เชื่อว่าทุกคนคงรู้จักปาท่องโก๋กันเป็นอย่างดี แป้งทอดไร้รสชาติสองชิ้นประกบกัน กินกับน้ำเต้าหู้หรือโจ๊กร้อน ๆ ก็อร่อยลงตัวอย่างน่าเหลือเชื่อ แต่รู้หรือไม่ว่า ไอ้เจ้าปาท่องโก๋ที่พวกเรารู้จักกันนั้นมีที่มาที่ไปไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก
เรื่องราวนี้เกิดขึ้นในเมืองจีน สมัยราชวงศ์ซ่งใต้ (ราชวงศ์ซ่งอยู่ในช่วง ค.ศ. 916-ค.ศ. 1279 แบ่งออกเป็น 2 ราชวงศ์คือซ่งเหนือและซ่งใต้) และเรื่องนี้เกี่ยวข้องโดยตรงกับชายคนหนึ่งที่ชื่อ ‘งักฮุย’ และชายคนนี้มีอายุสั้นเพียงแค่ 39 ปีเท่านั้น เรื่องราวมันมีอยู่ว่าตอนที่งักฮุยเริ่มโตเป็นหนุ่มเต็มวัยประจวบเหมาะกับช่วงที่แผ่นดินซ่งเหนือกำลังเข้าสู่ภาวะวิกฤตครั้งใหญ่
ภาวะวิกฤตครั้งใหญ่ที่ว่าคือ ตอนนั้นราชวงศ์ซ่งกำลังสู้รบอยู่กับอาณาจักรจิน ตัดภาพสลับสู้กันไปมา จนในที่สุดราชวงศ์ซ่งอ่อนแอ และกองทัพจากอาณาจักรจินก็สามารถเข้ามารุกรานเมืองหลวง และสามารถจับจักรพรรดิ (สถานะเทียบเท่ากับกษัตริย์) ไว้เป็นตัวประกันถึง 2 พระองค์ ทำให้ซ่งเหนือถูกยึดครอง ณ ตอนนั้น แต่มีลูกชายของฮ่องเต้คนหนึ่งหนีจากการถูกจับเป็นตัวประกันในครั้งนั้นได้ ทำให้ออกมาตั้งเมืองใหม่ทางใต้ชื่อว่า หลินอาน (ปัจจุบันคือเมืองหังโจว) และตั้งราชวงศ์ที่ชื่อว่า ‘ซ่งใต้’ และเป็นฮ่องเต้ของเมืองนี้
ช่วงเวลานั้นนั่นเองที่ทำให้งักฮุยตัดสินใจไปเป็นทหารใต้ความคาดหวังที่ว่าเขาจะสามารถสู้รบเพื่อชิงแผ่นดินกลับคืนมาได้ บวกกับความต้องการทำตามความฝันของแม่ที่อยากให้งักฮุยเป็นทหารมาตั้งแต่ต้น ทำให้ทุกอย่างเป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยก่อนที่งักฮุยจะออกไปรับใช้ชาติแม่ของงักฮุยได้สักลงบนกลางหลังของงักฮุยด้วยตัวอักษรจีน 4 ตัวที่แปลเป็นไทยว่า ซื่อตรง ภักดี ล้างแค้น เพื่อชาติ โดยหลังจากสักเสร็จก็สาดน้ำหมึกผสมน้ำส้มสายชูทับลงไปด้วยเพื่อป้องกันไม่ให้รอยสักลบ
ชีวิตการเป็นทหารของงักฮุยค่อนข้างประสบความสำเร็จ เพราะสามารถรบชนะได้สำเร็จหลายครั้ง และแสดงออกถึงความกล้าหาญ ผลงานที่ดีทำให้งักฮุยได้สนิทกับแม่ทัพคนหนึ่งชื่อว่า ‘จงเจ๋อ’ ซึ่งจงเจ๋อได้เข้ามาเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ฝืมือทางการทหารของงักฮุยดีขึ้นเรื่อย ๆ และจากที่จงเจ๋อเสียชีวิต งักฮุยก็ได้ขึ้นมาเป็นแม่ทัพคนต่อไป โดยหลังจากขึ้นเป็นแม่ทัพผลงานของงักฮุยก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ สามารถปกครองทหารใต้บัญชาด้วยความเข้มงวด จนทำให้ทุกครั้งที่รบงักฮุยไม่เคยแพ้เลยแม้แต่ครั้งเดียว และค่อย ๆ ทยอยยึดแผ่นดินที่เคยเสียไปคืนมาได้เรื่อย ๆ ทำให้งักฮุยมีชื่อเสียงและเป็นที่รักของประชาชน
เรื่องสำคัญและการกำเนิดขึ้นของปาท่องโก๋กำลังจะเริ่มต้นขึ้นหลังจากนี้ เนื่องจากงักฮุยทำผลงานได้ดีและทยอยยึดคืนพื้นที่ที่เสียไปได้เรื่อย ๆ จนเกือบจะถึงเมืองหลวง ทำให้เกิดไส้ศึกคนหนึ่งขึ้นมาชื่อว่า ‘ฉินฮุ่ย’ โดยฉินฮุ่ยได้เริ่มปฏิบัติการประจบฮ่องเต้จนได้ยศเป็นอัครมหาเสนาบดี (ยศเทียบเท่ากับนายกรัฐมนตรี) เท่านั้นยังไม่พอฉินอุ่ยได้เป่าหูฮ่องเต้ว่าที่เจ้างักฮุยตั้งใจรบไปทั้งหมดก็เพราะเป็นกบฏ และถ้างักฮุยรบชนะและสามารถไถ่ตัวประกันจักรพรรดิออกมาได้ ท่านอาจจะต้องลงจากตำแหน่งฮ่องเต้ การเป่าหูในครั้งนี้ทำให้ฮ่องเต้เรียกตัวงักฮุยกลับมา และสอบสวน ระหว่างการสอบสวนงักฮุยไม่พูดอะไรสักคำ เปิดแผ่นหลังที่มีรอยสักว่า ซื่อตรง ภักดี ล้างแค้น เพื่อชาติ ให้ดูเฉย ๆ แต่ถึงที่สุดแล้วการสอบสวนที่ไม่มีหลักฐานใด ๆ นำมาสู่การประหารชีวิตของงักฮุยด้วยการวางยาพิษ และหลังจากนั้นราชวงศ์ซ่งใต้ก็ถูกล้มล้างราชวงศ์ในที่สุด
ส่วน ‘ปาท่องโก๋’ เกิดจากการที่ชาวบ้านที่รักงักฮุยไม่สามารถทำอะไรเจ้าฉินอุ่ยสุดยอดนักเป่าหูและใส่ร้ายป้ายสีได้ จึงใช้วิธีการนำแป้งสองอันมาทอดประกบกันข้างหนึ่งจินตนาการว่าเป็นฉินอุ่ยข้างหนึ่งจินตนาการว่าเป็นภรรยาของฉินอุ่ย วิธีการกินคือฉีกให้ขาดออกจากกันด้วยความเคียดแค้นและกินเสียเลย นอกจากนั้นยังมีรูปปั้นของฉินอุ่ยและภรรยาไว้ที่ศาลของงักฮุยอีกด้วยทั้งนี้เพื่อใช้สำหรับถ่มน้ำลายด้วยความเคียดแค้นเช่นกัน
อย่างไรก็ดี ‘ปาท่องโก๋’ ที่คนไทยรู้จักกันแล้วมีชื่อจริง ๆ ว่าจาก ‘อิ่ว จา ก้วย’ ซึ่งวิธีการขายในสมัยก่อนคือการเข็นรถเข้ามาขายพร้อมกับขนมที่ชื่อว่า ‘ปะ ทั๊ง โก๊’ ซึ่งเป็นสินค้าที่มักจะขายมาคู่กัน ทำให้คนไทยเข้าใจผิดและเรียก ‘อิ่ว จา ก้วย’ เพี้ยนเป็นปาท่องโก๋จนถึงปัจจุบัน