Rarre Earth แรร์เอิร์ธ

นับเป็นอีกหนึ่งประเด็นสำคัญ หลังจากเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา ไทยกับสหรัฐฯ ได้มีการลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือในการพัฒนาความหลากหลายของห่วงโซ่อุปทานของแร่ธาตุที่มีความสำคัญในระดับโลก และการส่งเสริมการลงทุน ซึ่งเรื่องนี้ทำให้รัฐบาลภายใต้การนำของ ‘นายอนุทิน ชาญวีรกูล’ ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางว่า ไทยอาจจะยังไม่มีความพร้อมมากพอสำหรับการเข้าไปในห่วงโซ่อุปทานแรร์เอิร์ธ

‘แรร์เอิร์ธ’ (Rare Earth Elements : REEs) หรือ แร่หายาก จริง ๆ แล้วไม่ใช่แร่แต่เป็นกลุ่มโลหะ 17 ชนิด ประกอบไปด้วย ‘ธาตุในหมู่แลนทาไนด์’ (Lanthanides) จำนวน 15 ธาตุ ได้แก่ แลนทานัม (La), ซีเรียม (Ce), เพรซีโอดิเมียม (Pr), นีโอดิเมียม (Nd), โพรมีเทียม (Pm), ซาแมเรียม (Sm), ยูโรเพียม (Eu), แกโดลิเนียม (Gd), เทอร์เบียม (Tb), ดิสโพรเซียม (Dy), โฮลเมียม (Ho), เออร์เบียม (Er), ทูเลียม (Tm), อิตเตอร์เบียม (Yb), ลูทีเชียม (Lu) และเป็นธาตุใน ‘หมู่โลหะทรานซิชัน’ จำนวน 2 ธาตุ ได้แก่ สแกนเดียม (Sc) และอิตเทรียม (Y)

แรร์เอิร์ธนับว่าเป็นวัตถุดิบต้นน้ำสำคัญที่ใช้ในการผลิตอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง ไม่ว่าจะเป็น โทรศัพท์มือถือ, ฮาร์ดไดรฟ์คอมพิวเตอร์, รถยนต์ไฟฟ้าและไฮบริด และจอมอนิเตอร์ นอกจากนี้มันยังถูกนำไปใช้งานด้านการปกป้องประเทศ อาทิ ระบบเรดาร์, ระบบโซนา และระบบนำทางเลเซอร์ เป็นต้น 

ในปี 1993 ประมาณ 38% ของการผลิตแรร์เอิร์ธของโลกจะอยู่ที่ประเทศจีน ส่วนอีก 33% จะอยู่ที่ประเทศสหรัฐฯ ส่วนอีก 12% อยู่ที่ประเทศออสเตรเลีย และอีก 5% จะอยู่ที่ประเทศมาเลเซีย และยังมีอยู่ในอีกหลาย ๆ ประเทศ ไม่ว่าจะเป็น บราซิล, แอฟริกาใต้, ศรีลังกา รวมถึงไทย แต่อย่างไรก็ตาม ในปี 2008 จีนได้ผลิตแรร์เอิร์ธมากกว่า 90% ของโลก และภายในปี 2011 จีนก็ได้ผลิตแรร์เอิร์ธสูงถึง 97% ของโลก ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงการถือครองและการผูกขาดแรร์เอิร์ธของประเทศจีน ซึ่งแน่นอนว่ามันสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้จำนวนมหาศาล 

ทั้งนี้ ข้อมูลจาก ‘สำนักงานสำรวจธรณีวิทยาแห่งสหรัฐอเมริกา’ (USGS) ระบุว่า ในปี 2024 ที่ผ่านมา 5 อันดับประเทศที่ผลิตแรร์เอิร์ธมากที่สุดได้แก่ 1. จีน : 270,000 เมตริกตัน, 2. สหรัฐฯ :  45,000 เมตริกตัน, 3. เมียนมา : 31,000 เมตริกตัน, 4. ออสเตรเลีย : 13,000 เมตริกตัน และ 5. ไทย : 13,000 เมตริกตัน โดยจากข้อมูลดังกล่าว หลายคนน่าจะพอเห็นภาพว่าเจ้าใหญ่ที่ยังคงถือครองแรร์เอิร์ธมากที่สุดก็ยังคงเป็นของประเทศจีน 

สำหรับบริบทของประเทศไทย ข้อมูลจากทาง ‘กรมทรัพยากรธรณี’ ระบุว่า แร่ดังกล่าวกระจายตัวอยู่ทางแถบตะวันตกของประเทศไทย ไล่ตั้งแต่ทางภาคเหนือไปจนถึงภาคใต้ ตัวอย่างจังหวัดเช่น พังงา, ระนอง, เชียงราย, แม่ฮ่องสอน และเชียงใหม่ เป็นต้น โดยในปี 2023 ประมาณ 19% ของพื้นที่ในประเทศไทยมีทรัพยากรแร่มากกว่า 40 ชนิด และแร่ที่พบมากที่สุดก็คือ ‘เกลือหิน’

Rarre Earth แรร์เอิร์ธ

ทีนี้หากถามต่อว่า วัตถุประสงค์ของการลงนาม MOU แร่หายากระหว่างไทยกับสหรัฐฯ คืออะไร? คำตอบก็คือ มันเกิดขึ้นมาเพื่อเสริมสร้างความร่วมมือในการพัฒนาห่วงโซ่อุปทานแร่ธาตุสำคัญ การลงทุน, การสกัด, การแปรรูป, การกลั่น รวมถึงการรีไซเคิลและการฟื้นฟูแร่ธาตุสำคัญ ทั้งยังเป็นการสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านไปสู่ตลาดแร่ธาตุสำคัญที่เปิดกว้าง 

ขณะเดียวกันทางด้าน ‘รศ.ดร.จารุประภา รักพงษ์’ อาจารย์จากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ระบุว่า ไทยอาจยังไม่เหมาะสมที่จะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในห่วงโซ่อุปทานของการผลิตแรร์เอิร์ธ เนื่องจากไทยยังไม่มีองค์ความรู้ เทคโนโลยี กระบวนการผลิต และกฎหมายรองรับในการควบคุมดูแล ทั้งนี้ การลงนามใน MOU ไม่ได้ผูกมัดด้วยข้อกฎหมาย หากมีการพูดคุยเรื่องนี้กันอีกครั้ง ท่าทีของไทยควรจะเปิดกว้างรับความร่วมมือจากหลาย ๆ ประเทศ และไม่ได้เปิดรับแค่การลงทุนจากสหรัฐฯ แค่เพียงประเทศเดียว 

อ้างอิง