เส้น 3 แต้ม, บาสเกตบอล, NBA

“บาสยุคนี้ต้อง 3 แต้มเท่านั้น!” ปฏิเสธไม่ได้ว่าเทรนด์ของกีฬา “บาสเกตบอล 🏀” ในปัจจุบัน ไม่ว่าคุณจะเล่นบาสที่ใดก็ตาม ต้องนิยมวิ่งรับบอลแล้วออกมายิงไกลนอกเขตเส้น 3 คะแนนอย่างไม่ต้องสงสัย

อิทธิพลจากการเล่นในรูปแบบนี้หนีไม่พ้นแนวทางการเล่นจากลีกบาสเกตบอลชื่อดัง อย่าง “เอ็นบีเอ (NBA) 🇺🇸” ที่เริ่มมีการเล่นในรูปแบบเคลื่อนบอลเพื่อหาพื้นที่ยิงไกลโดยเฉพาะนอก “เส้น 3 แต้ม” ที่ได้ประสิทธิภาพที่ดีต่อผลลัพธ์ในการแข่งขันเป็นอย่างมาก ส่งผลให้เกิดเหล่าบรรดาผู้เล่นนักแม่นปืนที่เริ่มมีชื่อเสียงจากการเล่นด้วยวิธีนี้หลายคน อาทิ สเตฟเฟน เคอร์รี 3️⃣0️⃣ , เคลย์ ทอมป์สัน 1️⃣1️⃣ , เดเมียน ลิลลาร์ด 0️⃣ , เจมส์ ฮาร์เดน 1️⃣3️⃣ , ลูก้า ดอนซิส 7️⃣7️⃣ และยังมีผู้เล่นอีกมากที่นิยมหันมาเล่นด้วยวิธียิงไกลกันมากขึ้น

ด้วยการเล่นในรูปแบบนี้ ส่งผลให้วิธีการเล่นปะทะ “วงใน” เริ่มปรับให้มีการปะทะกันอย่างรุนแรงน้อยลง แล้วนำไปสู่การเน้นทำแต้มที่มีความแม่นยำกันมากขึ้น นำไปสู่ผลลัพธ์ที่ต้องการจากการแข่งขันได้

หนึ่งในสื่อความรู้ชื่อดังของสหรัฐฯ 🇺🇸 อย่าง “วอกซ์ (Vox)” ได้นำเสนอเรื่อง “How the 3-point line is breaking basketball” หรือแปลไทยได้ว่า “เพราะเหตุใดเส้น 3 แต้มถึงทลายวิถีแห่งบาสเกตบอล” เป็นประเด็นที่น่าสนใจของเรื่องนี้ในช่วงปี 2021

วันนี้ SUM UP จึงขอพาทุกท่านไปติดตามเนื้อหาในประเด็นที่กล่าวมานี้ ถึงอิทธิพลการทำแต้มในบาสเกตบอลที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม โดยเฉพาะที่เกิดชึ้นในลีกดังอย่างเอ็นบีเอ แต่ส่งผลต่อการเล่นให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้นสำหรับกีฬาชนิดนี้ รวมถึงประเด็นต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องและน่าสนใจในเนื้อหานี้กัน 🏀 

ประวัติการทำแต้มระยะไกล ในอดีตของ “NBA”

ในช่วงเริ่มต้นของ “How the 3-point line is breaking basketball” จะพาให้ทุกคนย้อนกลับไปนึกถึงการรับชมบาสเกตบอลที่แตกต่างกันไปตามยุคสมัย คำถามได้ถูกตั้งขึ้นมาว่า “คุณยังจดจำรอบตัดเชือกของเอ็นบีเอหรือที่รู้จักกันว่า “เพลย์ออฟ (Playoffs)” ในปี “1999” ได้หรือไม่? แล้วถ้านึกถึงเพลย์ออฟในปี “2019” ล่ะ แตกต่างกันอย่างไร?”

จากคำถามนี้จึงขอหยิบยกสถิติพื้นที่การทำแต้มของทั้ง 2 ยุคมานำเสนอ โดยเน้นไปที่พื้นที่การทำแต้มจากนอกเขต “เส้น 3 แต้ม” ที่ถูกกำหนดไว้ในลีกนี้ ในปี 1999 ทีม “ออร์แลนโด แมจิก” มีสถิติ 29% จากการโจมตีในระยะนี้มากที่สุดในปีนั้นที่มีการอ้างอิงกล่าวถึง

ในขณะที่ปี 2019 ทีม “ฮุสตัน ร็อคเก็ตส์” มีสถิติในระยะนี้ที่ 51% เป็นตัวเลขที่ถูกเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว สื่อให้เห็นว่าวัฒนธรรมการยิงไกลจากเส้น 3 คะแนนมีความนิยมที่มากขึ้นกว่าเดิม จุดเริ่มต้นของการมีเส้นยิงไกลนี้ต้องย้อนกลับไปในปี 1979 จุดประสงค์ของการมีเส้นนี้เพื่อช่วยให้คะแนนสามารถไล่ตามกันทันได้ด้วย 3 คะแนน และลดการปะทะกันจาก “วงใน” ของการแข่งขันบาสเกตบอล

ผู้ที่มายืนยันในเรื่องนี้คือ “เดวิด เบอร์รี” ผู้เชี่ยวชาญด้านสถิติทางกีฬาจากมหาวิทยาลัย “เซาท์เทิร์น ยูทาห์” ได้เกริ่นเริ่มเอาไว้ว่า “ผู้เล่นในลีกตอนนั้นยังไม่ค่อยมีใครเลยที่จะยิง 3 แต้มลงได้อย่างต่อเนื่อง” โดยในปี 1970 ทีมบาสเกตบอลส่วนใหญ่นิยมการทำแต้มเน้นไปที่ “เลย์อัพ (Layups)”, “ดังค์ (Dunks)” และ “ยิงระยะกลาง (Mid-Range Shots)” ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมาจะได้เพียงแค่ 2 แต้มเท่านั้นในการแข่งขัน ส่วนการยิงไกลถึงจะได้ 3 แต้ม กลับถูกมองว่ามันเป็นสิ่งที่เสี่ยงเกินจำเป็นต่อการแข่งขัน เบอร์รีจึงยกมุมมองที่เห็นภาพได้ชัดว่า “ลองนึกว่าหากสเตฟเฟน เคอร์รี ไปเล่นในปี 1978 และเริ่มยิงแบบที่ทำในยุคนี้สิ ผมรับรองว่าเขาได้ถูกให้ไปในม้านั่งสำรองแน่นอน”  

เขาได้อธิบายต่อว่า “แต้มมาจากผู้เล่นตัวใหญ่ การแข่งขันจะนำลูกบาสไปสู่เหล่าคนตัวสูงหลายฟุต แล้วพวกเขาจะทำแต้มด้วยวิธีนี้” การยิงในยุคนั้นยังถือว่าเป็นเรื่องที่ยาก พวกเขายังไม่คุ้นเคยกับการเสี่ยงยิงไกล เอ็นบีเอเปิดเคยเผยวิดีโอในอดีตปี 1979 เมื่อ “คริส ฟอร์ด” ของทีม “บอสตัน เซลติกส์” เป็นผู้เปิดซิงยิงไกลครั้งแรกของลีก แต่ผลลัพธ์ที่ได้ยังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแนวทางการเล่นเดิม

การศึกษาผ่าน “สถิติ” ช่วยทำให้การยิงไกลถูกปรับมาใช้มากขึ้น

เนื้อหาได้หยิบยกข้อมูลสถิติผ่านเว็บไซต์ “Basketball-reference.com” พาทุกท่านไปดูข้อมูลต่าง ๆ ตั้งแต่ยุคต้นจนมาถึงยุคปัจจุบัน โดยจะเทียบสัดส่วนจากคะแนนระหว่าง “ความพยายามในการทำแต้มทั้งหมด” , “ความพยายามในการยิงไกล 3 แต้ม” และ “ความสำเร็จจากการยิงไกล 3 แต้ม” จากทุกทีมในลีก

ในเริ่มต้นช่วงฤดูกาล 1979/80 ทุกทีมยิงทั้งหมด 7,433 ครั้ง ยิงไกลไป 227 ครั้ง สำเร็จถึง 64 ครั้ง สิ่งที่น่าสนใจเกิดขึ้นในฤดูกาลที่ 1986/87 พบความสำเร็จในการยิงไกลสูงถึง 173 ครั้ง นับเป็นพัฒนาการครั้งแรกที่มีการยิงสูงเกินกว่า 100 ครั้ง เป็นความหวังเล็กน้อยต่อวิธีการยิงไกลที่เกิดขึ้น

ด้วยความหวังของลีกในตอนนั้น ช่วงยุค “90s” จึงมีการปรับส่วนโค้งของมุมเส้น 3 แต้มให้ขยับเข้าใกล้ห่วงมากขึ้น เพื่อหวังให้ผู้เล่นที่เด่นในการทำแต้มด้วยการยิง อย่าง “ไมเคิล จอร์แดน” และ “สตีฟ เคอร์” ของทีม “ชิคาโก บูลส์” ได้ประโยชน์จากวิธีนี้ แต่มันก็ยังไม่ดีพออย่างที่คาดเอาไว้ ทำให้ลีกกลับมาใช้เส้นแบบเดิมอีกครั้ง

จนกระทั่ง 20 ปีหลังจากช่วงเริ่มต้น ในฤดูกาล 1999/2000 สถิติการยิงไกลในปีนี้สูงขึ้นถึง 1,125 ครั้ง จากการยิงทั้งหมด 6,732 ครั้ง และเมื่อเทียบมาถึงฤดูกาล 2018/19 การยิงไกลเพิ่มขึ้นถึง 2,625 ครั้ง จากการยิงทั้งหมด 7,315 ครั้ง บ่งบอกถึงการยิงไกลที่สูงขึ้นถึง 150% โดยการเปลี่ยนแปลงนี้มีปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับสถิตินี้ โดยเบอร์รีได้บอกว่า “33% ที่ได้จากยิง 3 แต้ม มันดีพอเมื่อเทียบกับ 50 % ที่ได้จาก 2 แต้มเช่นกัน” สื่อถึงว่าหากลองยิงไกลลง 1 ใน 3 ครั้งได้ มันให้ผลลัพธ์เทียบเท่าการทำแต้มปกติที่มีโอกาสครึ่งต่อครึ่งเช่นเดียวกัน 

หนึ่งในผู้ที่มาเสนอในประเด็นนี้คือ “เจมส์ ดาเตอร์” นักข่าวสายกีฬาจาก “เอสบี เนชั่น (SB Nation)” เขาคือผู้เขียนบทความที่ชื่อว่า “The NBA is at a breaking point with three-point shooting” ที่สื่อถึงว่า “ลีกนี้กำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนของการยิงไกล 3 แต้ม” เขาได้บอกว่า “ลีกได้เน้นไปที่การวิเคราะห์ทางข้อมูลมากขึ้น ส่งผลต่อปัจจัยที่ทำให้ยิงไกลสำคัญมากยิ่งขึ้น โดยที่คุณจะต้องมีปัจจัยที่ว่าผู้เล่นของคุณสามารถที่จะทำมันได้” จากสิ่งที่ดาเตอร์กล่าวมาจะเป็นส่วนสำคัญต่อการยกระดับของการยิงไกลที่ทำให้ทุกท่านได้เห็นในทุกวันนี้ แล้วมันทำได้อย่างไรกันล่ะ? 

การยกระดับการยิงไกลให้กลายเป็นวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นใน “NBA”

จากสิ่งที่กล่าวมา การยิงไกลจะเกิดขึ้นมาไม่ได้หากไม่มีผู้ริเริ่มในการปรับเปลี่ยนให้สิ่งนี้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการแข่งขัน เขาคนนั้นคือ “แดริล มอเรย์” ผู้บริหารด้านบาสเกตบอลที่คลั่งไคล้ในเรื่องของสถิติมาอย่างยาวนาน และได้รับเครดิตในการใช้วิธียิงไกลในรูปแบบนี้

โดยในปี 2014 เขาให้ทีม “ริโอ แกรนด์ วัลเลย์ ไวเปอร์ส” จากลีกรอง “ดีลีก (D-League)” ให้ลดการทำแต้มจากใกล้ห่วง แล้วมายิงไกลนอกเส้นให้มากขึ้น ในตอนนั้นทีมจากลีกใหญ่มีค่าเฉลี่ยในการยิง 3 แต้มที่ 22.5 ครั้งต่อเกม กลายเป็นทีมรองที่ทำได้ถึง 48.2 ครั้งต่อเกม ส่งผลที่ชัดเจนขึ้นจากวิธีการที่มอเรย์ได้เลือกมาใช้

ผลลัพธ์ได้รับการยืนยันด้วยการเป็นอันดับ 1 ด้านเกมรุก 113.4 แต้ม จนเป็นกระแสว่า “วัลเลย์กำลังพลิกโฉมเอ็นบีเอ”  ดาเตอร์ได้เสริมต่อเรื่องนี้อย่างกระชับว่า “จะเกิดอะไรขึ้นล่ะ! หากมีผู้เล่นคนหนึ่งที่ยิงไกลได้ แล้วกลายเป็น 5 คนที่สามารถยิงไกลได้หมดอย่างที่ต้องการ แล้วเพิ่มโอกาสในการยิงให้ทีมได้มากยิ่งขึ้น” เมื่อเราสมมติฐานขึ้นเป็นทฤษฎีที่พอเป็นไปได้

นับตั้งแต่นั้นการยิงไกลจาก 3 แต้มได้นิยมใช้มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะกับ “ฮุสตัน ร็อคเก็ตส์” ในปี 2019 ที่กลายเป็นทีมแรกที่ยิงไกล 3 แต้มมากกว่าการจบสกอร์ด้วย 2 แต้มแบบปกติในสัดส่วนคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ 51%/49% จากวิธีการที่เสี่ยงต่อการเล่น เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นวัฒนธรรมใหม่ของลีกที่เริ่มผลิดอกออกผล แม้จะให้สิ่งดี ๆ จากวิธีการเกิดขึ้นมาได้แล้ว แต่มันอาจมีสิ่งตรงกันข้ามที่แฝงตามมาโดยไม่ได้คาดถึงในเรื่องนี้

ในอีกมุมมองหนึ่ง การยิงไกลอาจเป็นจุด “ทำลาย” การแข่งขันบาสเกตบอลได้

กล่าวมาถึงตรงนี้ ดาเตอร์เองก็เตือนถึงสิ่งที่อาจตามมากับวิธีการนี้ “มีโอกาสสูงมากเลยที่สิ่งนี้เองจะทำลายการแข่งบาสเกตบอลโดยสิ้นเชิง สิ่งที่น่ากลัวคือวิธีจะสูญเสียเสน่ห์ของบาสหรือเปล่า? ด้วยแนวทางที่ต่างทีมปะทะกันอย่างสูสี ให้ได้ลุ้นว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อกลยุทธ์ต้องมาประชันกัน ต่างกับวิธีการหนึ่งที่ต่างทีมต้องแข่งกันยิงลง 3 แต้มให้ได้มากกว่ากันเท่านั้นเอง!”

สิ่งนี้จะกลายเป็นปัญหาได้ เหมือน “หมองูตายเพราะงู” เมื่อคุณไม่สามารถยิงไกลลงได้ดีพอ แม้แต่ผู้ริเริ่มอย่างมอเรย์ก็เคยประสบกับปัญหานี้ ดาเตอร์กล่าวว่า “ตอนนี้ที่เขา (มอเรย์) กำลังจัดการทีม “เซเวนตีซิกเซอร์ส์ (76ers)” โดยที่พวกเขาขาดผู้เล่นที่ยิงไกลได้ดีเหล่านั้น จู่ ๆ เหมือนกับเขาไม่สามารถสู้ได้สุดเพราะผู้เล่นที่ดีที่สุดกลายเป็นผู้เล่นวงใน (โจเอล เอ็มบีด)” สื่อถึงมุมมองของเขาในเวลานั้นว่ามีวงในดีแล้ว แต่ขาดมือปืนยิงไกลในทีม อาจทำให้การต่อกรกับทีมอื่นที่มีตัวยิงดี ๆ จะยากกว่าเดิม

แม้ว่าจะมีผู้เล่นที่ยิงไกลแม่นแล้ว อีกปัญหาที่เกิดขึ้นได้จากความเห็นของดาเตอร์คือ “มันไปถึงจุดนั้น มันน่าเบื่อมาก เพราะทุกคนต่างพยายามทำสิ่งเดียวกัน (ยิงไกล 3 แต้ม)” ถึงจะพยายามที่จะปรับให้เส้นคะแนนกว้างขึ้นไป ก็อาจไม่ช่วยให้แก้ปัญหานี้ได้เท่าที่ควร เบอร์รีเสริมในสิ่งที่น่าสนใจว่า “ผู้เล่นขอเพียงแค่เรียนรู้ที่จะยิงไกลได้ ในไม่ช้าคุณจะพบว่ามันก็ยิงไกลได้อยู่ดี” ประเด็นนี้จึงเสริมไปยันผู้เล่นที่สามารถทำให้เห็นมาแล้ว อย่าง “เดเมียน ลิลลาร์ด” ที่เคยทำได้ในการแข่งขัน “เอ็นบีเอ ออลสตาร์ 2021” ที่เขาสามารถยิงได้จากครึ่งสนามอย่างกับการ “ปอกกล้วยเข้าปาก” เป็นเรื่องง่ายดาย

หรือหากจะต้องมีการเปลี่ยนเป็นขยับเส้นแต้มให้ใกล้เข้ามามากขึ้น ก็อาจส่งผลกระทับในการแย่งชิงพื้นที่วงในยิ่งกว่าเดิมเมื่อต้องแย่งบอลด้วยการ “รีบาว์น (Rebound)” นอกจากนี้ดาเตอร์ยังบอกว่ามีการเสนอแปลก ๆ เช่น การจำกัดการยิงไกลที่ทีมสามารถทำได้แค่ควอเตอร์เดียว และช่วงท้ายให้มีการยิงกันอย่างย่อยยับเหมือนฟ้าที่แลบไปแลบมา ซึ่งตอนนั้นคุณจะยิงเท่าไหร่ก็ได้ตามที่คุณต้องการจะทำเพื่อชัยชนะ

ท้ายสุดนี้ลีกยังคงไม่ได้มีแผนอย่างเป็นทางการในการสร้างกฎสำหรับการยิงไกล 3 แต้มในลีกตอนนี้ แม้จะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่บ้าง แต่สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยเหตุผลในแง่ของธุรกิจกีฬานี้ คือไม่ว่าจะปรับเปลี่ยนให้มีวิธีการแบบใหม่ในรูปแบบใดก็ตาม มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อลีกที่วัดได้จากความพึงพอใจของแฟนบาสในสนาม

สิ่งสำคัญที่ทำให้เหล่าแฟนบาสต่างเลือกจะรับชมคือการได้เข้ามาเชียร์ทีมที่รักเสียมากกว่า โดยมีความหวังในเรื่องของความสำเร็จของทีม ที่ไม่ว่าจะมีกลยุทธ์มากเพียงใด ขอให้ไปได้ถึงในจุดจุดนั้นก็เพียงพอ มันคือความผูกพันระหว่างแฟนบาสที่มีต่อทีมรักที่เชียร์มากกว่าเรื่องของวิธีการที่ใช้ในการแข่งขันของลีกบาสเกตบอลเอ็นบีเอ 🏀

อ้างอิง