จากความสำเร็จของการเป็นนักกีฬาขวัญใจคนไทยคนล่าสุดของ ‘วิว-กุลวุฒิ วิทิตศานต์’ ทำให้ทั้งเขา และผู้คนที่อยู่รายล้อมถูกผู้คนให้ความสนใจเป็นอย่างมาก อย่างวันนี้ที่ตึกแกรมมี่ ‘แม่ปุก-กมลา ทองกร’ ผู้ก่อตั้งโรงเรียนแบดมินตันบ้านทองหยอด พื้นที่ปลุกปั้นนักกีฬาแบดมินตันเก่ง ๆ ของไทยหลายคนทั้งวิวเอง หรือ ‘เมย์-รัชนก อินทนนท์’ ก็มาให้สัมภาษณ์กับสื่อถึงความสำเร็จในครั้งนี้ด้วยเหมือนกัน
ก่อนที่แม่ปุกจะเข้ารายการสด ‘เรื่องใหญ่รายวัน’ เราเลยขอตัวแม่ปุกมาพูดคุยกับเราสั้น ๆ ถึงความประทับใจกับนักกีฬาในครั้งนี้ และการมองวงการแบดมินตันในไทยและต่างประเทศแบบคร่าว ๆ กัน

เป็นอย่างไรบ้างแม่ปุกช่วงนี้
เหนื่อยนิดหน่อย อาจจะชินด้วยค่ะ ช่วงนี้เดินทางบ่อย เพราะตอนนี้ตั้งแต่หลัง COVID-19 ที่เราไม่กล้าออกจากบ้าน เราเริ่มมาลุยใหม่แล้ว เพราะว่าโควิดเบาบางลง เราก็เลยเริ่มออกไปกับนักกีฬารุ่นเยาวชนเพื่อไปหาประสบการณ์ทั้งในต่างจังหวัดและต่างประเทศ ไปกับนักกีฬาแล้วก็โค้ชด้วยตัวเองเลย
ตั้งแต่สมัยน้องเมย์ยังเล็ก ๆ อายุ 8 ขวบ หรือช่วงที่น้องวิวเพิ่งจะเข้ามาที่บ้านทองหยอดตอน 12 ขวบ เราไปกับนักกีฬามาโดยตลอด ที่เพิ่งไปล่าสุดคือพานักกีฬาไปจีนเมื่อวันที่ 1-4 สิงหาคมที่ผ่านมา พาเยาวชนตั้งแต่ 8-12 ขวบไปแข่ง ก็ได้รางวัลกันมาเยอะพอสมควรเหมือนกัน
ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีเพราะว่าที่เราได้รางวัลในบางรุ่น แล้วบางรุ่นก็ไม่ได้ เราก็จะได้รู้ว่าเราต้องกลับไปพัฒนาอะไรอีกแค่ไหนในรุ่นอายุนั้น ๆ เราสู้เขาไม่ได้ตรงไหนประมาณนี้ ส่วนรุ่นอายุที่ได้แชมป์อยู่แล้วเราก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ เพราะว่าเราก็ต้องเก็บเกี่ยวประสบการณ์ และคาดเดาเหตุผลว่าตอนนี้คู่ต่อสู้เขาอาจจะแพ้เราที่ประสบการณ์หรือเปล่า แล้วเราก็จะได้รู้ว่าเด็กของเราตั้งแต่ 8-12 ขวบอยู่ตรงไหนแล้วในระดับนานาชาติ
นับคร่าว ๆ แม่ปุกคร่ำหวอดอยู่ในวงการแบดมินตันมานานเท่าไหร่แล้ว
น่าจะตอน ‘โค้ชเป้’ (ภัททพล เงินศรีสุข ลูกชายของแม่ปุก) อายุ 9 ปี ตอนนี้โค้ชเป้อายุ 43 ปี ก็นั่นแหละค่ะ (หัวเราะ) ลองลบ ๆ ดูได้เลย
ก็ประมาณ 34 ปี ช่วงเวลาที่ผ่านมาวงการแบดมินตันในไทยและทั่วโลกเป็นอย่างไรบ้างในสายตาแม่ปุก
การพัฒนาวงการแบดมินตันตอนนี้มันมีการเติบโตสูงมาก ไม่ใช่แค่เมืองไทยนะคะ ระดับนานาชาติได้เลย ในสมัยก่อนก็จะมีแต่ประเทศจีน ญี่ปุ่น เกาหลี อินโดนีเซีย มาเลเซีย ตอนนี้ก็มีอย่างเช่น สเปน ไต้หวันอย่างนี้ เวียดนามก็ดีค่ะตอนนี้ มีแคนาดาที่ขึ้นมาอีก แต่สุดท้ายในปัจจุบันมหาอำนาจของแบดมินตันบนโลกก็ต้องยกให้จีน เพราะฉะนั้นวงการแบดมินตันมันก็มีการพัฒนาขึ้นมากเลย
ในประเทศไทยเองก็เหมือนกัน สมัยก่อนเด็กอายุสัก 9 ขวบ ตีได้ประมาณนี้ แต่เดี๋ยวนี้เด็ก 8 ขวบ 7 ขวบกลับตีได้ดีกว่าเด็ก 9 ขวบในสมัยก่อน แม้แต่ผู้ใหญ่บางครั้งความสามารถก็ยังสู้เด็ก ๆ ไม่ได้เลยก็มีเหมือนกัน เด็กเดี๋ยวนี้โตไวมาก แล้วก็เทคนิคสูงขึ้นเยอะ การจะได้แต่มแต่ละแต้มในยุคนี้ก็ยากขึ้นตามไปด้วย


ถ้าให้นิยามนักเรียนที่ชื่อ ‘วิว กุลวุฒิ’ เป็น 3 คำ น่าจะเป็นคำไหนบ้างในสายตาเรา
เป็นคนมีความมุ่งมั่น เป็นคนมีวินัย แล้วก็เป็นคนใฝ่รู้ใฝ่เรียน
ตอนอยู่ในโรงเรียนเป็นเด็กนิ่ง ๆ อายุ 12 ปี เขาเป็นเด็กที่ชอบใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ คือหลังจากซ้อมแล้วมีเวลาว่าง นอกจากเล่นเกม หรือดูการ์ตูน ดูซีรีย์แล้ว เขายังเจียดเวลาไปดูสิ่งที่เขาชอบนั่นคือแบดมินตัน ดูเกมการเล่นย้อนหลังทุกวัน วันหนึ่งอย่างน้อยเขาต้องดูอย่างน้อย 1 แมตช์ เพราะว่าเขาชอบแบดมินตันมาก ๆ เป็นคนไม่ละเลยในการเรียนรู้คู่ต่อสู้ หรือเรียนรู้จากคนที่เขาสนใจ
ถ้าเป็นสมัยก่อนเขาอยากรู้เทคนิคการเล่นแบดมินตันที่สูงขึ้นเขาก็จะดูไอดอลของเขา Lee Chong-wei (ลี ชอง เหว่ย), Lin Dun (หลิน ตัน), Kento Momota (เคนโด โมโมตะ) เขาก็จะพยายามดูคนที่ตีเก่ง ๆ ในโลก ว่าเขาตีอย่างไร ใช้จังหวะอย่างไร เขาไม่ได้รอให้โค้ชมาสอนอย่างเดียว เขาหาความรู้ด้วยตัวเองไปด้วย ศึกษาจากประสบการณ์ในการแข่งขันจากการดูรุ่นพี่ ๆ ในโรงเรียนเองที่ไปแข่ง จนถึงตอนนี้เขาต้องดูคู่ต่อสู้ของเขาแล้ว เพราะว่าเขาต้องศึกษาคนที่เขาต้องต่อสู้ด้วย แล้วก็วางแผนว่าจะเล่นอย่างไร
อย่างแมตช์ที่เขาเพิ่งตีล่าสุดเขาก็ดูคู่ต่อสู้ (วิคเตอร์ อเซลเซน) ว่าคู่ต่อสู้พัฒนาไปถึงตรงไหนแล้ว เขาก็ต้องมาคิดวิเคราะห์ว่าเวลาเขาตีเขาต้องตีอย่างไร เขาจะนั่งดูกับโค้ชบ้าง นั่งดูคนเดียวบ้างเพราะว่านักกีฬาเป็นอาชีพที่คุณต้องทำ ถ้าคุณไม่ศึกษาแล้วการลงไปเล่นของคุณก็จะเหมือนสมองว่างเปล่า ไม่มีอะไรอยู่ในหัว อาจจะต้องรอโค้ชไปแนะนำอย่างเดียวบนเวทีการแข่งขันของคุณ แต่อย่างน้องวิวเขาจะไม่รอคำแนะนำแค่จังหวะนั้น
ถ้าจะแนะนำน้อง ๆ นักกีฬารุ่นใหม่หลาย ๆ คนที่ อยากจะพัฒนาเร็ว ๆ หรืออยากมีประสบการณ์ก็ควรใช้เวลาใน 1 วันสัก 1 ชั่วโมงดูเกมการเล่นของหลาย ๆ คนแม้กระทั่งดูตัวเองอาจจะถ่ายวิดีโอเก็บไว้แล้วเอามาศึกษาว่าตัวเองยังมีอะไรที่ต้องพัฒนาอีกบ้าง

ความรู้สึกต่อ ‘วิว กุลวุฒิ’ ในแมตช์หยุดโลกของคนไทยเมื่อวันที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมาเป็นอย่างไรบ้าง
คิดว่าทุกคนก็คงภูมิใจและดีใจกับน้องวิวไปแล้วในระดับนึงแหละ เมื่อคืนนี้ไม่ว่าน้องวิวจะแพ้หรือชนะ พวกเราก็ภูมิใจในเหรียญเงินแล้วแหละ ถ้าได้เหรียญทองก็จะดีใจมากขึ้นด้วยเหมือนกัน ซึ่งแม่ปุกก็ไม่ได้ผิดหวังอะไรกับน้อง แล้วก็ไม่ได้เสียใจเลย เพราะคุยกับวิวอยู่แล้วก่อนที่จะไปว่านี่คือก้าวแรกของการเข้ามาเล่นในโอลิมปิก วิวทำได้ดีเท่าไหร่นั่นคือการมาหาประสบการณ์ของวิวเพื่อพัฒนาประสบการณ์ตัวเองในอนาคตข้างหน้า
อย่างตอนที่มาเจอจีนรอบ 8 คน ทุกคนก็เหมือนจะหยุดดูแค่ตรงนั้นก่อนว่าจะออกมาเป็นยังไง จะเดินต่อไหม จะไปต่อได้ไหมประมาณนั้น จริง ๆ เป้าหมายที่ตั้งใจมาคือขอให้ผ่านญี่ปุ่นให้ได้ก่อนเพราะแมตช์ที่เจอญี่ปุ่นก็เห็นว่ามันไม่ได้ง่าย ตีถึง 3 เกม ในการแข่ง Tournament ก็เหมือนกันก็ตีกันอยู่ประมาณนี้ ถ้าเทียบก็คือเหมือนประมาณ Tournament นึงนั่นแหละ แต่ว่าในการแข่งขันแต่ละแมตช์ยิ่งเจอมาก ๆ เข้ามันก็ยิ่งยาก อีกทั้งแมตช์นี้มันยากตรงที่ว่าเป็นโอลิมปิก 4 ปีครั้ง ไม่ได้แพ้และตกรอบเหมือน Tournament ต่าง ๆ
นักกีฬาทุกคนต้องซ้อมหนักอย่างน้อยก็ 6 เดือนที่ต้องเก็บตัวเพื่อสิ่งนี้ แล้วทำให้ตัวเองมีโฟกัสกับการแข่งขันโอลิมปิก ทำให้มันสมบูรณ์ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่อย่างน้อยที่สุดก็คือเราไม่รู้ว่านักกีฬาจะหยิบสิ่งที่ซ้อมมาทั้งหมด 6 เดือนไปใช้ในการแข่งขันจริงได้มากน้อยแค่ไหน จากทั้งความใหม่ ความกดดันที่เกิดขึ้นจากการได้เจอสิ่งที่เป็นครั้งแรก แม่ปุกเลยไม่กล้าคาดหวังเลยว่าน้องวิวจะผ่านแต่ละรอบ ๆ ได้มากน้อยแค่ไหน
จริงอยู่ที่ว่ารอบแบ่งกลุ่มเราก็ข้างมั่นใจว่าน้องจะผ่าน แต่อย่างวิวเองก็ยังไม่กล้าฟันธงเองเลยว่าเราจะเข้ามาเป็นที่ 1 ในกลุ่ม ได้อย่างน้องเมย์ (รัชนก อินทนนท์) เองที่เข้ามาแข่งขันถึง 4 โอลิมปิกก็ยังเจอในลักษณะนี้ด้วยเช่นกันการที่ทุกคนมองว่าเราเป็นตัวเก็งมันทำให้เราเกร็งในชีวิตจริง ไม่กล้าออกลูก ขาวิ่งไม่ได้ มือมันจะแข็งจากความตื่นเต้นและกดดันนั้น กลายเป็นว่าแล้วไม่อยากคาดหวังกับน้อง ๆ มากนักในแต่ละแมตช์ที่ลงตีซึ่งจริง ๆ ถามว่ามันหวังไหมก็หวังแหละแต่เราไม่อยากสร้างความกดดันให้นักกีฬา
หากลองเทียบกับครั้งแรกของเมย์ เขาคือเด็กเลยแค่ 16-17 ปีประมาณนั้นติดโอลิมปิกไวมาก เขาเลยไม่มีความคาดหวังมากเท่าไหร่นัก ตอนที่ติดโอลิมปิกก็เป็นคนสุดท้ายลำดับสุดท้ายหมายเลข 16 เขาตัดตรงนั้นพอดี เราได้ไป วันนั้นเรียกได้เลยว่าน้องเมย์ไปแบบค่อนข้างเป็นมวยวัด แค่ได้ไปน้องก็ดีใจแล้ว น้องเมย์ก็เลยเหมือนดับเครื่องชนตลอดไม่สนใจตีอย่างเดียว ๆ เจอคนที่เหนือกว่าก็ตีแบบเต็มเหนี่ยวจนเขาเกือบตกรอบ
อย่างแมตช์ที่เมย์ชนะคนที่เขาไม่เคยชนะจนร้องไห้ในแมตช์ที่เจอกับ Juliane Schenk (จูเลี่ยน เชงค์) ตอนโอลิมปิก 2012 ซึ่งตอนนั้นจูเลี่ยนก็กำลังจะเลิกตีแล้วเหมือนกัน พอเขาเห็นคู่ต่อสู้อย่างน้องเมย์ตีได้เฉียบขาดจนชนะแล้วร้องไห้เขาก็มากอดปลอบใจแล้วก็บอกว่าน้องเขาจะต้องเป็นแชมป์ในอนาคต ไปไกลกว่านี้แน่ ๆ เหมือนที่วิคเตอร์พูดกับวิวเลย เขามองออกเลยว่าน้องจะกลายเป็นนักกีฬาที่ไปต่อได้

สุดท้าย อยากให้แม่ปุกแนะนำการเข้าเรียนที่ ‘โรงเรียนแบดมินตันบ้านทองหยอด’ หน่อยว่ามีรายละเอียดยังไงบ้าง
โรงเรียนเราเปิดให้น้อง ๆ เข้าเรียนได้ตั้งแต่ประมาณ 3-4 ขวบ แต่ว่าจริง ๆ มาซัก 5 ขวบก็ได้ไม่ต้องเล่นแบดมินตันเป็นอะไรเลยเข้ามามีอุปกรณ์ก็เอามาถ้าไม่มีอุปกรณ์ก็มาซื้อได้ซื้ออุปกรณ์แบบที่เป็นสมัครเล่นก่อนก็ไม่มีปัญหา แล้วก็มาเรียนเพื่อออกกำลังกาย เพื่อให้มีทักษะพื้นฐานที่ถูกต้องในการเล่น แล้วหลังจากนั้นถ้าเกิดว่าน้องจะไปต่อยังไงก็ต้องดูที่ความสมัครใจว่าน้องชอบไหม มีทักษะไหม ผู้ปกครองสนับสนุนให้เขาได้เล่นต่อเต็มที่ไหม เช่น พามาซ้อม พาไปแข่งกับเราอะไรอย่างนี้
ส่วนอีกรูปแบบหนึ่งคือบางคนที่เป็นแชมป์อยู่แล้ว เป็นนักกีฬา แล้วอยากมาเพิ่มทักษะก็สามารถสมัครเข้ามาได้เพื่อทำให้ตัวเองเต็มที่กับตรงนี้มากขึ้น อันนี้ก็จะเป็น 2 รูปแบบในการเปิดให้เข้าเรียน แต่หากสนใจกีฬานี้จริง ๆ ก็อยากให้เข้ามาลองดูก่อน เพราะมันอาจจะทำให้เรารู้ตัวเองมากขึ้นว่าชอบกีฬานี้หรือเปล่า เราอาจจะเป็นคนชอบเล่นกีฬาแค่ไม่ใช่แบดมินตันแต่เป็นกีฬาอื่น อาจจะชอบว่ายน้ำ เทนนิส หรือเทควันโด ก็อยู่ที่เด็กจะชอบ
แต่เราอยากจะแนะนำว่านอกจากการเรียนหนังสือแล้ว ถ้าเราจะเลี้ยงลูกให้มีคุณภาพจริง ๆ ได้สุขภาพด้วย ควรจะมีอะไรอีกสักหนึ่งอย่างให้เขาได้ทำเป็นกิจกรรม อาจจะเล่นกีฬาหรือเป็นอย่างอื่นก็ได้เหมือนกัน