ปิงปิง-มติพร ลี้ตระกูล เจ้าของเพจ น้องง

หากทุกคนลองหลับตาและนึกย้อนกลับไปสักเมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว ช่วงเวลาเหล่านั้นเป็นช่วงเวลาที่โลกอินเทอร์เน็ตได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผู้คนอย่างเต็มตัว หลายคนมีเพื่อนออนไลน์ หลายคนมีพื้นที่ที่จะแลกเปลี่ยนทัศนคติความคิดเห็นบนพื้นที่เล็ก ๆ ที่เรียกว่า ‘โลกออนไลน์’ และถ้าหากใครเป็นสายปล่อยจอย ชอบความขบขัน หรือความตลก เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอนที่จะไม่รู้จักกับ ‘เพจน้องง’ เพจที่ชอบนำมีมมาประกอบกับแคปชั่นไม่กี่อักษร แต่ก็ทำให้เรารู้สึกตลกไปกับมันได้ การเกิดขึ้นของเพจน้องงที่ปีนี้กำลังจะมีอายุครบ 10 ปีเต็ม เราจึงอยากชวนทุกคนมานั่งพูดคุยกับ ปิงปิง-มติพร ลี้ตระกูล หรือที่ทุกคนรู้จักกันในนามของ ‘มาดามลี’ 1 ใน 3 ของแอดมินเพจน้องงถึงจุดเริ่มต้นและเบื้องหลังการทำเพจน้องง รวมไปถึงตลอดระยะเวลาที่อยู่กับสิ่งนี้เติบโตมาพร้อม ๆ กับมันอย่างไรบ้าง

จุดเริ่มต้นของการก่อตั้ง ‘เพจน้องง’

ต้องเล่าก่อนว่าก่อนหน้านี้มันเป็นเพจน้องแบบมี งอ งู ตัวเดียว และที่เปลี่ยนมาเป็นน้องง แบบมี งอ งู สองตัว เพราะเพจแรกที่สร้างมามันปลิวเลนสร้างเพจใหม่ขึ้นมา โดยจุดเริ่มต้นแรกเลยมันมาจากการที่ส่วนตัวเราเองเป็นคนชอบเสพมีม เสพภาพตลก ชอบดูภาพรีแอคชั่นที่มันสื่อสารถึงอารมณ์ความรู้สึกเราได้ พอเรารู้สึกว่ามันตลกดีก็เลยตั้งใจสร้างเพจขึ้นมาเพื่อเก็บสิ่งเหล่านี้ไว้เล่นกับกลุ่มเพื่อน พอทำไปทำมามันก็มีคนจริตคล้าย ๆ เรา ชอบเสพอะไรเหมือน ๆ เราเข้ามาเล่นด้วย จนมันโตขึ้นเรื่อย ๆ และได้กลายเป็นเพจน้องงถึงทุกวันนี้ครับ บวกกับพอเหตุผลในการสร้างมันสร้างขึ้นมาเพื่อเอาไว้เล่น ๆ กับเพื่อน มันไม่ต้องระบุตัวตน ถ้าอยากทำตัวแปลกประหลาดยังไงก็ไม่ต้องกังวลว่าพ่อแม่ ญาติ ครูที่โรงเรียนจะมาเห็นโพสต์เราไหม ทั้งหมดที่ออกมามันเลยออกมาจากจิตใต้สำนึกของเราจริง ๆ อยากล่นอะไรก็เล่น อยากบูลลี่ใครก็บูลลี่ ซึ่งถามว่าดีไหม เอาเข้าจริงก็ไม่ดีหรอก แต่พอเล่นแล้วมีคนขำคนอื่นเข้ามาเล่นด้วย แต่ก็จะมีฝั่งที่เขาไม่เก็ท รู้สึกว่าไม่ตลก และเขาไม่ชอบ ก็จะเข้ามาโต้แย้งกัน มันเลยจะเกิดเป็นพื้นที่โต้แย้งของคน 2 กลุ่มด้วย 

วิธีเล่นมุกจะไม่ใช่มุกชายแท้แต่จะเป็นมุกของตลาด LGBTQ+

วิธีการเล่นมุกของเราอ่ะ มันก็อารมณ์คล้าย ๆ กับที่เขาเรียกกันว่ามุกชายแท้ แต่ของเราเป็นมุกกะเทย เพราะวิธีการเล่นวิธีการเล่ามันเล่าเรื่องในตลาด  LGBTQ+ กะเทยหน่อย ซึ่งมุกส่วนมากในเพจไม่ใช่การเล่าแบบตรงไปตรงมามันเป็นการเสียดสี ชอบการเปรียบเทียบ ยกตัวอย่างให้เห็นภาพอย่างเพจขอโทษนะคะที่หนูจน ถามว่ามันมีคนจนแบบนั้นจริงไหม มีจริง ๆ มันมีคนจนที่วันนี้ไม่มีอะไรจะกินเลยจริง ๆ ไหม มันมีแน่นอน แต่เราก็หยิบมาเล่าให้มันตลกเพราะเรามองว่าทุกอย่างมันทำให้ตลกได้อย่างเท่าเทียม

เพจ ขอโทษนะคะที่หนูจน
ที่มาภาพ เพจ ขอโทษนะคะที่หนูจน

เพจน้องงมองว่าเราทุกคนสามารถซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตนเองได้

เราอยากให้ทุกคนซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเอง ถ้าคุณอยากขำก็ขำเลย อยากจะบูลลี่ก็บูลลี่เลยแต่ถ้ามันดันไปเกินขอบเขตกฏหมายที่เขาจะเล่นคุณได้ คุณก็โดน คุณต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่คุณทำ ทุกวันนี้บอกตรง ๆ ว่า ตัวเพจน้องงเองก็ปรับเปลี่ยนวิธีการจากเดิมมาเยอะเหมือนกัน สมัยก่อนถ้าเราจะบูลลี่คนนั้น คนนี้ เอามาเล่นตลก และพอเขามาวีนไม่พอใจ เราก็กวนตีนกลับแต่เดี๋ยวนี้ ถ้าเราไปหยิบรูปเขามาเล่นมุก อาจจะไม่ใช่มุกที่แรงมาก แต่ถ้าเขาไม่โอเค ไม่ยินยอม เราก็ขอโทษและลบให้ แต่ถ้าเป็นสมัยก่อนก่อนกวนตีนก่อนสัก 3-4 รอบค่อยลบ ช่วงแรกคะนองมาก สนุกมาก ชอบมากการไปตีกับสลิ่ม ไปแกล้งเขา แต่เดี๋ยวนี้ไม่แล้ว คอนเทนต์อะไรก็ตามที่เราเอามาทำให้มันตลกเพิ่มและถ้าเขาไม่พอใจก็จะลบเลย เพราะว่าเราเปิดหน้าเปิดตามากขึ้น รับงานที่มันจริงจังมากขึ้น รับงานโฆษณา ล่าสุดเราจัดปาร์ตี้ที่เอาคนในโลกออนไลน์มาเจอกัน จัดมาหลายครั้งแล้ว ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 8 ก็เลยต้องเซฟตัวเองมากขึ้น บวกกับสิ่งที่มันเพิ่มขึ้นมาก็คือเราต้องมีความรับผิดชอบมากขึ้นไม่ห้าวเกินและไม่คุกคามใคร 

คนดูเติบโตขึ้นมาพร้อม ๆ กับเพจน้องง

การเปลี่ยนแปลงของเพจน้องงที่โตขึ้น รับผิดชอบกับมากขึ้น ไม่ห้าวเกิน ไม่ได้ทำให้ตัวตนของเพจไม่เหมือนเดิมกับคนดู เพราะเรามองว่าตัวคนดูเพจน้องงเองก็น่าจะเติบโตมาพร้อม ๆ กับเรา ย้อนกลับไปตอนนั้นคนดูน่าจะอายุราว ๆ 21-22 ปี ปัจจุบันเรา 30 ปี เวลาเป็น 10 กว่าปีเลยนะ เราเลยมองว่าคนดูเขาก็อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงตัวเองเหมือนกัน ซึ่งแน่นอนว่ามันเป็นเรื่องของช่วงวัย เอาแค่สมัยเรียนกับสมัยทำงาน พอคนเราเจออะไรมาเยอะขึ้นมันก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงเยอะขึ้นครับ รวมไปถึงตัวเราเองด้วยนะ ต้องบอกว่าเพจนี้ให้โอกาสเราได้เจอคนเยอะขึ้น พื้นเพเราเองก็ไม่ได้ีดีมาก ฐานะทางบ้านก็ไม่ได้ดีมาก แต่โลกออนไลน์มันทำให้ทุกคนมาเจอกัน ไม่ต้องบอกว่ารวยหรือจน ทุกคนมีสิทธิ์มาเจอกัน พอเราได้คลุกคลีกับคนหลาย ๆ กลุ่มก็ได้โอกาสในการทำงาน ทัศนคติก็เปลี่ยนไปตามคนที่เรารู้จัก เราก็บอกทุกคนที่มาสัมภาษณ์เราไปตามตรงว่าเราเปลี่ยนไปนะ จากเดิมเราห้าวเดี๋ยวนี้เราต้องรับผิดชอบกับอะไรมากขึ้น 

มุมมองจาก 3 แอดมินถึงทิศทางของเพจน้องง

ยุคก่อนคือสนุกอย่างเดียว ยุคนี้อยากจะเป็น Corporate เราคิดกันถึงขั้นว่าอยากจะจดเป็นบริษัทและเราก็มี Community มีเพจ มีทีมที่ทำปาร์ตี้ INTO ด้วยแต่ไม่ได้ใหญ่มาก มีช่องทางที่มันมีคุณค่า โฆษณาก็น่าจะมาซื้อเรา เราก็เลยคิดว่าหรือเราจะจดเป็นบริษัทไหม 

ปิงปิง-มติพร ลี้ตระกูล

จุดเริ่มต้นของกลุ่ม INTO THE BORDERLAND

จุดเริ่มต้นมันมาจากการที่มีคนชวนเพจน้องงว่า เรากำลังจะมีปาร์ตี้ คุณชวนคนของคุณมาก มาจอยกันในปาร์ตี้ก็เลยตั้งกลุ่มเฟซบุ๊คกันขึ้นมา จนเกิดเป็น Community ในกลุ่มเฟซบุ๊คขึ้นมาซึ่งมันก็เกิดมาพร้อมกับฟังก์ชั่นฟีเจอร์กลุ่มเฟซบุ๊คที่เพิ่งมีเหมือนกัน เพราะตอนแรกมันยังไม่มีกลุ่ม ซึ่งเรื่องที่คุยกันในกลุ่มก็คุยกันว่าอยากจะทำอะไรในปาร์ตี้บ้าง อยากให้ปาร์ตี้มีอะไร อยากให้เปิดเพลงอะไรในงาน แต่พอปาร์ตี้จบก็ยังมีการพูดคุยกันต่อ เอารูปมีมมาลงบ้าง เอารูปคนนั้นคนนี้มาลงบ้าง มาล้อกันสนุกสนาน จนกลายเป็น Community ซึ่งเราเองก็ไม่ได้ลงไปดูแลอะไรในกลุ่มเยอะ ใครอยากโพสต์อะไรก็โพสต์ แต่สิ่งหนึ่งที่จะคอยดูอยู่ตลอดก็คือ พวกเฟซบุ๊คอวตารหรือคนที่ใช้แอคเคาท์ที่ไม่มีข้อมูลจริง ไม่มีภาพของตัวเองจริง ๆ เพราะเรารู้สึกว่าคนพวกนี้ไม่มีความรับผิดชอบต่อการแสดงความคิดเห็น อย่างน้อยที่สุดคุณจะพูดอะไรออกมา มันควรมีหน้าของคุณ มันมีชื่อของคุณ มีตัวตนของคุณ เพื่อรับรองหน่อยว่าสิ่งที่ฉันกำลังจะพูดฉันจะรับผิดชอบกับมัน

กลุ่ม INTO VS กลุ่ม จ๊อก จ๊อก

จริง ๆ มันเกิดมาไล่ ๆ กันเลย แต่ จ๊อก จ๊อก จะแรงกว่า เราเคยเข้าไปอยู่เหมือนกันมันจะสิ่งที่เรียกว่า ‘ดาวจ๊อก’ ก็คือคนที่เขาชอบเอามาล้อเลียน มาบูลลี่กันในกลุ่ม เขาก็จะส่งเสริมกันว่าคนนี้เป็นดาวจ๊อกเอาคนนี้มาล้อได้ แต่กลุ่ม INTO จะไม่มี กลุ่ม INTO ตอนแรก ๆ ผมบอกว่าให้เอามีมมาลงและเดี๋ยวของใครถูกเลือกจะเอาไปปั่นต่อในเพจน้องง คนที่ถูกเลือกมีมไปเขาก็ดีใจว่าถูกเลือก แต่ถึงขั้นต้องมีดาว ต้องทำมีมให้คนกลุ่มนี้โดยเฉพาะไม่มี ผมว่าจ๊อกแรงกว่า กลัว (หัวเราะ) แต่จ๊อกเขาก็โตไปเป็นสื่อแล้วนะ อาจจะพูดว่าเขาก้าวกระโดดเร็วมากกว่าก็ได้ แต่เราไม่ได้เป็นสื่อ อนาคตไม่รู้ อาจจะมีการตั้งบริษัท แต่ตอนนี้อยู่ตรงนี้โอเคแล้ว ในเพจก็ยังลงมีม ลงรูปตลกอยู่ แต่ก็รับโฆษณาด้วย เวลารับโฆษณาก็ต้องระวังด้วยว่าเล่นแรงไปไหม ลูกค้าชอบไหม มันก็มีปัจจัยหลาย ๆ อย่างที่เราจะเลือกเล่นหรือไม่เล่นอะไร 

การออกรายการ “In Her View กับ คำ ผกา” เป็นการออกรายการครั้งแรกไหม?

ก่อนหน้านี้เคยออกรายการกับอาจารย์ยิ่งศักดิ์มาก่อน ตอนนั้นยังไม่อยากเปิดเผยตัว น่าจะประมาณ 5-6 ปี และตัวเราเองก็ชอบรายการตีสิบที่เขาเอาโสเภณีดูไบมาสัมภาษณ์ แต่งตัวใส่วิก ใส่ที่คาดปิดหน้าเราก็อยากเป็นแบบนั้นบ้าง มันดูฉาวดี ฉันเป็นโสเภณีแต่มาออกรายการได้ ก็เลยอยากเป็นแบบนั้น ก็เลยวางไว้เลยว่าถ้ามาออกรายการจะมาในลุคนี้ และพอได้ออกก็แต่งลุคนี้ไปรายการเลย เวลาคนดูเห็นเขาก็จะจำเราในภาพนั้น แต่ถ้าตอนนี้มีรายการเชิญไปออกก็เปิดหน้าเลยไม่ปิดแล้ว คนไม่ได้อยากรู้ว่าเพจน้องงคือใคร แต่อินไซด์คนเขาก็รู้ว่าเพจน้องงคือใคร แต่ไม่ได้มีใครมาตามหา เวลาเราเห็นอินฟลูเอนเซอร์เปิดหน้าเปิดตา เราก็อยากเป็นแบบเขานะ แต่เราคิดว่าถ้าเราไปเป็นก็คงเหนื่อย เรายังมีพื้นที่เซฟโซนของเราอยู่ เราเลยไม่ได้เอาตัวเองไปอยู่ในสื่อเยอะ อยู่แค่ในปาร์ตี้ INTO แค่นี้พอ หรือถามว่าสัมภาษณ์ได้ไหม ได้ แต่ถ้าต้องแต่งตัวใหญ่ ๆ ออกงาน ทำคลิปครีเอเตอร์อะไรแบบนี้ เรารู้สึกไม่อยากทำ เราเหนื่อย เราขอมีเซฟโซนตรงนี้ดีกว่า 

คำผกา x เพจน้องง
ที่มาภาพ เพจ Voice TV – In Her Eyes

ในช่วงท้ายเนื่องจากเดือนนี้เป็นเดือนไพรด์ เราจึงได้นั่งพูดคุยกันถึงมุมมองของ LGBTQ+ ในไทย ซึ่งตัวแอดมินเพจน้องงเองก็บอกว่า ตนเองมองเรื่องสิทธิทางกฏหมายเป็นหลัก เพราะส่วนตัวเคยซื้อบ้านร่วมกับแฟนแต่พอเลิกรากันไปก็เกิดปัญหาตามมา รวมไปถึงเรื่องมรดก การรักษาพยาบาล เพราะข้าราชการชายหญิงที่เป็นสามีภรรยากันสามารถใช้สิทธิ์ตรงนี้ได้ แต่ถ้าเป็น LGBTQ+ ไม่สามารถเข้าถึงสิทธิ์ตรงนี้ได้ และแอดมินมาดามลีแห่งเพจน้องง ได้ฝากเมสเสจเล็ก ๆ ไว้ว่า ขอบคุณทุกโอกาส ที่ให้พื้นที่กับความตลกขบขับแบบ non-pc นำพาเพจน้องงมาถึงปีที่ 10 ได้ ที่เคยให้สัมภาษณ์อย่างครุ่นคิดไว้ว่า “อย่าถามว่าเพจน้องให้อะไรกับสังคม แต่สังคมต่างหากที่ต้องให้อะไรกับเพจน้อง” ประสบการณ์ เวลา และโอกาส นำพาเรามาถึงวันนี้ ทั้ง Community กลุ่ม INTO หลากหลายสาขา และ INTO MEETING PARTY ทั้ง 8 ครั้ง ทำให้เราได้ใกล้ชิดผูกพันกันมากขึ้นจากวันที่เราไม่เคยรู้จักกันเลย ทีมผู้บริหาร INTO เห็นสมควรแล้วว่าถึงเวลาที่เพจน้องต้องให้อะไรกลับสู่สังคมบ้าง และงานบางกอกไพรด์ 2024 ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ที่เพจน้องจะเริ่มทำกิจกรรมเพื่อชุมชนของ LGBTQ+