ศานนท์ หวังสร้างบุญ

หลังจากกระแสความสนใจถาโถมไปยังพื้นที่ Skywalk ใจกลางเมือง ในเรื่องของป้ายกรุงเทพฯ ที่เปลี่ยนจากป้าย ‘Bangkok…City of life’ เป็น ‘กรุงเทพฯ – Bangkok’ ที่แม้จะดูนิ่ง ดูเฉย ๆ ในสายตาคนไทยหลายคน แต่เจตนาเบื้องต้นอย่างการเผยแพร่หน้าตาของ Corporate Identity ใหม่ที่ไม่เคยถูกพูดอย่างจริงจังในวงกว้าง แต่ก็ถูกมุมมองของการวิจารณ์หน้าตาป้ายว่าสวย-ไม่สวยกดทับความหมายหลักจนหมดสิ้น

แม้จะดูน่าเสียดายที่สาระสำคัญไม่ได้ถูกให้ความสำคัญจริง ๆ แต่อย่างน้อยการถูกกล่าวถึงก็แปลว่าผู้คนสนใจสิ่งนี้กันมากขึ้นแล้ว เหมือนกับประเด็นของเทศกาล ‘Bangkok Pride Festival 2024’ ที่มีการเดินขบวนกันมาร่วม 3 ปีแล้ว ซึ่งก็มีผู้คนสนใจสิ่งนี้มากขึ้นเช่นกัน

ในฐานะผู้ช่วยพ่อเมืองของ ‘ศานนท์ หวังสร้างบุญ’ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ในสมัยของผู้ว่าฯ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ เขาและทีมงานทั้งหมดตั้งใจอย่างยิ่งที่จะทำให้พื้นที่เมืองกลายเป็นพื้นที่ปลอดภัยในการนำเสนอทุกเรื่องได้อย่างตรงไปตรงมาที่สุด

วันนี้ SUM UP เดินทางมาคุยกับเขาข้างขบวน Pride Parade เพื่อพูดคุยถึงการทำงานตลอด 2 ปีที่ผ่านมา และประเด็นของการหยิบเรื่องที่ผู้คนยังไม่ค่อยเข้าใจให้ได้มาเห็น และมาคุยกันใจกลางเมืองแบบนี้กัน

เห็นวันนี้ทางทีม กทม. ใส่เสื้อสีเขียวมา Agenda ของสีเสื้อสะท้อนอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า

จริง ๆ ไม่มีอะไรเลย เรามาในฐานะผู้สนับสนุนชุมชนกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศครับ ในระหว่างปีเราทำงานกันอย่างเข้มข้น แล้วในงาน Pride ก็เหมือนเป็นการมาส่งการบ้านว่าเมืองเรามันก้าวหน้าขึ้นยังไงบ้าง เราโอบกอดทุกความหลากหลายที่ไม่ใช่แค่เรื่องของการยินดี แต่เป็นเรื่องของความก้าวหน้าทางกฎหมาย อย่างเช่นการให้ออกใบจดแจ้งสมรสเท่าเทียมก็มีคนมาร่วมที่อยากจะแต่งงานกันกว่า 164 คู่ ผมคิดว่านี่ก็เป็นความก้าวหน้าของปีที่ผ่านมา

ขบวนปีนี้เลยมีการพูดถึงการสมรสเท่าเทียม แต่ว่าเป็นการจดแจ้งที่สำนักงานเขต ปีหน้าผมคิดว่ามันก็คงมีใบสมรสจริง ๆ มีความก้าวหน้าในเรื่อง Pride Clinic ที่เป็นรูปธรรมมากขึ้นตามลำดับ

คนส่วนใหญ่มักมองว่าประเด็น LGBTQIAN+ ผู้ดูแลจะเป็นส่วนกลางอย่างรัฐบาลมากกว่า หากว่ากันจริง ๆ แล้วกรุงเทพฯ มีส่วนช่วยอะไรในการขับเคลื่อนเรื่องราวเหล่านี้ได้บ้าง

ต้องบอกว่าไม่ใช่แค่เรื่องผู้มีความหลากหลายทางเพศ จริง ๆ เราเหมือนเป็นตัวแทนของพี่น้องประชาชนด้วย เราอาจจะไม่ได้มีอำนาจมากเท่าภาครัฐ แต่เราสามารถเอาเรื่องที่ประชาชนสนใจขึ้นมาบนโต๊ะแล้วก็มาช่วยเหลือได้

2 ปีที่ผ่านมา มีการพูดเรื่อง ‘สมรสเท่าเทียม’ ชัดเจนมาก ทางเมืองกรุงเทพฯ ก็ช่วยในเรื่องการส่งเสริมกฎหมาย ผ่านการเปิดพื้นที่ให้ผู้คนได้มารณรงค์เปิดพื้นที่ให้เขามาพูดคุยกัน มีหลายเวทีที่เราไปชวนภาครัฐมาพูดคุยกันกับชุมชน Pride เพื่อทำให้เกิดความคืบหน้าทางมิติกฎหมายได้มากขึ้น เราเป็นตัวกลางที่สามารถช่วยพูดเรื่องนี้ได้

งาน ‘Bangkok Pride’ ทำให้พื้นที่สยามสแควร์ หรือกรุงเทพฯ คึกคักขึ้นยังไงบ้าง

ในมิติของผู้มีความหลากหลายทางเพศนี้ชัดเจนมาก แต่มิติที่ชัดเจนกว่าเลยคือมิติด้านเศรษฐกิจ จะเห็นว่ามันไม่ใช่แค่เรื่องเฉพาะกลุ่มอีกต่อไปแล้ว แต่ก่อนเรามองว่าเป็น Subculture นะ แต่ตอนนี้คือเป็นเรื่องของทุกคนไปแล้ว ไม่ว่าจะบริษัท ห้างร้าน หรือกลุ่มคนอื่น ๆ ที่ต่างมาร่วมเฉลิมฉลองกัน

วันนี้หลายคนมาพูดกับผมว่า “เฮ้ย มันเหมือนเมืองนอกเลย มันเหมือนแบบงานใหญ่ ๆ ที่เราน่าจะทำให้มันมีได้มากกว่าแค่วันเดียว” ซึ่งปีนี้ก็ต้องเรียนว่ามันมากกว่าวันเดียวไปแล้ว อย่างน้อยก็มีวันเปิดในวันนี้ แล้วก็มีวันปิดช่วงปลายเดือนอีกวันหนึ่ง ปีหน้าเราอาจจะมีงาน Pride เหมือนสงกรานต์ที่มันเกิดขึ้นทั่วเมืองไปหมดเลย คิดว่าอนาคตก็คงจะมีอะไรที่สนุกสนานมากขึ้น เป็น Event ที่ใหญ่มากขึ้นไปเรื่อยๆ ในระดับเมืองหรือระดับประเทศได้เลย

มีเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจแล้วก็ค่อนข้างเชื่อมโยงกัน คือเรื่องของ ‘ป้าย กทม.’ และงาน ‘Bangkok Pride’ ที่ถูกนำมาอยู่ใจกลางเมือง และมาพูดถึงในที่สาธารณะ เลยอยากรู้ว่าการสร้างความเข้าใจผ่านพื้นที่เมืองแบบนี้มีความสำคัญอย่างไรบ้าง

จริง ๆ พื้นที่กลางเมืองก็ไม่ได้มีแค่คนไทย แต่ว่ามีคนต่างชาติเยอะด้วย อย่างตรงป้าย กทม. จะเห็นว่าก่อนหน้านี้ผู้มาเช็คอินเป็นชาวต่างชาติ ที่มองเห็นว่าตรงนี้เป็นจุดที่เขาชอบถ่ายรูปกัน เราเองก็คิดว่าการจะพูดเรื่องที่เป็นสากลก็ควรจะมาที่พูดกันที่กลางเมือง

อย่างประเด็น LGBTQIAN+ เองก็ไม่ได้เป็นเรื่องแค่ของคนไทย แต่เป็นเรื่องของมนุษยชาติ เป็นเรื่องของการเป็น Global citizen เนื้อหาสาระในระดับนี้คงไม่มีที่ไหนเหมาะเท่ากับกลางเมืองแบบนี้ หรือในเรื่อง CI ก็เป็นที่พูดถึงมากครับ ใจจริงก็ตั้งใจที่จะให้เกิดป้าย กทม. ในช่วง Pride พอดีด้วย แต่ก็ไม่ได้คาดคิดว่ามันจะเป็น Talk of the Town มากขนาดนี้

ทุกเมืองในโลกนี้มีการทำ Corporate Identity กันเยอะมากนะครับ มันทำให้ทั้งโลกจำเมืองเราได้ชัดเจนมากขึ้น แต่ว่าที่ผ่านมากรุงเทพฯ มี CI ที่คนจำชัด ๆ ได้ไหม ผมว่าก็อาจจะยาก คนก็อาจจะคิดไม่ออกว่านึกถึงกรุงเทพฯ แล้วนึกถึงอะไร โอเค อาจจะมีสีเขียว แต่ว่ามันก็ยังไม่ชัดเจน มันหลากหลายมาก เราก็เลยมีตัวงานชิ้นนึงที่อยากจะทำเรื่องนี้ แล้วก็ปล่อยให้ทีมนักออกแบบที่ทำ Brand Identity ไปทำ Research ซึ่งไม่ได้ยึดโยงกับสิ่งใหม่อย่างเดียว แต่เราไปเอาเรื่องของประวัติศาสตร์ของเมืองมายึดโยงกับความเป็นกทม. แล้วก็ถอดอัตลักษณ์ต่าง ๆ ออกมาเป็นฟอนต์ด้วย

จริง ๆ งานนี้เสร็จไปตั้งแต่ราวปลายปีที่แล้ว แต่เราหาจังหวะที่จะเอามาเปิดเผยต่อสาธารณะอยู่ ตั้งแต่ปลายปีที่แล้วถ้าใครเห็นป้ายต่าง ๆ แบบ Formal เราใช้ CI ใหม่มานานแล้ว อย่างในเพจเองแต่เพิ่งมาถูกพูดถึงมาก ๆ ก็ตอนที่เรามาเปลี่ยนป้ายตรงนี้

ก็ขอบคุณที่มันมี Feedback ผมเองก็เอาเสียงตอบรับทุกอันส่งให้ทีมไปแล้ว รวมถึงมีการพูดคุยกับทางที่ปรึกษาในโครงการนี้และสมาคมนักออกแบบกราฟิกไทยเพิ่มเติม เพื่อที่จะเอาข้อมูลจาก Feedback มาออกแบบในจุดต่อ ๆ ไปก็อาจจะมี อย่างการมองว่าภาคประชาชนควรมีส่วนร่วมมากกว่านี้ไหม ผ่านในการประกวดดีไซน์ต่าง ๆ ต่อไป แต่ว่าสุดท้ายนี้ก็อยากให้ยึดโยงกับความเป็น CI ที่เป็นภาพจำอยู่ในตอนนี้

เราจะสร้างความเข้าใจให้มากขึ้นกับทั้ง 2 เรื่องนี้ได้ยังไงบ้าง

ผมมองว่าในการบ่นหรือด่า เป็นเรื่องปกติที่ภาครัฐต้องยอมรับอยู่แล้ว เพราะว่าเงินทุกบาททุกสตางค์ก็มาจากภาษี แล้วเราก็เอาเงินภาษีมาทำให้พี่น้องประชาชน ผมคิดว่าทุกคำด่ามันมีอารมณ์อยู่ก็จริง แต่ถ้าเอาไปถอดเนื้อหาออกมามันมีสิ่งที่มีประโยชน์เยอะมาก บางครั้งเราก็อาจจะมีอารมณ์บ้าง แต่ก็บอกเพื่อน ๆ และทีมงานภาครัฐว่าเราต้องให้ประชาชนบ่นน่ะถูกแล้ว เป็นเรื่องปกติครับ บ่นด่ามาได้เลย แล้วเราก็จะถอดเนื้อความที่ดีมาพัฒนาต่อไป

ขวบปีแห่งการทำงานในสมัยผู้ว่าฯ ชัชชาติ ผ่านไปแล้วครึ่งทาง คิดว่าช่วงเวลาที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งจะช่วยผลักดันอะไรกับกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศต่อไป

ผมว่าเมืองไทยเป็นเมืองที่มีความยอมรับในด้านสังคมสูงมากแล้ว มีสถานทูตคนหนึ่งเคยพูดกับผมว่าบ้านเมืองเขาประชาชนไม่ค่อยยอมรับกัน แต่กฎหมายยอมรับแล้ว แต่ว่าเราเนี่ยประชาชนยอมรับแล้ว แต่กฎหมายไม่ค่อยยอมรับ

เขาบอกว่าถ้าภาครัฐตื่นตัวกับเรื่องนี้ เรื่องเพศหลากหลายในประเทศไทยจะกลายเป็นมิติที่สุดมาก เรื่องนี้ของเราจะไประดับโลกได้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราต้องทำมันไม่ได้ต้องไปเรียกร้องอะไรกับสังคมแล้ว แต่มันเป็นการเรียกร้องให้เราตื่นตัวแล้วก็ตอบรับกับข้อเสนอต่าง ๆ ยกระดับกฎหมาย ยกระดับการบริการทางการแพทย์ ยกระดับการยอมรับในด้านเศรษฐกิจ เราต้องจับมือกับชุมชนแล้วก็เดินไปด้วยกัน ทำงานคู่ขนานกันในมิติสังคม และสนับสนุนมิติทางภาครัฐให้ดีขึ้น

ทำยังไงให้สังคมความยอมรับกับความแตกต่างหลากหลายเหล่านี้มากขึ้น

ผมว่าเรื่องนี้ภาครัฐทำคนเดียวไม่ได้ เราต้องช่วยกันส่งเสียง ช่วยกันกระตุ้นการจัดงานแบบนี้อีก คนในชุมชน Pride พูดกับผมบ่อย ๆ ว่างาน Pride ไม่ควรมีแค่วันเดียว เราเคยพยายามจัดงานแบบนี้ในเดือนอื่น แต่มันไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าไหร่ สุดท้ายมันก็ต้องวนกลับไปหาวันที่มี Eyeball อยู่ดี

มีอีกเรื่องหนึ่งคือการตรวจการบ้านผลงาน 2 ปีที่ผ่านมา ที่ถูกเรื่องป้ายแย่งความสนใจไปหมดเลย เหมือนโดนโลกของ Algorithm กดทับอยู่ทั้งสังคมจริงและสังคมออนไลน์ คิดว่าในระยะยาวในสังคมไทยหรือสังคมโลกจะทำยังไงให้ทุกเสียงเรียกร้องที่เกิดขึ้นยังคงดังอยู่เสมอ

มนุษย์เราไม่ได้เจอกันแค่ในโลกโซเชียลนะ มันมีการพบปะสังสรรค์กัน งานที่กรุงเทพมหานครพยายามกระตุ้นให้คนออกมาเจอชีวิตสาธารณะมากขึ้นเป็นเรื่องสำคัญ คนกทม. เราส่วนใหญ่อยู่ในโลกออนไลน์เยอะ แต่ถ้าเราไปดูแถบยุโรป แถบอเมริกาบางประเทศ เขาใช้ชีวิตในโลกแบบพื้นที่สาธารณะมากกว่า

บางทีเราก็กลายเป็นเครียดแล้วก็มีภาวะ Mental Health เพราะเอาใจไปผูกกับ Algorithm แล้วแล้วก็เปลี่ยนตัวเองเพื่อให้ Algorithm ยอมรับ มันไม่จำเป็นเลยเพราะว่าพวกเราทุกคนมีคุณค่าด้วยกันทั้งนั้น เราไม่จำเป็นที่จะต้องเอาตัวไปผูกกับยอดไลก์ แต่ควรกลับมาสู่โลกความเป็นจริงแล้วเราก็ควรยอมรับในคุณค่าของตัวเอง

อย่างประเด็นว่าผลงาน 2 ปีนี้เงียบ ผมไม่ค่อยซีเรียสเลยนะ ผมซีเรียสแค่ว่าคนจะรู้สึกว่าเขาได้รับการเปลี่ยนแปลงไหม ถ้าเขารู้สึกต่อให้เราไม่พูดเขาก็รู้สึก แต่ถ้าเขาไม่รู้สึกต่อให้เราพูดให้ตายเขาก็ไม่รู้สึก เพราะฉะนั้นเราต้องทำงานให้หนัก แล้วก็ถ้ามีอะไรที่ทำไม่ได้ก็ให้เขาด่าเขาบ่น ถ้ามันทำไม่ดีสุดท้ายก็เอาคนที่เก่งกว่ามาทำ ผมว่าอันนี้คือระบบประชาธิปไตย มันก็เท่านั้นเอง

คิดว่าใน 4 ปี 1 สมัยของผู้ว่าฯ ชัชชาติ ทั้ง 2 ปี ที่เกิดไปแล้วและอีก 2 ปีที่กำลังจะเกิดขึ้น คุณค่าที่เราตั้งใจทำที่สุดเพื่อการดูแลประชาชนคืออะไร

ถ้าเป็นภาพที่ท่าน (ชัชชาติ สิทธิพันธุ์) อยากให้เป็น น่าจะเรื่องการสร้างประสิทธิภาพที่ดีขึ้นในเมือง บ้านเราเป็นเมืองสนุกแต่ประสิทธิภาพต่ำ หมายความว่ารถติด ฝนตกแป๊บเดียวก็น้ำท่วม เราอยากให้มันมีประสิทธิภาพสูงขึ้น ทำยังไงให้ข้าราชการทำงานให้ประชาชนเต็มที่มากขึ้น ไม่ใช่เช้าชามเย็นชาม ไม่ใช่ผักชีโรยหน้า อันนี้ก็เป็นสิ่งที่อยากทำให้ดีขึ้น

ส่วนในมิติในเรื่องของแต่ละ Issues ผมว่าหลายเรื่องเปลี่ยนไปแล้ว ทั้งมิติทางเรื่องของสังคม ผมว่าเมืองเราเป็นเมืองที่มีชีวิตสุด ๆ ไม่มีวันที่จะกลับไปเป็นเมืองที่เงียบ ผมว่าเมืองเรายังไงก็ระเบิดตอนนี้เราเห็นแล้วว่าแทบไม่ต้องทำอะไรเลย แต่ประชาชนเรียกร้องที่จะออกมาใช้ชีวิต เพราะฉะนั้นตรงนี้จะช่วยได้มาก และในมิติอื่น ๆ อย่างการศึกษา หรือมิติสาธารณสุข ผมว่าก็จะดีขึ้นเรื่อย ๆ เราทุกคนต้องมาช่วยกัน แล้วถ้ามีอะไรที่เราสามารถทำให้ดีขึ้นได้ก็ยินดีเป็นอย่างยิ่งครับ

CREATED BY

Content Creator

พนักงานมือใหม่ที่สนุกกับการหาเรื่องมาเล่า ไม่มีสิ่งที่ชอบตายตัว มีแต่สิ่งที่ชอบแล้ว และกำลังหาสิ่งใหม่ที่ชอบต่อไป