วันนี้ (6 พฤศจิกายน 67) นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยคณะผู้ติดตามกำลังเดินทางออกจากท่าอากาศยาน 2 กองบิน 6 ไปยังนครคุนหมิง สาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจลุ่มแม่น้ำโขงครั้งที่ 8 และการประชุมผู้นำยุทธศาสตร์ความร่วมมือเศรษฐกิจอิรวดี เจ้าพระยา แม่โขง ครั้งที่ 10 โดยผู้สื่อข่าวได้มีการถามเกี่ยวกับประเด็นการยกเลิก MOU 2544 และสถานการณ์การเลือกตั้งในสหรัฐอเมริกาที่ดูเหมือนว่าตอนนี้คะแนนของ โดนัลด์ ทรัมป์ กำลังนำอยู่ ทว่านายกฯ ปฏิเสธการตอบคำถามทั้งหมด ก่อนจะยิ้มและโบกมือทักทายทุกคนแทนการตอบคำถาม
ต่อมา มาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ตอบกลับในประเด็นการเลือกตั้งสหรัฐฯ ว่า ต้องรอความชัดเจนเกี่ยวกับผลการนับคะแนนเลือกตั้งอีกครั้ง ส่วนในประเด็นที่ว่า หากทรัมป์ได้เป็นประธานาธิบดีจะส่งผลต่อประเทศไทยหรือไม่อย่างไร ยังคงยืนยันว่าแม้จะมีการเปลี่ยนประธานาธิบดี แต่ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและสหรัฐฯ ยังคงเหมือนเดิม เรียกได้ว่าชัดเจนและเข้มแข็งในทุกด้าน ดังนั้นไม่ว่าใครจะขึ้นมาเป็นผู้นำ ความสัมพันธ์ระหว่างทั้ง 2 ประเทศยังเป็นเหมือนเดิมแน่นอน
ความจริงแล้วรัฐบาลมีส่วนในเรื่องของการเข้ามาดูนโยบาย แต่ความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างกันระหว่างประเทศต้องอาศัยความร่วมมือและความซับซ้อนหลายมิติ ซึ่งทุกภาคส่วนต้องไปด้วยกันทั้งภาครัฐ เอกชน และภาคประชาชน ดังนั้นใครจะมาเป็นหัวเรือจึงไม่มีปัญหา เพราะความสัมพันธ์ก็ดำเนินเช่นนี้ต่อไป และขอให้รอดูผลการเลือกตั้งก่อนว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายหรือไม่ หลังจากนั้นจึงจะมีการพูดคุยกับผู้ที่เกี่ยวข้องอีกครั้ง แต่ขณะนี้แนวโน้มบุคคลที่จะได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดียังคงเป็นเพียงการคาดการณ์ จึงยังไม่อยากให้รายละเอียดไปมากกว่านี้ เพราะอาจจะส่งผลต่อการพูดคุยในอนาคต ดังนั้นขอให้รอฟังทุกสิ่งทุกอย่างให้แน่นอนก่อน
อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องจับตาดูกันอย่างใกล้ชิดกับสถานการณ์การเลือกตั้งสหรัฐฯ ว่าสุดท้ายแล้วระหว่างทรัมป์และกมลา ใครกันแน่ที่จะได้ก้าวขึ้นเป็นผู้นำหนึ่งในประเทศมหาอำนาจของโลก แล้วนโยบายรวมถึงวิสัยทัศน์ของเขาคนนั้นจะส่งผลต่อรูปแบบความสัมพันธ์ทั้งทางด้านเศรษฐกิจและการเมืองอย่างไรบ้าง