บอลลูนคบเพลิงโอลิมปิก 2024

ในงานพิธีเปิดมหกรรมโอลิมปิกที่กรุงปารีสนั้น นับได้ว่าเป็นงานที่ประเทศเจ้าภาพ อย่าง ฝรั่งเศสได้ใส่ลวดลายทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของตนเองลงไปพิธีเปิดอย่างเต็มที่โดยที่ไม่ยึดติดกับกรอบความคิดเดิม ๆ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือการนำคบเพลิงโอลิมปิกไปประดับไว้บนฐานรูปวงแหวน ก่อนที่บอลลูนขนาดยักษ์จะยกฐานคบเพลิงลอยขึ้นฟ้าเหนือพิพิธภัณฑ์ลูฟร์กว่า 60 เมตร โดยสามารถมองเห็นได้จากหลายพื้นที่ในกรุงปารีสอย่างสวยงาม แทนที่จะเป็นการนำคบเพลิงไปไว้ฐานบนพื้นธรรมดา ๆ

บอลลูนคบเพลิงโอลิมปิก 2024

สาเหตุที่ทางการฝรั่งเศสได้ตัดสินใจให้ใช้บอลลูนลอยฟ้ายกฐานคบเพลิงขึ้นไปนั้นก็เพราะต้องการรำลึกถึงนักประดิษฐ์สองพี่น้องตระกูลมงกอลฟีเย (Montgolfier brothers) ที่ได้สร้างบอลลูนลมร้อนที่สามารถพาคนลอยขึ้นไปบนฟ้าได้จริง ๆ ในปี ค.ศ. 1783 หรือเมือ 241 ปีที่แล้ว ก่อนหน้าที่สองพี่น้องตระกูลไรต์ (Wright brothers) จะประดิษฐ์เครื่องบินได้ในปี ค.ศ. 1903 ซะอีก แต่กลับไม่ค่อยมีใครรู้จักสองพี่น้องคู่นี้มากนัก ทางการการฝรั่งเศสจึงถือโอกาสนี้บอกเล่าเรื่องราวนี้แก่ผู้ชมงานมหกรรมโอลิมปิกทั่วโลก

เดิมทีสองพี่น้องมงกอลฟีเยนั้นเป็นเจ้าของโรงงานผลิตกระดาษที่ค่อนข้างมีฐานะดีในสมัยนั้น ซึ่งพวกเขานั้นมักทำการทดลองต่าง ๆ อยู่เป็นประจำเพื่อหาวิธีพัฒนาคุณภาพการผลิตกระดาษให้ดีมากยิ่งขึ้น จนวันหนึ่งพวกเขาสังเกตว่าอากาศร้อน ๆ ที่อยู่เหนือเปลวไฟนั้นสามารถทำให้ถุงกระดาษลอยขึ้นฟ้าได้ พวกเขาจึงเริ่มทำบอลลูนลมร้อนต้นแบบขนาด 10 เมตร ทำจากผ้าไหมกับผ้าลินิน แล้วปล่อยให้ลอยขึ้นฟ้าแถวตลาดเมือง Annonay ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส

ผลปรากฎว่าบอลลูนลอยของสองพี่น้องมงกอลฟีเยสามารถลอยขึ้นไปได้สูงกว่า 2 กิโลเมตร และอยู่ค้างในอากาศนานกว่า 10 นาที ซึ่งได้สร้างความประหลาดใจให้กับชาวเมืองเป็นอย่างมาก ทำให้ข่าวแพร่สะพัดไปถึงราชสำนักพระราชวังแวร์ซายและหูของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 อย่างรวดเร็ว 

ไม่นานหลังจากนั้นสองพี่น้องมงกอลฟิเยก็ได้รับเชิญให้ไปออกแบบบอลลูนขึ้นมาใหม่อีกลำหนึ่งเพื่อสาธิตเทคโนโลยีที่อาจพามนุษย์บินได้ให้ประชาชนชาวฝรั่งเศสดู โดยมีช่างฝีมือของวังแวร์ซายคอยช่วยประดิษฐ์บอลลูนและตกแต่งอีกทีหนึ่ง ทั้งจิตรกรของราชสำนักก็ได้วาดรูปพระอาทิตย์ลงไปบนผืนผ้าบอลลูนอันเป็นสัญลักษณ์ของกษัตริย์ฝรั่งเศสลงไปอีกด้วย

บอลลูนของสองพี่น้องมงกอลฟีเย

ทันทีที่บอลลูนลำใหม่สร้างเสร็จเรียบร้อย กลับกลายเป็นว่าไม่มีใครกล้าขึ้นไปเป็นแรก เพราะหลาย ๆ คนต่างกลัวว่าการขึ้นไปในที่สูงอาจส่งผลเสียร้ายแรงต่อร่างกายมนุษย์ได้ ทางราชสำนักแวร์ซายจึงเสนอให้นำนักโทษขึ้นไปทดลอง แต่ทางสองพี่น้องมงกอลฟีเยก็ปฏิเสธและได้ตัดสินใจให้นำ แกะ เป็ด และไก่ ขึ้นไปแทนเพื่อทดสอบนำร่องก่อนที่จะมีการนำมนุษย์ขึ้นไปจริง ๆ 

มีรายการบันทึกว่าพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 พระนางมารีอองตัวเนตต์ และพสกนิกรมากกว่า 130,000 คนได้เป็นสักชีพยานของการปล่อยบอลลูนลมร้อนของสองพี่น้องมงกอลฟีเยขึ้นฟ้าเหนือวังแวร์ซายในครั้งนั้น ซึ่งก็ประสบผลสำเร็จไปได้ด้วยดี โดยตัวบอลลูนสามารถเดินทางห่างออกไปจากวังได้มากกว่า 3.2 กิโลเมตร ภายในระยะเวลาแค่ 8 นาที ก่อนที่ตัวบอลลูนจะลงจอดอย่างปลอดภัยพร้อมกับเจ้า แกะ เป็ด ไก่ ทั้ง 3 ตัว

ต่อมาในวันที่ 21 พฤศจิกายน ค.ศ. 1783 อีก 2 เดือนให้หลัง นายทหารสองคนก็ได้ขึ้นไปบนบอลลูนลำใหม่ของสองพี่น้องมงกอฟีเย ที่สามารถควบคุมบอลลูนให้เดินทางออกไปจากจุดปล่อยได้เกือบ 10 กิโลเมตร เบนจามิน แฟรงกิน หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งสหรัฐอเมริกาก็ได้อยู่สังเกตการณ์ในการทดสอบที่มีมนุษย์บินขึ้นไปด้วย เแฟรงกินกล่าวว่าเขาทั้งรู้สึกประหลาดใจและทึ่งกับเทคโนโลยีบอลลูนลมร้อนนี้มาก 

โดยบอลลลูนลมร้อนของสองพี่น้องมงกอฟีเยนี้เองได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับประดิษฐ์คนอื่น ๆ จนนำไปสู่การค้นพบแก๊สที่เบากว่าอากาศอย่าง ‘ไฮโดรเจน’ มาใช้แทนเปลวเพลิงที่ทำให้อากาศภายในบอลลูนร้อนและลอยขึ้น ซึ่งมีการพัฒนากลายมาเป็นเทคโนโลยีเรือเหาะในช่วงศตวรรษที่ 19 ก่อนที่จะถูกเครื่องบินโค่นตำแหน่งลงไปในแง่ของความปลอดภัยและความเร็วในการเดินทาง 

อย่างไรก็ตามบอลลูนของสองพี่น้องมงกอฟีเยนั้นก็ยังคงถือเป็นเหตุการณ์ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ทำให้ความฝันการโบยบินของมนุษย์กลายเป็นความจริงขึ้นมาได้

อ้างอิง