แน่นอนครับ
ส่วนเรื่องการเปิดเป็นแฟรนไชส์ถ้าจะเปิดก็ติดต่อผมมาโดยตรงได้เลยครับ แต่ก็มีรายละเอียดในการขายเฟรนไชส์ให้อยู่ว่าได้อะไรบ้าง ทำอะไรได้บ้าง สัญญาเท่าไหร่ ยอดขายเป็นอย่างไร แต่ส่วนมากผมไม่ได้เปิดมั่วซั่วนะ คือต้องคุยกันก่อน ดูคนที่มาซื้อก่อน ไม่ใช่ว่าให้เงินมาและเราจะรับหมด เพราะว่ามันเป็นหน้าตาของผมด้วย ถ้าสมมุติคุณมีเงินมาก้อนหนึ่ง ซื้อเราไป และไม่ได้ดูแล ไม่ได้เติมของ รู้สึกว่าร้านเราดูไม่น่าเชื่อถือ ผมก็อยากจะเลือกแบบเปิดน้อย ๆ แต่อยู่กับเรานาน ๆ ดีกว่า เพราะผมกังวลหมดเลย เราต้องแบกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการบริการ สินค้า และทุกอย่างที่มันมีชื่อ Option ออกไปมันบ่งบอกถึงหน้าตาของเรา ต่อให้เขาบริการไม่ดีหรือว่าอะไรก็ตาม มันก็เป็นภาพลักษณ์ของแบรนด์เรา ดัวนั้นเราจะต้องเทรนพนักงานทุกสาขาเพื่อรักษาหน้าตาเราไว้ สองคือรักษาธุรกิจของเราไว้ครับ

เคล็ดลับความสำเร็จฉบับ ‘เติ้ล Option วัยรุ่นบางแสน’
ผมต้องซื่อสัตย์ ขยัน อดทน มุ่งมั่น พัฒนา และอีกหนึ่งอย่างคือการบริการลูกค้าต้องให้ลูกค้าประทับใจเพราะลูกค้าเก่าจะกลับมาซื้ออีก อันนี้เป็นปัจจัยสำคัญ และก็มีการเก็บข้อมูลจากการซื้อทางออนไลน์ จากพวกประวัติการแชท ว่าลูกค้าเก่ากลับมาซื้ออะไรบ้าง อันนี้เป็นข้อมูลจากทางลูกค้า อีกหนึ่งข้อมูลที่เราเก็บก็คือพวกร้านค้าต่าง ๆ ในที่ที่เปิดคล้าย ๆ เรา เพราะเดี๋ยวนี้การตลาดคู่แข่งมันสูง แต่เราไม่ได้มองเขาเป็นคู่แข่ง เรามองตัวเองเป็นเฮดว่าเราเอาสินค้าของเราไปขายในสาขาของพวกเขาได้ ในช่วงทำธุรกิจแรก ๆ ก็เจออุปสรรคเหมือนกันนะ เพราะเราเป็นมือใหม่มาก ๆ ประสบการณ์ยังไม่เก่งรอบด้าน บางทีลูกค้าสั่งแล้วมันยังไม่ได้ของ หรือลูกค้าสั่งของหาย หรือเราบริการไม่ดีบ้างแต่เราก็ต้องยอมปรับทุกอย่าง ต้องเทรนกันว่าเราไม่ได้ขายแค่เสื้อผ้านะ เราขายคุณภาพด้วย หรืออีกอย่างหนึ่งคือการที่เราผลิตออกมาแล้วคุณภาพไม่ดี เราก็ต้องรับเคลมกลับมา ผมบอกว่าถ้าลูกค้าซื้อของผมไปและติดขัดอะไร เรารับจบให้หมดเลย
ก้าวต่อไปของ ‘Option วัยรุ่นบางแสน’
ผมมองอนาคตแบรนด์ของผมไว้ว่าจะต้องมีฐานที่แข็งแรง ตอนนี้กลุ่มลูกค้าคือวัยรุ่นใช่ไหม แต่อีกหน่อยจะทำให้แบรนด์เป็นเสื้อผ้าที่เด็กก็ใส่ได้ คนมีอายุก็ใส่ได้ คนวัยทำงานก็ใส่ได้ อนาคตผมจะทำกางเกงผู้หญิงมาด้วย เพราะรู้สึกว่าตอนนี้ในหมู่วัยรุ่น 70 – 80% เขาอาจจะรู้จักเรา และต้องฉีกไปตลาดอื่นบ้าง ส่วนบทเรียนที่ได้จากการทำธุรกิจจนกว่าจะมาประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้ ผมบอกเลยว่าตั้งแต่หัวจรดเท่าผมเรียนรู้มาหมดแล้ว โดนหลอกมาหมดแล้ว ซึ่งทั้งหมดมันสั่งสมเป็นประสบการณ์จนทำให้ผมประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้ครับ
การพูดคุยกับ ‘เติ้ล Option วัยรุ่นบางแสน’ ทำให้เรามองเห็นมิติของการทำธุรกิจใหม่ ๆ ที่เริ่มต้นมาจากคำพูดที่ดูถูกเหยียดหยามถึงคำว่า ‘ทรงเอ’ และรสนิยมเหล่านั้นก็ถูกนำมาต่อยอดเป็นธุรกิจเสื้อผ้าจนประสบความสำเร็จในปัจจุบัน โดยสามารถรับชมบทสัมภาษณ์ในรูปแบบวิดิโอได้ผ่านทาง