วันนี้ (9 มิถุนายน 2567) เวลา 9:00 น. ที่อาคารอนาคตใหม่ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาพรรคก้าวไกล แถลงแนวทางการต่อสู้คดียุบพรรคก้าวไกล ชี้ว่าการยื่นคำร้องของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยมีข้อที่สามารถต่อสู้กับ กกต. ได้ดังนี้
- ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีขอบเขตอำนาจพิจารณาวินิจฉัยคดี
- กระบวนการยื่นคำร้องของ กกต. ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
- คำวินิจฉัยของคดี เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2567 ไม่ผูกพันต่อคดีนี้
- การกระทำที่ถูกกล่าวหาไม่เป็นการล้มล้าง ไม่อาจเป็นปฏิปักษ์
- การกระทำตามคำวินิจฉัย เมื่อวันที่ 31 มกราคม 67 ไม่ได้เป็นมติของพรรค
- โทษยุบพรรคต้องเป็นมาตรการสุดท้ายเมื่อจำเป็น ฉุกเฉิน ฉับพลัน และไม่มีทางอื่นแก้ไขในระบอบประชาธิปไตย
- ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรค
- จำนวนปีในการตัดสิทธิ์ทางการเมืองต้องได้สัดส่วนกับความผิด
- การพิจารณาโทษต้องสอดคล้องกับกรรมการบริหารพรรคในช่วงที่ถูกกล่าวหา
โดยใน 9 ข้อนี้ พิธาหยิบยก 4 ข้อขึ้นมาพูดอย่างละเอียด ได้แก่ ประเด็นเรื่องศาลรัฐธรรมนูญไม่มีขอบเขตอำนาจพิจารณาวินิจฉัยคดี โดยพิธากล่าวว่าตามมาตรา 210 ศาลรัฐธรรมนูญมีหน้าที่และอำนาจในการพิจารณาวินิจฉัยความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมายและร่างกฎหมาย, พิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา รัฐสภา คณะรัฐมนตรี หรือองค์กรอิสระ และหน้าที่และอำนาจอื่นตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ
ประเด็นต่อมาคือกระบวนการยื่นคำร้องของ กกต. ไม่ชอบด้วยกฎหมาย พิธากล่าวว่า กกต. ดำเนินตามมาตรา 92 ระบุไว้ว่า เมื่อคณะกรรมการมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า พรรคการเมืองใดกระทําการอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ ให้ยื่นศาลรัฐธรรมนูญเพื่อสั่งยุบพรรคการเมืองนั้น ซึ่งประกอบไปด้วยกันทั้งหมด 13 ข้อ โดย 3 ข้อหลัก ได้แก่ กระทำการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ โดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ, กระทำการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และกระทำการฝ่าฝืนอีกหลายมาตรา ซึ่งพิธาย้ำอีกว่า การยื่นคำร้องของ กกต. ไม่ขอบด้วยกฎหมาย เพราะผู้ถูกร้องไม่มีโอกาสรับทราบ โต้แย้ง หรือแสดงพยานหลักฐานของตน และต้องพิจารณาประกอบกับมาตรา 93 เพราะมาตรา 92 ที่ กกต. ยื่นคำร้องนั้นเป็นข้อกล่าวหา แต่มาตรา 93 เป็นวิธีพิจารณา พิธายังกล่าวอีกว่า กระบวนการนี้ไม่เคยเกิดขึ้น เพราะการยื่นคำร้องคดีนี้ขัดต่อระเบียบที่ กกต. ตราขึ้นเอง
ประเด็นต่อมาคือ คำวินิจฉัยของคดี เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2567 ไม่ผูกพันต่อคดีนี้ เนื่องจากคำพิพากษาหนึ่งจะผูกพันกับอีกคดีได้ต้องเป็นข้อหาเดียวกัน ระดับโทษใกล้เคียงกัน ซึ่งความเข้มข้นของการพิสูจน์คดีก็จะต่างกัน โดยคดีเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2567 กกต. ใช้รัฐธรรมนูญมาตรา 49 แต่คดีนี้ใช้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) มาตรา 92 สั่งยุบและตัดสิทธิ์ทางการเมืองของกรรมการบริหารพรรค ซึ่งจะเห็นได้ว่าเป็นคนละบริบทกฎหมาย ไม่สามารถนำมาผูกพันกันได้ ต้องพิจารณาใหม่ด้วยมาตราฐานการพิสูจน์ที่ต่างกัน
ประเด็นสุดท้ายคือโทษยุบพรรคต้องเป็นมาตรการสุดท้ายเมื่อจำเป็น ฉุกเฉิน ฉับพลัน และไม่มีทางอื่นแก้ไขในระบอบประชาธิปไตย โดยกล่าวว่า การยุบพรรคการเมืองที่มีเป้าหมายเพื่อปกป้องประชาธิปไตยสามารถเกิดขึ้นได้ ทว่าการยุบพรรคการเมืองที่เปรียบเสมือนตัวแทนของประชาชนนั้นต้องทำอย่างระมัดระวัง และต้องได้รับการพิสูจน์แล้วว่าผิดจริง ดังนั้นการยุบพรรคจึงควรเป็นมาตรการสุดท้ายเมื่อไม่มีทางเลือกอื่น และย้ำชัดว่าการยุบพรรคการเมืองควรเป็นวิธีการสุดท้าย อย่างไรก็ตามพิธายังคงยืนยันว่าพรรคก้าวไกลสามารถต่อสู้ได้ผ่านแนวทางทั้ง 9 ข้อนี้ และต้องรอติดตามกันต่อไปว่าสุดท้ายแล้วผลการพิจารณาจะออกมาได้รูปแบบใด














